ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง ชายชราผมขาวผู้หนึ่งเดินแบกตะกร้าใบยาเข้ามาช้าๆ เมื่อเห็นเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ริมสวนยาก็เลิกคิ้วสีขาวของตนขึ้น “ฟื้นแล้วหรือ เจ้าเด็กคนนี้ดูท่าจะมีบุญมากนัก ข้ายังคิดว่าอย่างน้อยอีกหนึ่งเดือนเจ้าถึงจะฟื้นขึ้นมาเสียอีก”
เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น โค้งคารวะชายชราผู้นั้นด้วยความนอบน้อม “จวินเหวยขอบคุณท่านหมอหลินมากในบุญคุณที่ท่านได้ช่วยชีวิตข้าไว้เจ้าค่ะ”
ชายชรามองสำรวจนางด้วยความสนใจ “คุณหนูตระกูลใหญ่? คุณหนูตระกูลใหญ่ที่มีบุญมากเช่นนี้ถือว่าพบได้น้อยนัก แม่หนู เจ้าแซ่อันใดหรือ”
ถึงแม้การโกหกผู้มีพระคุณดูจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมนัก แต่เยี่ยหลีก็ไม่อยากเสี่ยง นางเอ่ยเสียงต่ำว่า “แซ่ฉู่ นามฉู่จวินเหวยเจ้าค่ะ”
ชายชราเบนสายตามามองนาง พักใหญ่ถึงได้ยกมือขึ้นลูบเคราพร้อมพยักหน้าเอ่ยว่า “ฉู่…จวินเหวย…เป็นชื่อที่ดี สมตัวแม่หนูด้วย เพียงแต่ ข้าจำได้ว่าต้าฉู่ไม่มีตระกูลใหญ่แซ่ฉู่ ดูจากท่าทางการพูดการจาของแม่หนูผู้นี้แล้ว ก็ไม่เหมือนคนที่ได้รับการอบรมมาจากบ้านตระกูลธรรมดาๆ”
เยี่ยหลียิ้มอย่างขอลุแก่โทษ “ท่านหมอหลินเอ่ยชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ จวินเหวย…ตระกูลฝั่งมารดาอยู่ที่อวิ๋นโจว จะว่าไปก็มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลสวีแห่งอวิ๋นโจวอยู่เล็กน้อยเจ้าค่ะ”
ระหว่างที่พูด เยี่ยหลีก็ลอบสังเกตสีหน้าของชายชราด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับเห็นเพียงชายชราขมวดคิ้วเล็กน้อย พยักหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ตระกูลสวีแห่งอวิ๋นโจวหรือ เช่นนั้น…ก็พอฟังดูเข้าเค้า เอาเถิด ข้าก็ไม่สนใจหรอกว่าเจ้าเป็นลูกหลานตระกูลใด ในเมื่อข้าได้ช่วยเจ้าแล้ว ก็ถือว่าเจ้ากับข้ามีบุญวาสนาต่อกัน รักษาร่างกายให้สบายใจเถิด”
เยี่ยหลีหลุบตาลง เอ่ยเสียงต่ำว่า “ขอบคุณท่านหมอหลินมากเจ้าค่ะ” นางสังเกตสีหน้าของชายชรา ก็ไม่เหมือนว่าเขากำลังเล่นละครแต่อย่างใด ข่าวการตกหน้าผาของนางอย่างไรก็คงปิดไว้ไม่มิด ยามนี้จะต้องแพร่ไปทั่วต้าฉู่แล้วอย่างแน่นอน เมื่อครู่นางตั้งใจเอ่ยถึงตระกูลสวีแห่งอวิ๋นโจว ขอเพียงเป็นคนที่พอรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง อย่างน้อยจะต้องเชื่อมโยงเรื่องราวได้อย่างแน่นอน แต่สีหน้าของชายชรากลับดูไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย หากมิใช่ว่าฝีมือในการแสดงของเขาเก่งกาจเหมือนจริงมากจนไม่มีพิรุธเลยแล้ว ก็คงเป็นว่าเขาไม่รู้ข่าวที่ชายาติ้งอ๋องตกหน้าผาตั้งแต่ต้น
ตัวเยี่ยหลี…มั่นใจว่าเป็นอย่างหลัง ขณะที่นางกำลังตกจากหน้าผา ได้ขว้างกริชเล่มสุดท้ายในตัวเข้าใส่เจิ้นหนานอ๋อง แม้แต่เสื้อผ้าของนางก็เป็นเสื้อผ้าที่เรียบง่ายธรรมดาและไม่สะดุดตาอย่างที่สุด บนตัวก็ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถยืนยันตัวตนของนางได้ หากมิใช่คนที่รู้จักเยี่ยหลี ก็ไม่มีทางที่จะรู้ถึงฐานะของนางตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น
ถึงแม้นางจะรู้สึกผิดที่ต้องโกหกชายชรา แต่เยี่ยหลีรู้ดีว่าตนจะต้องคอยระมัดระวังให้มาก จะไม่ยอมให้ตนเองตกอยู่ในเงื้อมือของศัตรู และกลายเป็นหมากให้อีกฝ่ายใช้ข่มขู่ม่อซิวเหยาเด็ดขาด
เมื่อคิดถึงม่อซิวเหยา ใจเยี่ยหลีเหมือนถูกใครมาดึงรั้งหัวใจเอาไว้จนปวดหนึบไปหมด ดูเหมือน…ตลอดทั้งปีที่แล้ว พวกเขาต้องแยกกันไปใช้ชีวิตอยู่เกือบตลอดเวลา เมื่อรู้ข่าวการตายของนาง…นางคิดถึงสุขภาพของม่อซิวเหยา คิ้วของเยี่ยหลีจึงยิ่งขมวดมุ่นมากยิ่งขึ้น
