ตอนที่ 177 ชีวิตในหมู่บ้านอันเงียบสงบ

ชายาเคียงหทัย

ในหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาที่เงียบสงบและปิดตายจากโลกภายนอก สุขภาพร่างกายของเยี่ยหลีค่อยๆ ดีขึ้นภายใต้การดูแลของท่านหมอหลิน

 

 

การที่ในหมู่บ้านบนภูเขาที่ตัดขาดจากโลกภายนอกแห่งนี้มีท่านหมอหลินที่มีฝีมือด้านการแพทย์เป็นเลิศ ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ท่านหมอที่เชี่ยวชาญทางการแพทย์อย่างเสิ่นหยาง เยี่ยหลีก็พบมาไม่น้อย แต่ถึงแม้จะเป็นท่านหมอท่านี้จะไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ฝีมือทางการแพทย์ของเขาก็ถือว่าไม่เป็นสองรองผู้ใด

 

 

เยี่ยหลีเคยเห็นกับตาว่าเขาช่วยต่อกระดูกและใส่ยาให้กับคนในหมู่บ้านที่ขาหักกลับมาจากการออกไปล่าสัตว์ เดิมทีเยี่ยหลียังคิดว่าอย่างน้อยเขาคงต้องเดินขากระเผลก แต่หนึ่งเดือนหลังจากนั้น เขากลับสามารถลุกขึ้นมาเดินด้วยตนเองได้ ถึงแม้จะยังดูขัดๆ อยู่บ้าง แต่ก็ดูออกว่า หากพักรักษาตัวอีกอย่างมากไม่เกินสองถึงสามเดือน ชายหนุ่มผู้นั้นจะสามารถกลับมาเดินเหินได้อย่างแข็งแรง

 

 

เมื่อรับรู้ถึงสายตาประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งของเยี่ยหลี ท่านหมอหลินก็มองนางด้วยความได้ใจ “วิชาการแพทย์ของข้าเกินกว่าคนทั่วไปจะเข้าใจได้หรือ”

 

 

เยี่ยหลีกระตุกมุมปาก ก้มหน้าลงก็เห็นว่าตนเองจมอยู่ท่ามกลางตำราการแพทย์ที่ท่านหมอหลินโยนมาให้เสียแล้ว ยามนี้นางตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนกว่า หลังจากที่ท่านหมอหลินคอยดูแลร่างกายนางมาได้กว่าหนึ่งเดือน ก็มักมองค้อนนางเสมอๆ จับจ้องหน้าท้องที่กลมจนกลายเป็นลูกบอลของนาง แล้วส่งเสียงหึหึ พลางเอ่ยว่า “เจ้าเด็กนี่ช่างมีวาสนาดีนัก ต่อไปคงจะกลายเป็นเจ้านายที่ทำให้คนปวดหัวไม่น้อย”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยหลีก็ลูบท้องเบาๆ พร้อมระบายยิ้มน้อยๆ ตกลงมาจากหน้าผาพร้อมนาง ทั้งยังนอนอยู่เฉยๆ อีกสี่เดือนก็ยังแข็งแรงดี ไม่ถือว่ามีวาสนาดีหรอกหรือ

 

 

นางอ่านตำราแพทย์ไปพลาง ก็มองท่านหมอหลินที่วุ่นอยู่กับการจัดเรียงสมุนไพรที่เก็บลงมาจากบนเขาอยู่ด้านนอกบ้าน เยี่ยหลีเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ว่า “ท่านหมอหลิน ท่าน…ไม่เหมือนกับคนในหมู่บ้านนี้เลย”

 

 

มือที่ยุ่งวุ่นวายอยู่ของท่านหมอหลิน ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนกลับมาเคลื่อนไหวต่ออย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าว่า “เด็กสาวอย่างเจ้า เหมือนกับพวกเขาอย่างนั้นหรือ”

 

 

เยี่ยหลีระบายยิ้ม เอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านหมอก็ยอมรับแล้วว่า ท่านเป็นคนมาจากด้านนอกเช่นเดียวกับข้า?”

