แต่ว่าหมูป่าในตอนนั้นมีการบาดเจ็บล้มตายด้วย พอได้ยินเสียงปืนเลยกลัวและวิ่งหนีไป ดังนั้นพวกชาวบ้านจึงใช้กลยุทธ์ไพ่นกกระจอก จุดประทัดใส่ไปในกระบอกให้เกิดเสียงดังปุงปัง เคาะฆ้องทองแดง ตะโกนเสียงดัง จุดไฟ โดยพื้นฐานแล้วจะกันการรุกรานของหมูป่าได้

แต่ภายหลังทั่วประเทศห้ามใช้ปืน ไม่ว่าจะสร้างเองหรืออะไรก็ตามล้วนถูกริบไปหมด หมู่บ้านไม่มีปืน หมูป่าพลันเก่งกาจขึ้นมา เจอกับประทัด ดอกไม้ไฟ ฆ้องทองแดงหรือคนเหยียบหญ้า ตอนแรกก็ยังกลัวนิดๆ ต่อมารู้ว่าของพวกนี้ทำอะไรตนไม่ได้ เมื่อชินแล้ว ฝูงหมูป่าจึงทำใต้ภูเขาเป็นยุ้งข้าวบ้านตน ฤดูใบไม้ผลิมา ฤดูร้อนมา ใบไม้ร่วงมายิ่งกว่า ทำให้ชาวบ้านท้องถิ่นเสียหายจนทุกข์ใจอย่างยิ่ง

ฉะนั้นผู้คนจึงเริ่มวางกับดัก วางยารับมือกับหมูป่าเหล่านี้

ทว่าต่อมาหมูป่าถูกจัดเป็นสัตว์คุ้มครอง จะฆ่าหมู? ได้ ต้องได้รับพิจารณาสั่งการ ได้รับโควตาการล่าหมูถึงทำการล่าโดยมีปริมาณได้ แต่โควตานั้นไม่ใช่ได้มาง่ายๆ ไม่กี่คนที่ได้มาเหล่านั้นเทียบกับฝูงหมูป่ากลุ่มใหญ่แล้วเหมือนกับน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ

ที่สำคัญคือด้วยความที่หมูป่าไม่มีศัตรูทางธรรมชาติ แพร่พันธุ์เก่งมาก ความเร็วในการแพร่พันธุ์เหนือกว่าจินตนาการของพวกมนุษย์

ทุกปีเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง พวกหมูป่าที่จำศีลหน้าหนาวในที่ราบที่โอบด้วยภูเขาเหล่านั้นจะรวมตัวกันลงเขามาหลังจากหิวเป็นเวลานาน และนั่นหมายความว่าชาวบ้านซวยแล้ว ถ้าไม่รักษาไร่นาผืนใหญ่ไว้ หน่ออ่อนที่เพิ่งออกในตอนนี้จะไม่ออกรวงข้าว ทว่าหมูป่าไม่สนเรื่องนั้น แต่จะดาหน้าไปตลอดทางเหมือนกับพรวนดิน

ทุกปีมีคนบาดเจ็บเพราะหมูป่า เมื่อไม่กี่ปีก่อนก็เคยมีคนตาย

ตอนนี้ผู้คนจนปัญญาอยู่เล็กน้อยจริงๆ เคาะฆ้องตีกลอง จุดประทัดก็เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์พอจะทำได้ตามชะตาลิขิต เห็นหมูป่าทำลายไร่นาของตนต่างหลั่งเลือดในใจ แต่กลับทำอะไรไม่ได้

“เจ้าอาวาส ฉันเห็นเงาหมูป่า” หมาป่าเดียวดายเลียริมฝีปาก นึกถึงหมูป่า มันก็นึกถึงก้นอ้วนใหญ่ของหมูป่า นั่นคือเนื้อทั้งหมด! แค่หนังแข็งไปหน่อย กัดยาก…

ฟางเจิ้งถอนหายใจ “หลายปีที่ผ่านมาเจ้าพวกนี้ทำร้ายชาวบ้านไปไม่น้อย ไปเถอะ ลงไปดูกัน”

เมื่อก่อนฟางเจิ้งไร้ความสามารถ แต่ตอนนี้มีความสามารถแล้ว ย่อมนั่งเฉยไม่สนใจไม่ได้ แต่จะจัดการอย่างไรนี่คือปัญหา ลงมือฆ่าหมูป่า? หรือเจรจากับพวกหมูป่า? แต่ว่าด้วยมันสมองหมูอย่างพวกมันแล้วจะคุยรู้เรื่องหรือ?

