บทที่ 321
บทที่ 321

จวนขององค์ชายรองเช่าฟ๋างทั้งใหญ่และมีการคุ้มกันหนาแน่นมาก แทบจะมีทหารทุกอย่างก้าวตลอดเวลาที่เดินเข้าไป

ถังหยินและเจาจูเองก็ถูกทหารเดินนำทางไปยังห้องโถงหลัก

ก่อนเข้าไปห้องโถง พวกเขาต้องขึ้นบันไดวนที่ทำจากหินอ่อนอันวิจิตรประณีตหลากหลายขั้น นอกจากนี้ก็ยังมีนายทหารสองคนในชุดเกราะสีทองตั้งแต่หัวจรดเท้ายืนเฝ้าอยู่ด้านหน้า

เมื่อพวกถังหยินเดินเข้ามา นายทหารก็เดินเข้ามาห้ามเอาไว้แล้วยื่นมือขวาง “วางอาวุธของเจ้าไว้ตรงนี้”

พี่น้องฉางกวงทำท่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วพวกเขาก็เห็นว่าถังหยินเอาดาบของตัวเองมอบให้กับอีกฝ่ายไปแล้ว

นายทหารหยิบดาบทั้งสองไป พวกเขาไม่เคยเห็นดาบซิมิทาร์แบบนี้มาก่อน จึงได้ถามขึ้นมา “นี่มันดาบอะไรกันเนี่ย ?”

จากนั้นเขาก็หันไปบอกสองพี่น้อง “อาวุธของพวกเจ้าด้วย”

สองพี่น้องฉางกวงไม่มีทางเลือก พวกเขาได้แต่มอบอาวุธให้ ส่วนซงหยวนและเจาจูที่ไม่ได้พกอาวุธอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น …เจาจูอ้าแขนกว้าง “ท่านแม่ทัพ ข้าไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

นายทหารสำรวจร่างกายของเขา และเมื่อไม่เห็นสิ่งใดที่เป็นอาวุธก็ส่ายหัว “เข้าไปได้เลย” เมื่อพูดจบเขาก็ไล่มองคนที่ยังเหลืออยู่ก่อนอนุญาตให้เข้าไปได้

ระหว่างที่เดินขึ้นไป หยวนเปียวก็หัวเราะแห้งๆ “เจ้าองค์ชายนี่มันประสาทหรือไงเนี่ย”

ถังหยินกลอกตาให้อีกฝ่าย และบอกให้เลิกพูดอะไรแง่ร้ายแบบนั้น เพราะที่นี่คือจวนขององค์ชายรองที่พวกเขาพูดถึงอยู่ ถ้าหากยังอยากมีชีวิตรอดออกไป ก็ควรจะหยุดพูดอะไรแบบนั้น

ทุกคนคิดว่าการตรวจร่างกายเสร็จแล้ว แต่ทว่าเมื่อพวกเขาขึ้นไปข้างบน ก็ได้พบว่ายังมีทหารอีกชุดหนึ่งตรวจค้นตัวพวกเขาอีกครั้งก่อนที่จะอนุญาตให้เข้าไปได้

ชายหนุ่มมองเข้าไปภายใน ก็ได้เข้ากับเห็นโต๊ะยาวตัวหนึ่งที่มีเหยือกไวน์ แก้วไวน์ และผลไม้มากมาย โดยมีชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ดูมีอายุราว ๆ 30 ต้น ๆ มีมงกุฎทองประดับศีรษะที่เข้าคู่กันได้ดีกับผ้าคลุมสีดำ และใบหน้าที่ขาวผ่อง

รอบ ๆ ตัวเขามีทหารเกราะทอง ผ้าคลุมสีแดงเลือด ซึ่งเพียงแค่ดู ก็รู้ได้ในทันทีว่าพวกเขาทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังแก่กล้า !

แม้ว่าเจาจูจะเคยเจรจาธุรกิจมามากมายและเห็นพวกผู้มีอำนาจเยอะแยะ แต่ในครั้งนี้เขาเพิ่งจะเคยเห็นเข้ากับบรรยากาศที่มันอึดอัดและชวนให้หนาวสั่นขนาดนี้

ทันทีที่เขาเข้ามาข้างในห้องโถง เจาจูก็ก้มลงคุกเข่าพร้อมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้าน้อยเจาจูขอถวายบังคมฝ่าบาท”

ในทางกลับกัน พวกถังหยินที่ต่อให้จะอยู่ในแคว้นโมและต้องเผชิญหน้ากับองค์ชายของแคว้นนี้ พวกเขาก็ยังคงสงบใจได้ดีอยู่ จึงเพียงแค่โค้งคำนับให้พร้อมกันพูด “ถวายบังคมฝ่าบาท”

เมื่อองค์ชายรองได้ยินเสียง เขาก็ละสายตาออกจากหญิงสาวข้างกายแล้วเอนตัวไปยังหญิงสาวข้างซ้ายมือ จากนั้นก็มองมายังพวกถังหยิน

ทั้งห้าคนที่เข้ามา หนึ่งในนั้นทำความเคารพ ส่วนอีกสี่คนที่เหลือกลับทักทายแค่แบบผ่าน ๆ มันทำให้เขารู้สึกสนใจเป็นพิเศษ “ใครคือเจาจู ?”

เสียงของเขาแหลมราวกับผู้หญิง จนอาจทำให้หลายคนเข้าใจผิดได้

เจาจูก้มหัวกล่าว “ข้าคือเจาจูขอรับ”

“ข้าได้ยินว่าเจ้าพาคนที่มีฝีมือมาเจอข้าสินะ ?” องค์ชายถาม

“ถูกต้องแล้วฝ่าบาท !”

