ตอนที่ 176-1 ตื่นขึ้น

ชายาเคียงหทัย

ภายในห้องหนังสือ หานหมิงเย่ว์เห็นใบหน้าที่ราบเรียบของม่อซิวเหยาแล้วไม่รู้สึกตื่นเต้นยินดีเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกเพียงว่าตนมีคำพูดอยู่มากมายนับไม่ถ้วน แต่กลับพูดไม่ออก

 

 

ม่อซิวเหยาไม่เคยคิดจะปล่อยซูจุ้ยเตี๋ยไป เขารู้อยู่ก่อนแล้ว และหากให้เขาไปอยู่ในจุดเดียวกับม่อซิวเหยา เขาคงหั่นศพซูจุ้ยเตี๋ยออกเป็นหมื่นๆ ชิ้นไปแล้ว เพียงแต่…ถึงอย่างไรเขาก็มิใช่ม่อซิวเหยา สตรีที่เขาหลงรักก็มิได้ชื่อเยี่ยหลี ดังนั้นเขาจึงถูกกำหนดไว้แล้วว่ามิอาจทนเห็นซูจุ้ยเตี๋ยถูกทรมานต่อหน้าต่อตาได้ และถึงอย่างไร เขาในยามนี้ก็ไม่มีหมากตัวใดที่จะสามารถเปลี่ยนความตั้งใจของม่อซิวเหยาได้อีกแล้ว เขาถึงขั้นนึกสงสัยว่า คงไม่มีสิ่งใดสามารถเปลี่ยนความตั้งใจของม่อซิวเหยาได้ นอกเสียจาก…เยี่ยหลีจะฟื้นคืนชีพจากความตาย…

 

 

ม่อซิวเหยาไม่สนใจหานหมิงเย่ว์ที่ไม่รู้ยืนคิดอันใดอยู่ ที่เขาปล่อยให้หานหมิงเย่ว์ไปไหนมาไหนในเมืองหรู่หยางได้ตามใจโดยไม่ไล่ออกไป และถึงขั้นให้พักอาศัยอยู่ในจวนนั้น ก็ด้วยเพราะยามอยู่บนบนหน้าผา หานหมิงเย่ว์ได้เคยช่วยอาหลีไว้ แต่นั่นมิได้หมายความว่า เขาจะยอมอ่อนให้ด้วยเพราะเหตุนี้

 

 

เขาก้มหน้าลงมองม้วนกระดาษจำนวนมากที่วางอยู่บนโต๊ะ ตัวอักษรเรียวบางที่เขียนอยู่ด้านบนทำให้ในแววตาเขามีประกายอบอุ่นและอ่อนโยนขึ้น เนื้อหาในม้วนกระดาษยิ่งทำให้คนบนโลกรู้สึกตื่นตกใจจนแทบหยุดหายใจ แม้แต่ตัวเขาเอง ยังไม่เคยรู้เลยว่า ภรรยาของเขามีความคิดแสนประหลาดและคิดการณ์ใหญ่มากมายเช่นนี้อยู่ในหัว

 

 

ตั้งแต่ได้รู้ว่า ม่อจิ่งฉีลอบทำข้อตกลงลับๆ กับแคว้นหนานจ้าวและซีหลิง อาหลีก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า วันที่ราชสำนักกับกองทัพตระกูลม่อจะต้องแตกหักกันนั้น ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ดังนั้นนางจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะเข้าควบคุมเขตซีเป่ยทั้งหมดไว้ให้ได้ และในระหว่างนั้นยังได้พยายามคิดใคร่ครวญหาทางให้ทหารในกองทัพตระกูลม่อจำนวนหลายแสนนาย สามารถใช้ชีวิตและขยายกำลังในเขตซีเป่ยที่ค่อนข้างแห้งแล้งนี้ได้ หากอาหลีมิใช่สตรี ม่อซิวเหยาเชื่อว่า นางมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นยอดสตรีแห่งยุคที่มีชื่อเสียงขจรขจายไปไกลยิ่งกว่าบรรพบุรุษของนางอย่างแน่นอน

 

 

แต่ในยามนี้ เขาใช้มือสัมผัสเบาๆ ไปบนม้วนกระดาษ ในแววตาม่อซิวเหยาเต็มไปด้วยความอบอุ่นและรักใคร่ อาหลี…ข้าจะไม่มีทางให้ความพยายามของเจ้าต้องสูญเปล่า ต่อให้เจ้าไม่อยู่ข้างกายข้า ข้าก็จะต้องให้ชื่อของเจ้าและข้าขจรขจายไปไกล ให้คนทั้งใต้หล้าได้ยกย่องเลื่อมใส แน่นอนว่า…ก่อนหน้านั้น เจ้าคอยดูก่อนเถิด ว่าข้าจะทำให้ทั้งใต้หล้าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้แม่น้ำและภูเขาเปลี่ยนสีไปได้อย่างไร

