บทที่ 320
บทที่ 320

คำกล่าวของถังหยินทำให้เจาจูถึงกับเหงื่อแตก จนรีบพูดออกมาว่า “ไม่ต้องกังวลหรอกนายท่าน ยังไงเสียข้าก็ไม่กล้าทรยศท่านหรอก อนาคตของธุรกิจข้าขึ้นอยู่กับท่านนะ”

เจาจูนั้นมากไปด้วยประสบการณ์ ทำไมเขาจะไม่รู้ความหมายของคำเหล่านี้กัน ?

ถังหยินค่อนข้างจะคิดมากโดยใช่เหตุ แต่ในครั้งนี้เขามากับเจาจูทำให้เขาหวาดกลัวว่าจะถูกหักหลัง และเมื่อเห็นสีหน้าของเจาจู ชายหนุ่มก็ได้หัวเราะออกมา “ข้าต้องขอบใจเจ้าที่ช่วยข้ามาถึงขนาดนี้ต่างหาก ถ้าข้ากลับไปได้ จะต้องตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน”

“ท่านก็กล่าวเกินไป” เจาจูกลืนน้ำลายพร้อมปาดเหงื่อ

หลังจากสินค้าทุกอย่างถูกนำขึ้นไป ลูกเรือทั้งหลายก็ตะโกนลั่นพร้อมกับใบเรือที่ถูกกางออกทำให้เรือแล่นไปตามลำน้ำ

พวกเขาข้ามแม่น้ำภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม และเมื่อทุกคนขึ้นเรือแล้ว เจาจูก็ได้พาคณะของเขาเดินเข้าไปภายในเมืองเสินเจียง

เมืองเสินเจียงนั้นมีขนาดไม่ต่างจากเมืองหยานเลย แถมยังมีความคึกคักกว่ามาก

ระหว่างทางถังหยินก็ได้พบกับความจริงว่า ถึงแม้แคว้นโมจะมีความยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ก็แทบไม่เจอทหารเดินตามท้องถนนเลย ทั้งนี้เพราะพวกเขาไม่ได้มีศึกสงครามอะไรมากมาย จึงแทบไม่ต้องเตรียมตัว

ทหารคือปัจจัยหลังของอาณาจักร ในดินแดนที่วุ่นวายแห่งนี้ อาณัติสวรรค์ถูกปฏิเสธ และทำให้พวกแคว้นน้อยใหญ่ต่าง ๆ ต้องแสดงพลังของตัวเองออกมา หรือไม่ก็กลบดินฝังตัวเองให้ตายไปเลย

ภาพตรงหน้าทำให้ถังหยินแอบเย้ยหยั่นในใจ เพราะบางทีสันติภาพก็อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป

เจาจูพาพวกเขามายังบ้านของตัวเอง ซึ่งจริง ๆ แล้วเจาจูไม่ใช่คนในเมืองหลวง แต่เขาก็ซื้อที่ดินเอาไว้เพื่อให้ง่ายต่อการค้าขาย

หลังจากเข้ามาในบ้าน ถังหยินก็จัดแจงให้หน่วยลับของเขาไปติดต่อกับสายลับในเมือง “เจาจู เจ้าคิดว่าจะจัดการให้ข้าติดต่อกับองค์ชายรองเช่าฟ๋างได้หรือไม่?”

เจาจูพึมพำกับตัวเอง “องค์ชายรองไม่ใช่คนที่จะเข้าพบได้ง่าย ๆ แต่ให้ข้าลองดูก่อนก็แล้วกัน”

ถังหยินกลอกตา เขารู้ว่าเจาจูพูดถูก เพราะไม่มีทางที่เจ้าชายจะต้องมาพบเจอกับพ่อค้าธรรมดาอยู่แล้ว “เจ้ามีข้อมูลอื่นไหม ?”

เจาจูรีบตอบอย่างดีใจ “ข้ารู้มาว่าองค์รองชอบคบหากับสหายที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ !”

ถังหยินประหลาดใจก่อนจะครุ่นคิด “เยี่ยมเลย” เขามองไปหาสองพี่น้องฉางกวง

หยวนเปียวกับหยวนอู่รู้สึกอึดอัดมากจนต้องถาม “นายท่านหมายถึง ?”

