ตอนที่ 190 คำเชื้อเชิญของเยี่ยนเป่ยซ

นายน้อยเจ้าสำราญ

“หลังจากนั้นล่ะ”

ซูซูมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทางตกตะลึง “ไม่มีต่อจากนี้แล้ว พวกเขาสองคนตายแล้ว”

“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงผู้สังหารไปไหนแล้ว?”

“อ่อ เขาไปในเขาแห่งนั้น แต่ข้าไม่ได้เข้าใกล้เขานั้น เนื่องจากที่นั่นมียอดฝีมือ”

ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจอย่างมาก “ทำไมเจ้าถึงรู้ว่าในเขานั้นมียอดฝีมือ?”

ซูซูมองฟู่เสี่ยวกวนราวกับมองคนปัญญาอ่อน ปากเล็ก ๆ เหยียดออก “ข้าเข้าใจภาษานก”

“……”

จะคุยกันรู้เรื่องไหมแบบนี้ ?

“เจ้าไม่เชื่อหรือ ?”

ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิเชื่อ ซูซูเลิกคิ้วสูง กินผลไม้เคลือบน้ำตาลของนางต่อไป แล้วพูดพึมพำว่า “ความสามารถของข้าก็มีมากมาย อย่าคิดว่าเจ้าสามารถแต่งบทกลอนบทกวีได้ก็เก่งกาจนักหนาแล้ว !”

ซูโหรวเงยหน้าขึ้น ดวงตาเล็ก ๆ คู่นั้นมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน คล้ายกับยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น “น้องหกเข้าใจภาษานกจริง ๆ ”

“งั้นเจ้าบอกข้าหน่อยว่านกพูดอะไรกับเจ้าบ้าง?”

ซูซูหัวเราะเสียงดังลั่น “เจ้าช่างโง่จริงเชียว !”

ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าประโยคที่ตนถามนั้นช่างโง่เง่าจริงด้วย เขาลูบจมูกไปมา เดินไปที่ศาลาเถาหรานแล้วนั่งลง แต่กลับได้ยินซูซูพูดอีกว่า “นกกระจอกน้อยตัวหนึ่ง มันบอกว่าห้ามเข้าไปในเขานั้น มีกลิ่นอายการฆ่ารุนแรงมาก รีบหนีไป…..ดังนั้นข้าก็เลยวิ่งหนีมา”

ข้าเชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว!

ตอนนี้เองซูเจวี๋ยก็เดินออกมา เขาจัดหมวกไปมาให้ดี แล้วพูดขึ้นว่า “ที่น้องหกพูดนั้นถูกต้องแล้ว เขาจื่อจินนั้นเมื่อก่อนข้าก็เคยไปซุ่มดูอยู่เช่นกัน ในนั้นมียอดฝีมือจริง ๆ ”

ฟู่เสี่ยวกวนอึ้งไปชั่วครู่ ในเมื่อซูเจวี๋ยบอกว่ามียอมฝีมือ งั้นก็ต้องมีแน่นอน ซูเจวี๋ยน่าเชื่อถือกว่าซูซูหลายเท่าเลย

“เก่งแค่ไหน ?”

“อย่างน้อยก็ขั้นที่หนึ่ง อาจจะเป็นกึ่งเทพด้วยซ้ำ”

ห๊ะ นี่มันเก่งเกินไปแล้ว “งั้นเจ้าเก่งแค่ไหน[1]” ฟู่เสี่ยวกวนมองไปที่ซูเจวี๋ยแล้วถามประโยคนี้

“ข้าหรือ? ข้าต่ำมาก”

ซูซูหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก เสียงหัวเราะราวกับกระดิ่ง ไพเราะเสนาะหู น่าฟังมาก

“เยี่ยงนี้มิใช่ว่าการสำรวจเขาจื่อจินก็จะยากมากหรือ?”