เขาวิ่งก้าวเล็กๆ ลงเขามาตลอดทาง สรุปหมูป่าฝูงใหญ่ถอยไปแล้ว มีพวกดวงซวยอยู่ตัวสองตัวที่ถูกเชือกมัดไว้ พวกชาวบ้านหลายคนกำลังจับเป็น

หวังโอ้วกุ้ยกับถานจวี่กั๋วยืนหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ หยางผิงเดินไปเดินมา กำลังคำนวณความเสียหาย…

“ประสกทั้งสอง หมูป่ามาอีกแล้วหรือ?” ฟางเจิ้งวิ่งมาถาม

หวังโอ้วกุ้ยถอนหายใจ “ใช่ มาอีกแล้ว ทุกปีตอนนี้จะมาทำลายสักช่วงหนึ่ง นี่เป็นระลอกแรกของปีนี้ จากนี้ยังมีอีกเยอะ เฮ้อ ปีนี้คนที่ตรงนี้ซวยแล้ว…”

ถานจวี่กั๋วเอ่ยเช่นกัน “ตอนนี้ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ได้แต่ยื่นคำร้องโควตาจากเบื้องบนลงมา ฆ่าพวกมันสักสองสามตัว ใช้เลือดให้ฝูงเจ้าตะกละพวกนี้สงบลงถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นวิธีอื่นๆ ไม่มีประโยชน์!”

“ยาก ตอนนี้ไม่ใช่แค่หมู่บ้านเรานะ หลายหมูบ้านโดนหมูป่าโจมตี ต่างกำลังยื่นคำร้องโควตากันทั้งนั้น เบื้องบนปวดหัวมากเหมือนกัน ให้เยอะ พวกลักลอบหมูก็มาอีก ให้น้อยก็ไม่มีประโยชน์อีก” หวังโอ้วกุ้ยกล่าว

“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ถ้าจะสู้กับหมูป่าพวกนี้ตลอดชีวิตก็มีแต่ต้องใช้เลือดถึงจะมีประโยชน์” ถานจวี่กั๋วกล่าว

ฟางเจิ้งได้ยินสองคนคุยกันจึงสวดไปบทหนึ่ง ไม่ได้ว่าอะไร แต่เดินไปรอบๆ เห็นมีหลายคนนั่งร้องไห้โฮตรงคันนา ช่วงเวลานี้ต้องเฝ้าเครื่องสูบน้ำทั้งวันทั้งคืน สูบน้ำเข้านา เพาะต้นกล้า รวมถึงเงินค่าน้ำมัน เงินค่าเพิงใหญ่เป็นต้น เงินค่าต่างๆ โยนไปในนี้หมดแล้ว ก็หวังว่าปีหน้าจะได้ผลผลิตที่ดี ใช้ชีวิตสบายขึ้นหน่อย แต่พอหมูป่ามาก็คว้าน้ำเหลวทั้งหมด…เหมือนกับความหวังในอนาคตถูกทำลายย่อยยับ ใครจะไม่เสียใจ?

ฟางเจิ้งสวดอมิตาพุทธเดินไปตลอดทาง สุดท้ายอาศัยจังหวะที่ทุกคนมองไม่เห็นเข้าไปในเทือกเขาทงเทียน

เหมือนอย่างที่หวังโอ้วกุ้ยพูดไว้ในตอนแรก ระบบรากไผ่หนาวลงเขามาแล้ว แถมยังยาวไปยังขอบเทือกเขาทงเทียน เพียงแต่ว่าไผ่หนาวที่นี่ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด มองจากภายนอกดูหายไปเยอะมาก กระทั่งฟางเจิ้งสงสัยว่าเจ้านี่จะผ่านการทดสอบหน้าหนาวอันเลวร้ายได้หรือไม่…

“จิ้งฝ่า เดี๋ยวนายไปหาฝูงหมูป่านั่น” ฟางเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง

หมาป่าเดียวดายตอบทันที “วางใจเถอะอาจารย์” หมาป่าเดียวดายดมกลิ่นไปรอบๆ ก่อนแสยะปาก “หมูบ้าพวกนี้รมควันกลิ่นเหม็นเน่าทั้งตัว แถมยังรวมกลุ่มกันอีก ห่างไปไม่กี่ลี้ยังได้กลิ่นเหม็นชัดจากตัวพวกมันเลย อาจารย์ ตามไป!”