ถังหยินมองไปยังเจาจูอีกครั้ง “ในเมื่อเช่าฟ๋างต้องการคนที่มีวิชายุทธ์ ถ้างั้นเจ้าก็ช่วยแนะนำสองคนนี้ให้กับเขาหน่อยก็แล้วกัน”

เจาจูเข้าใจความหมายทันที เขามองสองพี่น้องฉางกวงแล้วพยักหน้าให้ “นายท่านอยากจะพบองค์ชายรองตอนไหนล่ะ ?”

“คืนนี้เลยก็แล้วกัน”

“เยี่ยมเลย ถ้างั้นข้าไปจะที่ตำหนักของเขาก่อนเลยก็แล้วกัน” เช่าฟ๋างไม่ใช่โอรสองค์โตก็จริง แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะพบอีกฝ่ายในตอนกลางคืนอยู่ดี ซึ่งเจาจูเองก็รู้ถึงจุดนี้ แต่ว่าเขาน่าจะสามารถใช้ตัวตนพิเศษของถังหยินในการเข้าพบได้

ตอนกลางวัน หน่วยลับของถังหยินก็ได้นำข่าวสารกลับมาให้โดยไม่มีปัญหาใดเกินขึ้น

หัวหน้าหน่วยทั้งสองคนนี้มีความสามารถและได้รับความวางใจจากหลีเทียนและอัยเจีย พวกเขาคุกเข่าต่อหน้าถังหยิน

“ข้าน้อย เจาติง”

“ข้าน้อยจางฉี”

“พวกเราขอต้อนรับนายท่าน”

ถึงทั้งสองจะมีตำแหน่งที่สูงในหน่วยข่าวกรอง แต่ก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้พบถังหยินเป็นการส่วนตัวแบบนี้ ทำให้พวกเขาค่อนข้างตื่นเต้น

ถังหยินยิ้มให้แล้วบอกพวกเขาว่าลุกขึ้น “พวกเจ้าอยู่ที่นี่นานขนาดไหนแล้ว ?”

เจาติงและจางฉีพูดพร้อมกัน “ราว ๆ 8 วันขอรับ” พวกเขาออกเดินทางมาพร้อมกันก็จริง แต่ก็มาด้วยม้า ทำให้เร็วกว่าการเดินทางเป็นกลุ่ม

ถังหยินพยักหน้าให้ “ทุกอย่างราบรื่นไหม ?”

เจาติงหัวเราะ “เรียบร้อยดีขอรับ พวกโมไม่ได้เข้มงวดมากเท่าไหร่ ทำให้พวกเรากระจายตัวกันอย่างรวดเร็ว”

ถังหยินพึงพอใจในความสามารถของหน่วยข่าวกรองที่สุด “พวกโมเป็นยังไงบ้าง ?”

“อ๋องแคว้นโม เช่าติง นั่นชราภาพมากแล้ว ลูกชายของเขาเองก็ต่อสู้กันแย่งบัลลังก์อย่างเปิดเผย บอกตามตรงเลยว่าอำนาจในราชสำนักที่แท้จริงตกอยู่ในมือของเสนาบดีฝ่ายขวา จางหลง ซึ่งจางหลงกับองค์ชายสามเช่าโป๋วนั้นก็ถือสนิทกันมาก ส่วนตงเฉิงเองก็บอกไม่ได้ว่าเขาอยู่ฝั่งใคร ยิ่งไปกว่านั้นจางหลงยังสนับสนุนซ่งเทียนอีกด้วย ข้าเกรงว่าหากเขาได้อำนาจที่แท้จริงมาล่ะก็ พวกเขาจะต้องส่งกองทัพมาจัดการพวกเราแน่”

เจาติงพูดเหมือนกับเจาจู ทำให้ถังหยินตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก และเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ ชายหนุ่มก็ได้ถามออกมา “ถ้างั้นแล้วเช่าติงมองพวกเราเป็นไงบ้าง ?”