“เจ้ายังไม่เข้ามาอีก? มัวแต่นั่งอยู่ข้างนอกนั่น อยากตากฝนหรือไร ไม่เห็นหรือว่าฝนใกล้จะตกเต็มทีแล้ว” เสียงของชายชราเอ่ยดังมาจากภายในบ้านอย่างไม่เกรงใจ
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าพระอาทิตย์ที่กำลังตกลงถูกเมฆดำกลุ่มใหญ่บังไว้เสียแล้ว ฝนคงใกล้ตกเต็มที เยี่ยหลียิ้มบางๆ ก่อนหมุนตัวกลับเข้าบ้านไป
อาหารค่ำยามเย็น เยี่ยหลีอาสาทำกับข้าวง่ายๆ สองอย่าง ดูท่านหมอหลินจะพอใจเป็นอย่างยิ่ง หันมองเยี่ยหลีแล้วเอยว่า “ถือว่าไม่ได้เก็บพวกใช้การไม่ได้กลับมา”
เยี่ยหลีอดหน้าบึ้งลงไม่ได้ ท่านหมอหลินนั่งลงบนโต๊ะหน้าตาเรียบง่ายธรรมดาๆ และเริ่มลงมือกินข้าวแล้ว
ระหว่างที่กินข้าวอยู่นั้น จู่ๆ ดูเหมือนท่านหมอหลินจะนึกอันใดขึ้นมาได้ จึงหันมาถามเรื่องเกี่ยวกับเยี่ยหลีต่อ “เจ้ามาจากที่ใด”
เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย แล้วตอบไปตามจริงว่า “หงโจวเจ้าค่ะ”
คิ้วคมของท่านหมอหลินขมวดเข้าหากันแน่น เอ่ยถามว่า “หงโจว? นั่นคือที่ใดหรือ”
เยี่ยหลีอึ้งไป คาดไม่ถึงว่าเขาจะถามคำถามเช่นนี้ หงโจวเป็นประตูด่านแรกของเมือนหงโจว การใช้ชีวิตอยู่บริเวณใกล้เคียงเขตซีเป่ย ต่อให้ไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลสวี แต่ก็ไม่ควรไม่รู้ว่าหงโจวอยู่ที่ใด
ท่านหมอหลินขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ไปมานานแล้ว ชื่อของหลายๆ ที่คงจะเปลี่ยนกันไปหมดแล้ว”
เยี่ยหลีตกใจ หงโจวเดิมทีมิได้ชื่อหงโจวจริงๆ อย่างน้อยๆ เมื่อห้าสิบปีก่อน หงโจวยังถือเป็นส่วนหนึ่งของหรู่หยาง มีชื่อว่า ปี้หยาง จนเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน หงโจวถึงได้ถูกแยกเข้ามาอยู่ในเขตซีเป่ยอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็กลายเป็นเขตของตนเองและเปลี่ยนชื่อเป็นหงโจว
เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ยังมีอีกชื่อหนึ่ง ดูเหมือนจะเรียกว่า…ปี้หยางเจ้าค่ะ”
“ปี้หยาง?” ตะเกียบในมือของท่านหมอหลินชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยด้วยความไม่เข้าใจว่า “เจ้าเป็นเด็กสาวเพียงคนเดียว เดินทางจากปี้หยางมาถึงที่นี่ได้อย่างไร”
เยี่ยหลีมองเขาด้วยความงงงวย
ท่านหมอหลินเอ่ยว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ออกไปจากที่นี่มานานแล้ว แต่ก็พอรู้อยู่บ้าง ด้วยความเร็วในการเดินของเจ้า หากคิดจะเดินทางจากปี้หยางมาที่นี่ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาสองเดือน”
“สองเดือน? ที่นี่คือที่ใดกันเจ้าคะ” เยี่ยหลีไม่เชื่อ ตามที่พี่สาวแซ่หลินกล่าว อย่างมากพวกเขาก็พาตัวนางกลับมาหลังจากนางตกจากหน้าผาได้สามวัน นางจะเดินทางมาไกลเช่นนี้ได้อย่างไร ต่อให้ลอยตามน้ำมาก็ไม่มีทางรวดเร็วเช่นนี้
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ นางก็ชะงักไปเล็กน้อย แม้น้ำใหญ่สายนั้นในหุบเขา นางไม่คุ้นเคยมากนัก แต่ก็ไม่ถึงกับไม่รู้จักเอาเสียเลย ว่ากันตามจริงแล้ว หากนางถูกน้ำพัดไปตามน้ำทันทีที่นางพลัดตกลงมา เช่นนั้นอย่างมากนางก็ควรถูกไปพัดไปยังริมทะเลสาบที่อยู่ห่างจากหงโจวไปร้อยกว่าลี้เท่านั้น แต่มิใช่มาปรากฏตัวยังริมแม่น้ำสายเล็กในภูเขาอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้
นางก้มหน้าลงนึก พยายามนึกถึงสภาพภูมิประเทศของแม่น้ำและภูเขาโดยรอบหงโจว แล้วเยี่ยหลีก็เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า “ที่นี่…คือภูเขาทางตอนเหนือของหงโจว?”