 

 

ท่านหมอหลินไม่เหมือนกับคนในหมู่บ้านนี้ เยี่ยหลีดูออกตั้งแต่ได้สติขึ้นมาเพียงไม่กี่วัน ชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ต่างให้ความเคารพท่านหมอผู้นี้อย่างมาก มิใช่เพียงเพราะฝีมือทางการแพทย์ที่เก่งกาจของเขา แต่ด้วยเพราะเขาได้รับการศึกษามาอย่างดี ไม่เหมือนกับชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้

 

 

ไม่ว่าจะยุคสมัยใด ชาวบ้านก็มักให้ความเคารพคนที่มีการศึกษาอยู่หลายส่วน ภายในบ้านของท่านหมอหลินยังมีห้องหนังสือโดยเฉพาะอีกด้วย ด้านในเต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายประเภท เยี่ยหลีลองหยิบออกมาดูสองเล่ม ก็พบว่าในบรรดาหนังสือเหล่านั้น ถึงขั้นมีหนังสือโบราณที่หายสาบสูญไปตั้งแต่สมัยราชวงศ์ก่อนอยู่ด้วย บุคคลเช่นนี้ มาปรากฏตัวอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่แทบไม่มีคนรู้หนังสือได้อย่างไร หนำซ้ำยังได้ยินว่าเขาอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีแล้วอีกด้วย นางจึงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

 

ท่านหมอหลินลุกยืนขึ้น ปัดเศษดินที่มือออก หันมองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยว่า “ข้าเองก็มองออก ว่าเจ้านั้นก็มิใช่คุณหนูตระกูลใหญ่ธรรมดาทั่วไป ช่วงที่ผ่านมานี้ เชื่อว่าเจ้าคงสืบเรื่องข้ามาไม่น้อยแล้วเหมือนกันใช่หรือไม่”

 

 

มุมปากเยี่ยหลียกขึ้นยิ้มน้อยๆ มิได้เอ่ยปฏิเสธ ช่วงที่ผ่านมา นางได้สอบถามเรื่องราวของท่านหมอหลินมาบ้างแล้วจริงๆ แต่ก็มิได้มีเรื่องราวอันใดพิเศษ ท่านหมอหลินย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านนี้เมื่อสามสิบปีก่อน ว่ากันว่าเขาแซ่หลิน แต่ด้วยเพราะคนในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่ต่างใช้แซ่หลิน เยี่ยหลีจึงคิดว่า เรื่องนี้อาจมิใช่ความจริง ว่ากันว่าในยามนั้นเขาได้พาเด็กทารกที่ยังอยู่ในห่อผ้ามาด้วยหนึ่งคน ชื่อว่า หลินย่วน แต่เมื่อสิบเอ็ดสิบสองปีก่อน หลินย่วนก็ออกจากหมู่บ้านไปและไม่ได้กลับมาอีกเลย ท่านหมอหลินเองก็มิได้ออกตามหาเขา และใช้ชีวิตอยู่เช่นนี้มาหลายปี หลายคนจึงค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องนี้ไป

 

 

“ท่านหมอหลินไม่เคยคิดจะไปจากที่นี่เลยหรือเจ้าคะ” เยี่ยหลีเอ่ยถาม

 

 

แววตาท่านหมอหลินดูครึ้มไป พักใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ข้าอายุอานามเท่านี้แล้ว ยังจะไปอยู่ที่ใดได้อีก สู้อยู่ที่นี่คอยดูแลรักษาเพื่อนบ้านเหล่านี้เสียยังดีกว่า อีกหน่อยหากข้าตายไป พวกเขาก็จะได้ช่วยเก็บศพข้าฝังลงดินได้อย่างสงบ”

 

 

เมื่อรู้สึกได้ว่าท่านหมอหลินดูซึมไป เยี่ยหลีก็หยุดคิดเล็กน้อย “ท่านหมอหลินไม่เคยคิดจะไปตามหาบุตรชายของท่านหรือ บางทีไม่แน่ว่าข้าอาจพอช่วยอันใดได้”

 

 

ท่านหมอหลินส่งเสียงหึเย็นๆ “เขาคงไม่กลับมาอีกแล้ว อีกอย่าง เขาก็หาใช่บุตรของข้าไม่”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น ตัดสินใจที่จะหยุดบทสนทนาในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ ท่านหมอผู้เฒ่าดูจะมิใช่คนชอบฝึกสงบจิตสงบใจ และก็มิใช่คนอารมณ์เย็นสักเท่าไรนัก

 

 

เมื่อฟังคำพูดของท่านหมอหลินและมั่นใจแล้วว่าตนไม่สามารถไปจากหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลจากผู้คนแห่งนี้ไปได้ในเร็ววัน เยี่ยหลีจึงทำใจและอาศัยอยู่ที่นี่อย่างสงบ

 

 

หลังจากนางได้สติขึ้นมาสิบกว่าวัน ก็มีการสร้างบ้านไม้หลังเล็กๆ ขึ้นที่ข้างๆ บ้านของท่านหมอหลิน จากนั้นนางก็ย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่น