“ดูเหมือนว่าจะไม่มีความเห็นขอรับ”

จางฉีพูดบ้าง “จากที่ข้าน้อยคิดมา เช่าติงเองก็หนุนซ่งเทียนด้วยเช่นกัน แต่ในเมื่อซ่งเทียนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ จึงทำให้เช่าติงไม่อยากจะเข้าร่วมสงครามด้วย แต่ถ้าหากซ่งเทียนได้เปรียบเราเมื่อไหร่ พวกโมก็พร้อมจะขย้ำเราในทันที”

เหมือนกับที่ชิวเจิ้นว่าไว้ไม่มีผิด อ๋องแคว้นโมไม่ใช่คนที่ตัดสินใจอะไรได้ง่าย ๆ เขามักจะลังเลและยึดเอาประโยชน์ของแคว้นเป็นที่หนึ่ง

คืนนั้น ถังหยินและกลุ่มของเขาเดินทางไปหาเช่าฟ๋างยังที่พักของอีกฝ่าย และนอกจากนี้ เฉิงจินกับเจียงโมเองก็ได้แอบซุ่มอยู่ตามพื้นที่รอบนอกไว้แล้ว เพื่อในกรณีที่เกิดเรื่องอะไรขึ้น

เมื่อมาถึงประตู เจาจูก็ได้ก้มหัวให้กับเหล่าทหาร “ข้าคือเจาจู ข้ามาเพื่อขอพบฝ่าบาท”

“เจาจู ?” พวกทหารมองเขาอย่างไม่เชื่อใจ “เจ้าคิดว่าจะเข้าพบฝ่าบาทเมื่อไหร่ก็ได้หรือไง ?”

“ใจเย็น ๆ ก่อน ข้าพาคนที่มีฝีมือมาแนะนำให้ฝ่าบาทด้วย ถ้าไล่กันแบบนี้จะให้โทษใครดีนะ ?” เจาจูไม่พูดอะไรมาก เขารีบเข้าประเด็นทันที

“ผู้มีความสามารถงั้นหรือ ?”

“สองคนนี้ไง !” เจาจูชี้ไปยังหยวนอู่กับหยวนเปียว

พวกทหารมองพวกเขาแล้วกระซิบกัน ก่อนจะหันมาบอก “ทำไมพวกเขาถึงเหมือนกันแบบนี้เล่า ?”

“เพราะพวกเขาเป็นฝาแฝด และมีวิชาที่เก่งกาจมากยังไงเล่า ข้าเลยคิดว่าพวกเขาน่าสนใจ จนพามาแนะนำให้กับฝ่าบาท ฮ่ะฮ่ะ” เจาจูหัวเราะ

“งั้นหรือ ?” นายทหารเดินมามองสองพี่น้องอย่างฉงนใจ “ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้ยังไง ?”

“งั้นข้าให้พวกท่านลองทดสอบดูก็ได้นะ”

“ข้าเองก็คิดแบบนั้นแหละ !” นายทหารเดินออกมาแล้วยื่นมือเพื่อเรียกเกราะปราณออกมาเพียงครึ่งเดียว

ด้วยพลังระดับนี้ พวกฉางกวงไม่จำเป็นต้องสนใจเขาเลย อย่าว่าแต่สู้เลย แค่ต่อยก็น่าจะสลบไปแล้วมั้ง ว่าแล้วสองพี่น้องก็เตะเข้าที่หน้าอกของอีกฝ่ายในทันที

ตู้ม !

ร่างของนายทหารกระเด็นลอยออกไปลงบนพื้น และหากหน้าอกของเขาไม่มีเกราะปราณป้องกัน ก็เกรงว่ากระดูกน่าจะหักไปหมดแล้ว

นายทหารนอนแน่นิ่งอยู่แบบนั้น ก่อนที่สหายของเขาจะเข้ามาพยุงตัวขึ้นมา และหันยิ้มให้กับหยวนเปียวด้วยความตะลึง “สุดยอดเลย ! รอข้าประเดี๋ยว ข้าจะไปรายงานฝ่าบาทเดี๋ยวนี้แหละ !”

นายทหารชื่นชมหยวนเปียวจากใจจริง ดังนั้นเขาจึงรีบเข้าไปรายงานฝ่าบาทของพวกเขาทันที

หลังจากรอกันเนิ่นนาน นายทหารก็ได้เดินเข้ามาหาเจาจู “ฝ่าบาทอนุญาตแล้ว”

“ขอบคุณท่านจริง ๆ” เจาจูกล่าวพร้อมโค้งคำนับให้