“นอกจากเจ้าจะมีลายลักษณ์อักษรของฝ่าบาท หรือช่วงเทศกาลจงหยวนที่จะมีการไหว้บรรพบุรุษของราชวงศ์หยูทุกปี ซึ่งเจ้าสามารถติดตามฝ่าบาทไปได้ มิเช่นนั้น……ก็มีเพียงท่านอาจารย์เท่านั้นที่จะสามารถลอบขึ้นไปได้โดยไม่รบกวนฝีมือผู้นั้น”

แย่มาก ดูเหมือนว่าเรื่องนี้คงจะต้องหยุดไว้แค่นี้ก่อน

เขาไม่ใช่สายเลือดของราชวงศ์ แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลที่จะขอร้องให้ฝ่าบาทมีราชโองการให้ไปสำรวจสุสานของราชวงศ์ด้วย เช่นนั้นก็รอดูช่วงเทศกาลจงหยวนว่าจะมีโอกาสได้เข้าไปที่นั่นหรือไม่

ซูเจวี๋ยส่งกระดาษให้ฟู่เสี่ยวกวนแผ่นหนึ่ง แล้วพูดว่า “ผลการตรวจสอบของวัดฟูจื่อออกมาแล้ว ด้านบนนอกจากวัดที่ผุพังแห่งนั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก”

ฟู่เสี่ยวกวนรับกระดาษแผ่นนั้นไปดู ไม่ถูกสิ ปีที่แล้วตอนที่เขากับต่งชูหลานขึ้นไปที่นั่น ก็ถูกคนขวางเอาไว้ที่สันเขา แล้วเหตุใดถึงไม่พบอะไรเลยเล่า ?

หรือว่าในคืนนั้นเป็นแค่ความบังเอิญงั้นหรือ?

แต่หลินหงเคยกล่าวไว้ว่าจีหลินชุนเถ้าแก่เนี้ยของหอเยียนจือก็เคยไปที่วัดฟูจื่อ หรือจะบอกว่านี่เป็นเรื่องหลอกลวงงั้นหรือ?

หลินหงไม่มีทางโกหกเขาในเรื่องนี้ ถ้าเช่นนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

บนแผ่นกระดาษนี้เขียนอย่างละเอียดว่า : วัดฟูจื่อไม่เคยพบร่องรอยการเคลื่อนไหวของคนเลย วัดที่อยู่บนยอดเขาเต็มไปด้วยใยแมงมุม ศาลเจ้าด้านในเต็มไปด้วยฝุ่นที่หนามาก สีทองที่ติดอยู่ที่ตัวของรูปปั้นก็ลอกออกไปนานแล้ว ดังนั้นที่นี่ไม่มีคนมานานแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น ถ้าเช่นนั้น คืนนั้นใครกันที่อยู่บนเขา ? เขาทำอะไรอยู่บนเขากัน ?แล้วจีหลินชุนขึ้นไปที่วัดฟูจื่อเพื่ออะไรกันอีก ?

……

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำได้แค่ตัดเงื่อนงำออกไป ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งวัน นอกจากเดินเล่นตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวง รอคนมาลอบฆ่า แต่กลับไม่มีปลามาติดแหเลย คล้ายกับว่าคนที่เคยอยากให้เขาตายนั้นได้หายตัวไปแล้ว พริบตาเดียวฤดูหนาวที่หนาวเหน็บก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 วันที่ห้าเดือนแรก หิมะหยุดตก อากาศแจ่มใส

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะออกไปเดินเล่นต่อ กลับคาดไม่ถึงว่าเยี่ยนซีเหวินมาหา

“ไม่ใช่ว่าเจ้าควรไปแล้วหรือ?”

“ใช่ ออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า”

“นี่เจ้าจะมาบอกลาข้าหรือ?”

เยี่ยนซีเหวินจ้องฟู่เสี่ยวกวนชั่วครู่ ควรจะเป็นเจ้าที่มาบอกลาข้าจะดีกว่าไหม !

“ท่านปู่เชิญเจ้าไปที่จวน”

ฟู่เสี่ยวกวนอึ้งไปชั่วครู่ เยี่ยนเป่ยซีงั้นหรือ ?

อัครเสนาบดีผู้นี้เชิญตนเองไปทำไมกัน?