 

 

ตามปกติเยี่ยหลีจะเดินเที่ยวไปทั่วและแวะเวียนพูดคุยกับชาวบ้านในหมู่บ้าน หรือบางทีก็อยู่ในบ้านคอยช่วยท่านหมอหลินทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ หลังมื้ออาหารก็เข้าไปหยิบหนังสือออกมาจากห้องที่เต็มไปด้วยหนังสือของท่านหมอหลิน แล้วหนังสือเหล่านั้น ค่อยๆ วางกระจายอยู่ในห้องของเยี่ยหลี

 

 

เรื่องที่เยี่ยหลีย้ายเอาหนังสือโบราณของตนออกไป ท่านหมอหลินไม่ได้ว่าอันใดทั้งสิ้น ในหมู่บ้านแห่งนี้ ไม่มีคนรู้หนังสือ ตั้งแต่สิบเอ็ดปีก่อนที่เด็กที่เขาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่จากไป หนังสือเหล่านั้นก็วางอยู่เฉยๆ ไม่มีผู้ใดไปหยิบจับมาอ่านแม้แต่น้อย

 

 

ช่วงเวลาที่เหลือ เยี่ยหลีก็นำปิ่นปักผมหน้าตาเรียบง่ายที่ติดตัวมาด้วย ไปขอแลกเป็นผ้านุ่มๆ จากสตรีในหมู่บ้านที่ทอผ้าเป็น อีกไม่กี่เดือนลูกนางก็จะออกมาลืมตาดูโลกแล้ว น่าจะต้องเตรียมเสื้อผ้าดีๆ ไว้ให้กับลูกน้อยของนางสักหน่อย

 

 

นางมองผ้าธรรมดาๆ ที่ติดจะหยาบกระด้างเล็กน้อยในมือ ใจเยี่ยหลีก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเล็กน้อย หากมิได้อยูที่นี่ ของกินของใช้ของลูกนางที่เกิดมา คงเป็นของที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในยามนี้…นางเงยหน้าขึ้นมองแสงอาทิตย์ยามอัสดงที่สาดส่องอยู่ด้านนอกห้อง แล้วเยี่ยหลีก็ถอนใจเบาๆ โลกภายนอกยามนี้ เกรงว่าไฟสงครามคงกำลังลุกโชนโหมกระหน่ำ อยู่ที่นี่อย่างน้อยก็ปลอดภัยกว่ามากมิใช่หรือ

 

 

ในขณะที่นางกำลังตัดเย็บชุดให้กับบุตรของนางนั้น เยี่ยหลีก็ได้ตัดชุดให้ท่านหมอหลินใส่ด้วย ถึงแม้ชายชราจะมิได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แต่คำพูดเหน็บแนมที่มีต่อเยี่ยหลีก็น้อยลงไปมาก ทั้งยังโยนหนังสือเล่มสองเล่มที่นางเพียงเคยได้ยินชื่อ แต่หายสาบสูญไปนานแล้ว มาให้นางเป็นระยะๆ อีกด้วย

 

 

เยี่ยหลีมองตำราโบราณในมือที่ท่านหมอหลินโยนมาประหนึ่งเป็นของไร้ค่าไร้ราคา มุมปากนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ นางรู้ดีว่าชายชราที่มีนิสัยแสนประหลาดผู้นี้ ค่อยๆ ยอมรับการมีตัวตนของนางแล้ว อันที่จริง หากมิใช่เพราะที่ด้านนอกมีคนที่นางเป็นห่วงเป็นใยอยู่มากมายเพียงนั้น การใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ไปตลอดชีวิต ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนัก

 

 

“น้องฉู่…น้องฉู่ เจ้าอยู่หรือไม่”

 

 

ในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินอยู่ ด้านนอกก็มีเสียงชายหนุ่มดังขึ้น เยี่ยหลีได้แต่ทอดถอนใจ ในโลกนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีคนหรือสองคนที่ทำให้คนพูดไม่ออกอยู่ ขณะที่นางจับโต๊ะพยุงตัวลุกขึ้น คนด้านนอกก็เดินใกล้เข้ามาแล้ว

 

 

เขาเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่รูปร่างไม่สูงใหญ่นัก ในมือถือไก่ป่าตัวหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นเยี่ยหลีก็รีบยกยิ้มให้อย่างยินดี ก้าวเข้ามาเอ่ยว่า “น้องฉู่ ข้าขึ้นเขาไปจับไก่ป่ามาได้ตัวหนึ่ง ให้เจ้าเอาไว้บำรุงร่างกายก็แล้วกันนะ”