พูดจบหมาป่าเดียวดายก็เริ่มวิ่ง

ฟางเจิ้งยิ้มแห้งๆ “นายวิ่งช้าหน่อย อาตมาตามนายทันทุกครั้งไม่ได้”

หมาป่าเดียวดายได้แต่วิ่งช้าลง เด็กแดงข้างๆ ว่า “อาจารย์ ท่านคืนพลังข้าเถอะ ข้าจะพาท่านเหาะไปก็จบแล้วไม่ใช่หรือ? หมูป่าฝูงเดียวจะอะไร แค่ไม่กี่วิข้าก็จัดการปัญหาของพวกมันได้แล้ว!”

ฟางเจิ้งได้ฟังแบบนั้นก็สนใจนิดๆ เด็กแดงเป็นราชาปีศาจ ชำนาญเรื่องการเจรจากับสัตว์ปีศาจที่สุด แม้หมูป่าจะไม่ใช่สัตว์ปีศาจ แต่ก็เป็นชนิดเดียวกันไหม?

แต่ฟางเจิ้งไม่ได้ตอบเด็กแดง เพียงแค่ก้มหน้าวิ่งไป วิ่งไปได้สองชั่วโมง เขาข้ามภูเขาลูกหนึ่งเข้าไปในที่ราบกลางภูเขาโอบล้อม เห็นบางสิ่งฝูงหนึ่งนอนหมอบดำๆ อยู่ข้างหน้า เมื่อมองผ่านแสงจันทร์ นั่นคือหมูป่า! เจ้าพวกนี้เกลือกกลิ้งอยู่ในโคลน บ้างนอนหมอบอยู่ในหญ้าข้างๆ และยังมีบางตัวมุดเข้าไปในถ้ำ

“อาจารย์ ตอนนี้เอาไงดี?” หมาป่าเดียวดายถาม

ฟางเจิ้งตอบ “พวกนายรออยู่นี่ อาจารย์จะไปดูเอง ถ้ากล่อมพวกมันได้จะดีที่สุด ถ้าไม่ได้ค่อยหาวิธีอื่น”

ถึงอย่างไรฟางเจิ้งก็เป็นนักบวช การฆ่าเป็นการเพิ่มแรงกรรมลดบุญกุศล เขาทำใจจากบุญกุศลอันน้อยนิดของตนไม่ได้

หมาป่าเดียวดาย กระรอก ลิงและเด็กแดงยืนมองอยู่ไกลๆ เด็กแดงเอ่ย “แค่หมาป่าฝูงเดียว มหาราชาอย่างข้าไม่ต้องใช้พลังก็จัดการพวกมันได้สบาย”

“ศิษย์น้องสี่เก่งกาจขนาดนั้นเลย รออาจารย์กลับมาแล้วศิษย์พี่บอกกับท่านให้ ให้ศิษย์น้องสี่จัดการ!” กระรอกมองเด็กแดงด้วยความไร้เดียงสา

เด็กแดงพลันหน้าแดง แค่นเสียงหึๆ “ไม่ต้องพูดหรอก ถ้าอาจารย์จัดการไม่ได้ แล้วข้าจัดการได้ นั่นจะเป็นการว่าอาจารย์อ่อนแอมากรึเปล่า?”

กระรอกไม่ได้คิดอะไรมาก มันพยักหน้าว่า “มีเหตุผล…”

เด็กแดงลอบถอนหายใจโล่งอก ถ้าให้เขาไปจริงๆ ตายก็ตายไม่ได้ แต่สู้กับหมูป่าหนังหนาเยอะขนาดนี้? นั่นไม่ใช่งานง่ายๆ…ดูจากจำนวนแล้วไม่ต่ำกว่าร้อย! เหมือนอย่างที่ว่าไว้คือหนึ่งหมู สองหมี สามเสือ ถ้าเจอหมูป่าในป่าเขานั่นคือเรื่องที่น่ากลัวที่สุด ไม่เพียงแค่หนังหนาโจมตีไม่เข้า แต่เจ้าพวกที่ดูเหมือนโง่มากพวกนี้ยังใช้สมองเป็นด้วย!

……………………