ในราชสำนักก็เคยเจอกับอัครเสนาบดีอยู่หลายครั้ง แต่มีการพูดคุยกันแค่ 2 ครั้งเท่านั้น

ครั้งหนึ่งที่ห้องทรงพระอักษรตอนที่อธิบายนโยบายบรรเทาสาธารณะภัย อีกครั้งหนึ่งคือในที่ทำการเสมียนกลาง เยี่ยนเป่ยซีตั้งใจจะสนับสนุนตนเอง แต่กลับถูกตนเองปฏิเสธไป

“มีธุระอะไรหรือ” ฟู่เสี่ยวกวนถามด้วยความแปลกใจ

“ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไร? อาจจะเป็นเพราะร้อยแก้ว《ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู》ก็ได้ ท่านปู่คัดลอกร้อยแก้วนี้ขึ้นมาใหม่ แล้วนำไปแขวนที่กลางห้องโถงของตระกูลข้า ข้าว่าเจ้าก็หน้าใหญ่พอสมควรเชียวนะ ผ่านมาหลายปีนี่เป็นครั้งแรกที่ท่านปู่ให้ความสำคัญกับร้อยแก้วสักบท

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีจุดธูปหอมบูชาตัวอักษรทุกวันไหม ? ”

“ไปให้พ้น……”

ไม่มีทางพูดคุยกับเจ้านี่ดี ๆ ได้เลย เจ้านึกว่าตัวเองเป็นเทพมาจุติงั้นหรือ!

ทั้งสองคนเดินทางมาถึงจวนเยี่ยนด้วยรถม้าคันเดียวกัน เมื่อเดินลงมาจากรถม้า ฟู่เสี่ยวกวนก็มองบริเวณโดยรอบอย่างจริงจัง

ที่นี่ตั้งอยู่ในตรอกซีไหลเขตใต้ของจินหลิง เป็นตรอกเก่าแก่ที่ค่อนข้างเงียบสงบ ปากทางเข้าตรอกมีป้ายใหญ่ตั้งอยู่ บนป้ายมีตัวอักษรสองคำที่เขียนว่าซีไหล ส่วนด้านข้างสองฝั่งเป็นโคลงกลอนคู่

ซีไหลสดชื่น เมฆหมอกพัดเอาความเศร้าไป

แม่น้ำต้าเจียงไปทางตะวันออก ชะล้างคลื่นลูกเก่าให้หมดสิ้นไป

ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้ว แล้วถามขึ้นว่า “ตัวหนังสือเหล่านี้ใครเป็นผู้เขียนกัน?”

“เซี่ยงเวิ่นเฟิงนักพรตของราชวงศ์ก่อน”

“อ้อ…..” ชื่อนี้เหมือนจะเคยได้ยิน ดูเหมือนว่านักพรตผู้นี้ยังมีบทกวีมากมายที่ถูกจารึกไว้บนหินเชียนเปยสือ

ป้ายด้านหน้าของจวนเยี่ยนดูยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าจวนซือเสียอีก

ด้านหน้าประตูใหญ่มีสิงโตหยกขาวสองตัวพร้อมไข่มุกหยกที่มีพลังอยู่ในปาก ดูสง่างามภายใต้แสงตะวัน

บนทับหลังมีตัวอักษรสองคำที่เขียนอย่างวิจิตรตระการตาว่าตระกูลเยี่ยน

ประตูหน้ามีผู้คุ้มกัน 2 นายยืนตัวตรงอยู่ พวกเขาสวมชุดเกราะที่ดูสง่างาม ในมือถือง้าวยาวไว้

“เช่นนี้ก็ได้หรือ”

“เป็นของกำนัลจากฮ่องเต้องค์ก่อน ตระกูลเยี่ยนได้ชุดเกราะสามร้อยคน”

ก็ดี เป็นเพียงตระกูลเดียวในเมืองหลวง ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เพียงแอบอิจฉา

ผลักประตูใหญ่นั้นออก เยี่ยนซีเหวินพาฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไป เขามองสำรวจบริเวณโดยรอบอีกชั่วครู่ ในใจรู้สึกยินดีมาก เนื่องจากจวนของตระกูลนี้ไม่ได้ใหญ่กว่าตระกูลของตน!