 

 

เยี่ยหลีได้แต่ลอบถอนใจ เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ชายผู้นั้น “พี่หลิน ขอบคุณในน้ำใจของพี่มาก เพียงแต่ข้าไม่ค่อยกินเนื้อสัตว์ ดังนั้นของพวกนี้ท่านนำกลับไปให้ท่านลุงท่านป้าบำรุงร่างกายเถิด”

 

 

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ต่อให้เจ้าไม่กิน อย่างไรก็ต้องบำรุงบุตรในครรภ์นะ สิ่งนี้…เป็นของที่แม่ข้าให้ข้านำมาให้เจ้า” เมื่อพูดถึงตรงนี้ บนใบหน้าบ้านๆ ของชายหนุ่มก็แดงระเรื่อขึ้นทันที มองเยี่ยหลีอย่างรอคอยคำตอบ

 

 

เมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้า เยี่ยหลีก็อดรู้สึกอยากเอามือกุมขมับขึ้นมาไม่ได้ เอาเข้าจริงการมีธรรมเนียมวัฒนธรรมที่เรียบง่ายเกินไปก็มีส่วนไม่ดีอยู่เช่นกันกระมัง หากเป็นที่อื่น การที่นางอยู่ตัวคนเดียว ซ้ำยังตั้งครรภ์อยู่เช่นนี้ อย่างไรคนภายนอกก็คงนึกรังเกียจนางอยู่บ้าง แต่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ตั้งแต่นางเริ่มออกจากบ้านไปไหนมาไหนได้ ท่านหมอหลินก็บอกนางว่า มีบ้านถึงสองบ้านที่เคยเอ่ยเป็นนัยๆ ว่าอยากแต่งนางเข้าบ้าน ทั้งยังไม่สนใจที่นางกำลังตั้งครรภ์อยู่อีกด้วย

 

 

ถึงแม้นางจะเคยอธิบายไปแล้วหลายคราว่า นางมาที่นี่ด้วยเพราะเกิดอุบัติเหตุ หากคลอดบุตรเรียบร้อยและร่างกายแข็งแรงดีแล้ว ก็คงจะกลับไป แต่เห็นได้ชัดว่าคนที่เชื่อคำพูดของนางคงมีอยู่ไม่มากนัก เพราะถึงอย่างไรในสายตาของผู้อื่น การคิดออกไปจากที่นี่ ต้องผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตราย ขนาดชายอกสามศอกยังไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าออกไป นับประสาอันใดกับสตรีผู้อ่อนแออย่างนางที่ต้องหอบบุตรออกไปด้วยอีกคนหนึ่ง

 

 

“พี่หลิน ขอบคุณในน้ำใจของท่านมาก เพียงแต่…ข้ากับสามีของข้ามีใจรักใคร่ต่อกัน เขาจะต้องรอข้าอยู่ที่บ้านเป็นแน่ ดังนั้น หากเมื่อใดที่บุตรของข้าออกมาลืมตาดูโลก ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะต้องพาบุตรกลับไปหาเขาให้จงได้ ดังนั้น…พี่หลินท่านไม่จำเป็นต้องทำเพื่อข้าเช่นนี้หรอก”

 

 

เดิมทีเยี่ยหลีไม่คิดจะพูดออกไปตรงๆ เช่นนี้ แต่คนผู้นี้มักนำของกินของป่ามาส่งให้นางที่บ้านไม่เว้นแต่ละวัน จนทุกครั้งที่นางออกจากบ้าน ชาวบ้านไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างเข้ามาจับมือนางและเอ่ยเป็นนัยๆ ถึงเรื่องนี้ จนทำให้เยี่ยหลีรู้สึกรำคาญใจเป็นที่สุด ที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องบางเรื่อง เมื่อตัดได้ก็ควรตัดให้ขาด การดึงรั้งไปเรื่อยๆ กลับมิใช่เรื่องดีอันใด

 

 

ใบหน้าชายหนุ่มแดงก่ำขึ้นไปอีก สีหน้าดูห่อเ**่ยว รีบเอ่ยอย่างร้อนรนว่า “ข้ารู้…ท่านหมอหลินบอกแล้วว่าน้องฉู่เป็นคุณหนูจากตระกูลผู้มีอันจะกินที่ด้านนอก ข้า…ข้าไม่คู่ควรกับเจ้า เช่นนั้น…สิ่งนี้ข้าบังเอิญจับมาได้จากบนภูเขา เจ้าเก็บไว้เถิด ข้า ข้า…”