 

 

 

 

ไม่ว่าลมและเมฆในใต้หล้าจะเปลี่ยนไปเช่นไร มีกลิ่นคาวเลือดและเลือดที่สาดกระเซ็นสักเพียงไร แต่อย่างไรในใต้กล้านี้ก็ยังมีสถานที่ที่แยกตัวออกจากโลกภายนอกและมีความเงียบสงบอยู่วันยังค่ำ

 

 

เยี่ยหลีลืมตาขึ้นด้วยความยากลำบาก สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในสายตาเป็นผ้าเนื้อหยาบสีเขียวอ่อนที่อยู่บนเพดานเตียงและผ้าม่านที่เปิดแง้มไว้ นางก้มหน้าลงมอง ผ้าที่ห่มคลุมนางอยู่เป็นผ้าห่มเนื้อหยาบสีเดียวกัน ความชาเล็กน้อยของร่างกาย ทำให้นางที่คิดอยากลุกขึ้นมา ทำได้เพียงขยับร่างกายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

 

มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบหน้าท้อง บริเวณหน้าท้องเริ่มนูนขึ้นมาพร้อมกับความเคลื่อนไหวภายในเป็นระยะ ทำให้ในใจของนางเต็มไปด้วยความปิติยินดี ไม่ว่าในยามนี้นางจะอยู่ที่ใด อย่างน้อย…เดิมทีคิดว่าคงตายแน่แล้ว แต่ในยามนี้ นางไม่เพียงยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่ลูกน้อยของนางก็สามารถรักษาไว้ได้ เพียงแค่ข้อนี้ ก็เพียงพอให้ความโกรธแค้นในใจเยี่ยหลีหายไป หลงเหลือเพียงความซาบซึ้งใจเท่านั้น ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีเรื่องใดที่แก้ไขไม่ได้

 

 

นางกัดปากเบาๆ กดความเป็นกังวลทั้งหมดไว้ในใจ เยี่ยพลีพยุงตัวพยายามจะลุกขึ้นนั่ง

 

 

“อ๊ะ เจ้าตื่นเสียที” ที่หน้าประตู มีสตรีนางหนึ่งสวมชุดลายดอกไม้เล็กๆ กำลังเดินถือบางอย่างเข้ามา เมื่อเห็นคนบนเตียงพยายามยันตัวขึ้นนั่ง ก็เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างยินดี นางรีบวางโจ๊กที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ลงบนโต๊ะ ก่อนก้าวเข้ามาช่วยพยุงนาง

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยขอบคุณเสียงเบา อาศัยแรงจากมือของสตรีนางนั้นในการลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง พลางเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่สาวมาก เป็น…พี่สาวที่ช่วยข้าหรือ ไม่ทราบท่านชื่ออะไร”

 

 

สตรีวัยกลางคนนางนั้นยิ้มด้วยความจริงใจ รอยยิ้มของนางดูใจดีและมีเมตตาพร้อมเอ่ยว่า “ตระกูลสามีข้าแซ่หลิน เจ้าเรียกข้าว่าพี่สาวแซ่หลินก็พอ เด็กน้อยที่น่าสงสาร…เจ้าสลบมากว่าสี่เดือนแล้ว ตอนที่มีคนช่วยเจ้ามา เจ้ายังตั้งครรภ์ได้เดือนกว่าอีกด้วย โชคดีที่เด็กคนนี้ดูท่าจะมีบุญวาสนามาก ถึงได้ปลอดภัยดีมาโดยตลอด ข้าว่าน้องสาวเองก็เป็นคนมีบุญมากเช่นกัน อย่างประโยคนั้นที่พูดว่าอย่างไรนะ…เหตุร้าย อ้อ…รอดพ้นจากเหตุร้าย จะมีวาสนาใหญ่ตามมา…”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ลูบเบาไปบนหน้าท้องที่โหนกนูนขึ้นมาของตน “ขอบคุณพี่สาวแซ่หลีที่อวยพร ข้าชื่อ…ตระกูลทางมารดาข้าแซ่ฉู่ พี่สาวแซ่หลินเรียกข้าว่าจวินเหวยก็พอ”

 

 