แม้จะรู้สึกละอายใจนิดหน่อย แต่จวนฟู่ของเขาเคยเป็นจวนของชินอ๋องราชวงศ์ก่อน ในเมืองหลวงที่ใหญ่โตเช่นนี้ก็ต้องถูกจัดอยู่ในห้าอันดับต้น ๆ เช่นกัน ตระกูลอัครเสนาบดีนี้แน่นอนว่าไม่มีทางเทียบกับมันได้

จวนอัครเสนาบดีใหญ่โตมาก แต่ฟู่เสี่ยวกวนมากับเยี่ยนซีเหวิน จึงไม่สามารถมองสำรวจโดยทั่วได้

ในจวนนั้นครึกครื้นมาก ระหว่างทางมีคนรับใช้มากมายเดินผ่าน สองข้างทางในลานสวนของบ้านก็มีเสียงหัวเราะด้วยความยินดีดังออกมา เยี่ยนซีเหวินมิอธิบายสิ่งใด เขาพาฟู่เสี่ยวกวนเดินทะลุผ่านไปที่ตรอก และเดินไปยังด้านในสุดของจวนเยี่ยน

ดังนั้นทุกอย่างจึงค่อย ๆ เงียบสงบลง หลังจากนั้นก็มาถึงเรือนที่ดูประณีตแห่งหนึ่ง

ในระหว่างนั้นหิมะที่อยู่บนภูเขาจำลองก็ยังไม่ได้ละลายไป สระบัวที่อยู่ใต้ภูเขาจำลองได้ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ต้นเหมยหลายต้นที่กระจัดกระจายอยู่ในสวนกำลังเบ่งบาน มีศาลาหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ใต้ต้นเหมยที่ใหญ่ที่สุด ในศาลาแห่งนั้นมีสตรีบอบบางสวมชุดสีขาวยืนอยู่

นางผมยาวปะบ่า หันตัวกลับมา ปรากฏสีหน้าหยกแวววาว แฝงไว้ด้วยอารมณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ให้ความรู้สึกเหมือนกล้วยไม้

นางคือเยี่ยนเสี่ยวโหลว ตอนนี้นางกำลังยืนอยู่ในศาลาหลังนั้น ยื่นมือที่เรียวขาวดังหยกออกมาหนึ่งข้าง จับเอาเหมยที่อยู่กลางศาลาไว้แน่นหนึ่งกิ่ง ดึงมาไว้ที่ด้านหน้าของตนเอง

เหมยสีแดง ชุดสีขาว ใบหน้าที่แดงระเรื่ออยู่ในความขาว สิ่งเหล่านี้ฉายอยู่ในดวงตาของฟู่เสี่ยวกวน

แม่นางผู้นี้…..นับวันยิ่งชวนมอง

แล้วมองไปทางเยี่ยนซีเหวิน อืมม ความแตกต่างกันเยอะเลยทีเดียว

ระหว่างสองพี่น้อง จะว่าไปแล้วมารดาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็เคยเป็นคนที่ผู้คนให้ความชื่นชอบ

ฟู่เสี่ยวกวนละสายตาออกมา บุรุษรูปงามต้องมีหลักการ แก้วตาดวงใจของตระกูลเยี่ยนนี้ เขามิได้รู้สึกอะไรเลย

ขณะนั้นเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่อยู่ในศาลามองมาที่พวกเขา นางปล่อยมือจากเหมยกิ่งนั้น กิ่งเหมยกระเด็นออกมา สาดหิมะที่ละเอียดร่วงหล่นพื้น นางเดินออกมาจากศาลานั้น มีรอยยิ้มแฝงอยู่บนหน้า ยิ่งใกล้เข้ามา ใบหน้ารูปไข่นั้นกลับดูสวยงามและอ่อนโยนกว่าดอกเหมยนั้นเสียอีก

“คารวะคุณชาย”

เยี่ยนเสี่ยวโหลวคารวะอย่างอ่อนโยน ฟู่เสี่ยวกวนอึ้งไปชั่วครู่ กำหมัดตอบกลับอย่างเป็นมารยาท “คารวะแม่นาง”

หลังจากนั้นเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย แล้วหลบอยู่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวน ก้าวเดินอย่างแช่มช้อย ตามเยี่ยนซีเหวินเข้าไปในเรือนเวิ่นเยวี่ย

ในเรือนเวิ่นเยวี่ยมีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ ด้านหลังของชายชราคนนั้นก็มีชายชราอีกคนยืนอยู่