ท่านหมอหลินส่งสายตาชื่นชมไปให้นาง “ที่นี่อยู่ห่างจากหงโจวอย่างน้อยก็เจ็ดแปดร้อยลี้ ที่สำคัญที่สุดคือ เส้นทางเป็นเส้นทางบนภูเขาแสนขรุขระ ระหว่างทางไม่ต้องพูดถึงเรื่องงูพิษหรือแมลงมีพิษเลย อย่าว่าแต่เจ้า เด็กหนุ่มทั่วๆ ไปก็ไม่กล้าออกไปจากที่นี่ง่ายๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยี่ยหลีก็ถึงกับจับต้นชนปลายไม่ถูก ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าจะออกกลับไปเช่นไรเจ้าคะ”
ท่านหมอหลินกรอกตาบน แล้วเอ่ยว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร คนแก่อย่างข้าช่วยเจ้ามาแล้ว ยังต้องรับผิดชอบพาเจ้าไปส่งบ้านอีกหรือ ทางเลือกแรก คลอดบุตรเสร็จแล้ว รักษาร่างกายให้แข็งแรงเสียก่อน แล้วค่อยดูว่าจะมีคนกล้าไปส่งเจ้ากลับไปหรือไม่ แต่ข้าว่าคงยาก! ทางเลือกที่สอง ทำใจใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ให้สงบ แล้วต่อไปค่อยแต่งงานแล้วใช้ชีวิตต่อไปให้ดี เรื่องก่อนหน้านี้ก็ลืมมันไปเสียเถิด เจ้าวางใจได้ เด็กหนุ่มในหมู่บ้านนี้ล้วนใช้ได้ทั้งสิ้น คงไม่รังเกียจที่เจ้าเคยแต่งงานมาแล้ว หรือไม่ให้ข้าเป็นพ่อสื่อให้เจ้า?”
เยี่ยหลีกรอกตาบนใส่เขาตรงๆ ถึงแม้จะเพิ่งทำความรู้จักกันได้ไม่ถึงหนึ่งวันเต็มดี แต่นางก็มองออกว่า ชายชราผู้นี้เป็นชายชราประหลาดที่ไม่เคารพในตน ในใจนางคิดใคร่ครวญว่า อย่างน้อยอีกตั้งสี่เดือนกว่าจะถึงกำหนดคลอดบุตร บวกกับเมื่อคลอดบุตรออกมาแล้ว ยังต้องเลี้ยงดูอยู่อีกพักใหญ่กว่าจะสามารถออกเดินทางได้ หรือก็คืออย่างน้อย…อีกหกเดือนนางถึงจะสามารถออกเดินทางกลับไปได้
เมื่อคิดถึงจุดนี้ นางก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เพียงแต่สภาพนางในขณะนี้ก็ไม่สามารถทำอันใดได้มากกว่านี้ หวังเพียงว่าหงโจวและม่อซิวเหยาจะแคล้วคลาดปลอดภัย อย่างน้อย…นางก็ยังอยากให้บุตรของนางมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ
นางก้มหน้าลงสัมผัสบุตรในครรภ์ที่ขยับตัวเป็นครั้งคราว แล้วเยี่ยหลีก็ระบายยิ้มอ่อนๆ ออกมา
“หึ! กำลังคิดถึงสามีที่ใจร้ายของเจ้าอยู่หรือ” เมื่อเห็นนางอมยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน ท่านหมอหลินก็ส่งเสียงหึ พร้อมมองค้อนนาง
เยี่ยหลีเพียงเอ่ยกลั้วหัวเราะ “บิดาของบุตรข้า สามีของข้า อีกอย่างเขาก็ดีกับข้ามาก”
“ดีมากแล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ท่านหมอหลินพ่นลมหายใจใส่นาง เด็กสาวผู้นี้เพียงมองดูก็รู้ว่า เกิดในตระกูลบัณฑิตที่ร่ำรวย หากดีต่อนางมากจริงๆ ก็ควรดูแลให้นางอยู่ในบ้าน ได้กินอาหารรสเลิศ ได้ใส่เสื้อผ้าดีๆ มีบุตรสาวตระกูลใหญ่คนใดบ้างที่จะพลัดหลงมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ อย่างน้อยตลอดหกสิบปีในชีวิตชายชราอย่างเขา ก็เพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ มิได้เอ่ยโต้แย้งคำพูดของเขาอีก
ซิวเหยา…ข้าจะพาลูกกลับไปโดยเร็ว…