พี่สาวแซ่หลินมองเยี่ยหลี เมื่อเห็นนางเอ่ยถึงเพียงแซ่ทางตระกูลมารดาของนาง และคิดได้ว่านางซึ่งเป็นเด็กสาวอายุเพียงสิบหกปี ซ้ำยังตั้งครรภ์และถูกช่วยไว้ได้ในสถานที่เช่นนี้ จะต้องมีเรื่องที่ลำบากใจที่จะเอ่ยอย่างแน่นอน

 

 

บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตาดูมีความปลอบโยนและเห็นใจ นางตบมือเยี่ยหลีเบาๆ “ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นเอง อย่าคิดมากอีกเลย ดูแลร่างกายให้ดีเถิด ลูกในท้องสำคัญนะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า รับโจ๊กที่พี่สาวแซ่หลินส่งมาให้ก่อนค่อยๆ กินลงไป

 

 

ถึงแม้การที่นางสลบไปนานหลายเดือน จะทำให้ร่างกายนางไร้เรี่ยวแรงไปหมด แม้แต่มือที่ยกช้อนก็ยังสั่นน้อยๆ แต่ด้วยความทนทายาดผิดธรรมดาของนาง จึงถือว่าดูไม่น่าเวทนาเท่าไรนัก

 

 

พี่สาวแซ่หลินนั่งมองนางกินโจ๊กไปพลางชวนนางคุยไปพลาง ที่แท้พี่สาวแซ่หลินท่านนี้มิใช่คนที่ช่วยนางไว้ คนที่ช่วยนางไว้คือท่านหมออาวุโสเพียงคนเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้ เพียงแต่ภายในบ้านของท่านหมออาวุโสมิได้มีญาติพี่น้องคนอื่นอยู่ด้วย จึงไม่สะดวกที่จะดูแลสตรี ถึงได้ขอให้พี่สาวแซ่หลินมาคอยช่วยดูแลนาง

 

 

เมื่อนางเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา เยี่ยหลีก็อยากรีบไปคารวะขอบคุณท่านหมออาวุโสที่ช่วยชีวิตนางไว้ พี่สาวแซ่หลินรีบห้ามนาง พลางเอ่ยว่า “ท่านลุงหลินขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร สายๆ หน่อยถึงจะกลับมา พี่ดูก็รู้ว่าเจ้าเป็นกุลสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี แต่ในหมู่บ้านของเรานี้มิได้มีกฎระเบียบอันใดมากมายนัก เจ้ารักษาตัวให้ดี อย่าให้ความลำบากของท่านลุงหลินต้องเสียเปล่าก็พอ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าขอบคุณ แล้วพี่สาวแซ่หลินก็เปลี่ยนไปสนทนาเรื่องอื่น จนเมื่อพี่สาวแซ่หลินเก็บของออกไปแล้ว เยี่ยหลีก็พอรู้จักที่นี่อย่างคร่าวๆ ถึงแม้จะไม่รู้ตำแหน่งที่ตั้งที่แน่ชัด แต่ที่นี่ น่าจะเป็นหมู่บ้านที่แยกตัวออกจากโลกภายนอกและอยู่ห่างจากหุบเขาที่นางตกลงมาไม่ไกลนัก

 

 

ท่านหมออาวุโสหลินไปพบนางเข้าที่ริมแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่งยามที่เขาออกไปเก็บสมุนไพร แต่เรื่องที่น่าแปลกคือ ผ่านมาตั้งนมนานเช่นนี้แล้ว เหตุใดกองทัพตระกูลม่อและองครักษ์ลับยังหานางไม่พบอีก?

 

 

ตกเย็น เยี่ยหลีนั่งเหม่อมองพระอาทิตย์ตกดินอยู่นอกห้องริมสวนยา หมู่บ้านนี้มิใช่หมู่บ้านใหญ่ มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดเพียงสิบกว่าครัวเรือนเท่านั้น หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้สร้างอยู่ตามแนวภูเขา กระจายตัวอยู่ตามตีนเขาอย่างไร้กฎเกณฑ์ บ้านแต่ละหลังดูเก่าแก่และเล็กเตี้ย เห็นได้ชัดว่าคนที่นี่ต่างมิได้นิยมชมชอบในความหรูหรา คนวัยหนุ่มสาวและสตรีที่แต่งงานแล้วที่เดินผ่านไปมาเป็นครั้งคราว ต่างหันมาส่งยิ้มอย่างใจดีให้กับนางที่นั่งอยู่ริมสวนยา หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบและเรียบง่าย เยี่ยหลีนั่งมองพระอาทิตย์ที่กำลังตกลับขอบฟ้าไปพลางนั่งคิดอันใดไปเงียบๆ