“ไหนเล่า ?”

“นี่ขอรับ ทั้งสองคนนี้ !” เจาจูเงยหน้าขึ้น และเมื่อเห็นว่าพวกถังหยินยังยืนอยู่ เขาก็หน้าซีด รีบส่งสัญญาณให้พวกเขาคุกเข่าแบบเดียวกัน ทว่าถังหยินกลับแกล้งทำเป็นไม่เห็นมัน เช่นเดียวกับซงหยวนและพวกพี่น้องฉางกวง

เจาจูไม่รู้จะทำยังไงต่อดี เขาจึงชี้นิ้วไปยังสองพี่น้องฉางกวง “สองคนนี้ขอรับ !”

องค์ชายรองมองตามนิ้วไป หลังจากจ้องมองอยู่สักพัก เขาก็เห็นแล้วว่าทั้งสองน่าสนใจ เลยหันมองไปยังทหารข้างกาย

นายทหารจ้องมองพวกเขาสักพัก ก่อนจะกระซิบข้างหู “สองคนนั้นอยู่ในระดับปราณบรรพกาลแล้วขอรับ”

ในเวลานั้นคนที่สามารถไปถึงระดับปราณบรรพกาลได้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ทำให้องค์ชายที่ได้ยินถึงกับตาลุกวาว พลางคิดว่าหากได้สองคนนี้มาอยู่ใต้บัญชาก็คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย “มีอะไรอีกไหม ?”

“ในบรรดาพวกเขา มีหนึ่งคนที่ไม่มีพลังเลย ส่วนอีกคนเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดระดับปราณเทพเจ้าขอรับ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น สีหน้าขององค์ชายรองก็พลันเปลี่ยนไป เขาไม่เคยหรือเคยสัมผัสกับคนที่มีพลังแบบนี้มาก่อน แถมยังอยู่ในระดับปราณเทพเจ้าแบบนี้ด้วยแล้ว มันก็ยิ่งทำให้ถังหยินเป็นที่น่าจับตามองมากกว่าทั่วไปเสียอีก !!!

เขายิ้มออกมาให้กับพวกถังหยิน “พวกเจ้าชื่ออะไร”

สองพี่น้องรู้ตัวดีแล้วจึงตอบกลับ “ข้าคือหยวนเปียว/หยวนอู่”

เช่าฟ๋างยิ้มแล้วส่ายหัว “ข้าไม่ได้พูดกับพวกเจ้า แต่เป็นเขาคนนั้น” ว่าแล้วองค์ชายรองก็ชี้ไปที่ถังหยิน

เพียงพริบตาทุกคนก็มองตามนิ้วนั่นไป

ถังหยินเงยหน้าขึ้นสบตาแล้วยิ้มออกมา “ข้าสามารถบอกชื่อได้เฉพาะกับฝ่าบาทเท่านั้น” ความหมายแฝงของคำคำนี้ …ทำให้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกหวั่นเกรงอย่างบอกไม่ถูก

องค์ชายหัวเราะออกมา “ตามใจเจ้าสิ”

ถังหยินยักไหล่ก่อนที่จะมีหมอกรอบตัวเขาแล้วหายวับไปจากที่ตรงนั้น ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นข้างองค์ชายรอง จนทำให้พวกทหารต้องเข้ามาล้อมฝ่าบาทพร้อมปล่อยปราณกดดันออกมาในทันที

แม้ว่าพวกทหารจะอยู่แค่ระดับปราณสู่พิสดาร แต่ถ้าพวกเขาทั้งหมดใช้ปราณกดดันพร้อมกัน …มันก็น่ากลัวไม่ใช่เล่น

ในเวลานี้ถังหยินรู้ได้เลยว่าบรรยากาศรอบตัวหยุดนิ่งไม่ขยับ แถมแรงกดดันมหาศาลก็กำลังกดทับตัวเขาอยู่ ชายหนุ่มกัดฟันแล้วหลับตาลง “วางใจเถิดทุกท่าน ข้าแค่จะพูดอะไรกับฝ่าบาทเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

เบื้องหน้าอาจจะดูเขาไม่ได้ใช้แรงอะไรมากมาย แต่จริง ๆ แล้วถังหยินกำลังต่อสู้กับแรงกดดันนี่อย่างหนัก !

เช่าฟ๋างเงยหน้าแล้วส่ายหัว “เจ้ากล้าหาญมากเลยนะที่ทำแบบนี้ จริง ๆ แล้วเจ้าเป็นใครกันแน่ ?”

ถังหยินยิ้มให้อย่างเดียว

เช่าฟ๋างเข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่ยอมปริปาก “ไม่ต้องห่วง คนในนี้คือข้ารับใช้ของข้า หากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่มีใครแพร่งพรายออกไปหรอก”

ถังหยินกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะเปิดเผยตัวตนดีหรือไม่ เขาทำใจสักพักก่อนจะตอบ “ข้าคือถังหยิน”

“ถังหยิน ? ชื่อนี้คุ้น ๆ นะ” องค์ชายรองเงยหน้าแล้วลูบคางขบคิดถึงที่มาของมัน

เขาไม่รู้หรอกว่าถังหยินเป็นใคร แต่พวกทหารโดยรอบกลับมีสีหน้าที่แตกตื่นในทันทีที่ได้ยิน “เจ้าคือแม่ทัพแคว้นเฟิง ถังหยิน สินะ ?”

ได้ยินแบบนั้นสีหน้าขององค์ชายรองก็พลันกระจ่างแจ้งทันที “เจ้าคือถังหยินจริง ๆ หรือ ?”