 

 

สุดท้ายดูเหมือนเขาไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใดได้อีก ชายหนุ่มจึงโยนไก่ป่าไว้ แล้วรีบหมุนตัววิ่งออกไปทันที

 

 

เยี่ยหลีมองปากประตู ก้มหน้าลงยิ้มขื่นๆ มองบริเวณหน้าท้องที่นูนป่องออกมา

 

 

“เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าหนุ่มนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เลวที่สุดในหมู่บ้านของพวกเราเลยนะ” ไม่รู้ท่านหมอหลินเดินเข้ามาจากข้างนอกตั้งแต่เมื่อใด เมื่อเห็นของป่าที่วางอยู่ข้างโต๊ะก็เอ่ยขึ้นอย่างรู้เรื่องทุกอย่างเป็นอย่างดี

 

 

เยี่ยหลีได้แต่ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน “เหตุใดท่านหมอหลินต้องล้อเลียนข้าเช่นนี้ ท่านไม่ใช่ไม่รู้เสียหน่อยว่าอย่างไรข้าก็ต้องไปจากที่นี่”

 

 

ท่านหมอหลินนั่งลงพร้อมถอนหายใจแรง “ข้ารู้ แค่ดูข้าก็รู้แล้วว่าเจ้ามิใช่เด็กสาวธรรมดาทั่วไป หมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาแห่งนี้คงรั้งเจ้าไว้ไม่ได้ ก็เหมือนกับเจ้าเด็กหนุ่มเมื่อตอนนั้น จะมีใจสักนิดก็หาไม่ บอกจะไปก็ไปเลย ผ่านมาก็หลายปีแล้ว ก็ไม่คิดจะกลับมาเยี่ยมเยียนกันบ้าง”

 

 

เมื่อเห็นชายชราขมวดคิ้วบ่นด้วยความน้อยใจ เยี่ยหลีก็ทำได้เพียงยิ้มน้อยๆ และคิดในใจว่า ต่อไปหากออกไปจากที่นี่แล้ว จะหาโอกาสช่วยชายชราผู้นี้หาคนชื่อหลินย่วนดู

 

 

ท่านหมอหลินมองนางพร้อมเอ่ยด้วยความเสียใจว่า “คนแก่อย่างข้าอายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว เดิมทีเห็นว่าเจ้าเป็นเด็กที่หัวไว นิสัยก็ไม่เลว จึงคิดอยากให้วิชาการแพทย์ของข้ามีผู้สืบทอดต่อไป ในหมู่บ้านนี้…ต่อไปจะได้มีหมอคอยดูแล”

 

 

“เหตุใดท่านหมอหลินถึงไม่เลือกคนในหมู่บ้านสักคนมาถ่ายทอดวิชาเล่าเจ้าคะ” เยี่ยหลีเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้

 

 

ท่านหมอหลินอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้มาสามสิบปีแล้ว โดยหลักการหากคิดอยากหาผู้สืบทอดสักคน ก็ควรหาเสียตั้งนานแล้ว

 

 

ท่านหมอหลินส่งเสียงหึเบาๆ “ในหมู่บ้านนี้ไม่มีคนรู้หนังสือสักตัว ว่ากันว่าเป็นกฎที่บรรพบุรุษของพวกเขาวางเอาไว้ ไม่อนุญาตให้เรียนหนังสือ ไม่อนุญาตให้ออกไปจากหมู่บ้าน หากไม่รู้หนังสือแล้วข้าจะไปสอนอันใดได้ สอนไปอย่างมากก็ได้เพียงหมอชั้นเลวเท่านั้น”

 

 

เยี่ยหลียิ้มตาม “ช่างน่าเสียดายเสียจริง หากท่านหมอหลินไม่รังเกียจ ก็ถ่ายทอดวิชาให้จวินเหวยเถิด เพียงแต่ชั่วเวลาเพียงไม่กี่เดือน ไม่รู้ว่าจะเรียนรู้ได้มากน้อยเพียงใด”

 

 

ท่านหมอหลินกวาดตามองประเมินนางขึ้นลงอยู่หลายที จนเมื่อลุกเดินจะออกไปแล้ว ถึงได้ทิ้งคำพูดไว้ว่า “ท่องตำราที่ข้าให้ไว้เมื่อวานให้ได้ล่ะ”

 

 

เยี่ยหลีมองตามแผ่นหลังของชายชราไป แล้วระบายยิ้มน้อยๆ “เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”