ชายชราที่นั่งอยู่ผู้นั้นแน่นอนว่าก็คือเยี่ยนเป่ยซี แต่ชายชราอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังนั้นฟู่เสี่ยวกวนไม่เคยพบ แต่กลับดึงดูดความสนใจจากฟู่เสี่ยวกวน

เนื่องจากชายชราผู้นั้นแบกดาบเอาไว้อยู่

ดาบที่ยาวมากหนึ่งเล่ม

ชายชราผู้นั้นก้มศีรษะอยู่ตลอด ดูเหมือนว่ากำลังงีบหลับอยู่ ไม่ได้เงยหน้าลืมตาขึ้นมามองพวกเขาตั้งแต่ต้นจบจน

เยี่ยนเป่ยซีวางม้วนตำราในมือลงแล้วเงยศีรษะขึ้นมา ความสนใจก็ไปตกอยู่ที่ฟู่เสี่ยวกวน หลังจากนั้นชั่วครู่ เขาโบกมือขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ “นั่งสิ”

ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคำนับตัวด้วยความเคารพ “ขอบคุณท่านอัครเสนาบดี”

เยี่ยนซีเหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็คารวะต่อเยี่ยนเป่ยซีเป็นพิธีเช่นกัน เยี่ยนซีเหวินนั่งลงข้างกายเป็นเพื่อนฟู่เสี่ยวกวน เยี่ยนเสี่ยวโหลวนั่งลงด้านซ้าย หยิบเอาน้ำเดือดขึ้นมาเพื่อชงชา

“ได้ข่าวว่าเจ้าใกล้จะหมั้นหมายกับซูหลานแล้วหรือ”

ฟู่เสี่ยวกวนตะลึงเล็กน้อย อัครเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้คิดไม่เลยถึงว่าจะสนใจกุ้งตัวเล็ก ๆ อย่างเขาด้วย?

การที่เยี่ยนเป่ยซีรู้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอันใด อย่างไรเสียวันแรกของปีนั้นเขาและต่งชูหลานก็ไปเยี่ยมเยียนญาติเหล่านั้น อีกทั้งยังอยู่ในบ้านของลุงสามของต่งชูหลานด้วย เยี่ยนซีเหวินผู้นี้ก็ยังไปเจอเขาเลย

“อืม รอจนท่านพ่อของข้ามาที่เมืองหลวงก็จะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”

มือที่หิ้วกาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวสั่นเล็กน้อย คิ้วของเยี่ยนเป่ยซีค่อย ๆ ขมวดขึ้น สีหน้าของเยี่ยนซีเหวินกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยแม้แต่นิด แค่ในใจกำลังถอนหายใจอยู่เท่านั้น

“วันนี้ที่เชิญเจ้ามา เป็นเพราะข้ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย อยากจะฟังความคิดเห็นของเจ้าเสียหน่อย และเรื่องของเจ้ากับซูหลานนั้น……ข้าคิดว่าหากปัญหาของเจ้ากับองค์หญิงเก้ายังไม่ได้แก้ไข เกรงว่ายากที่จะราบรื่นได้”

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอย่างละเอียด ความหมายของคำพูดนี้มิได้หมายความว่าตระกูลเยี่ยนยังมีความคิดอะไรบางอย่างกับชูหลาน แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงองค์หญิงเก้า เรื่องนี้จะต้องเป็นไปตามขั้นตอน แม้ว่าฝ่าบาทจะเห็นด้วยที่จะให้องค์หญิงเก้าแต่งกับฟู่เสี่ยวกวน แต่องค์หญิงเก้าก็ต้องถูกจัดอยู่ในอับดับก่อนต่งชูหลาน

แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะไม่เคยแบ่งแยกระดับสตรีทั้งสองนางนี้ แต่ในสายตาของคนรอบข้าง ลำดับสูงใหญ่นี้ดูเหมือนว่าจะชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าเช่นนั้น……แน่นอนว่าไม่สามารถหมั้นหมายกับตระกูลต่งก่อนได้

แต่ทำไมเสนาบดีต่งในตอนนั้นถึงไม่ได้แย้งเรื่องนี้ขึ้นมา?

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเล็กน้อย พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้ข้าน่าจะขาดการพิจารณาอย่างดี ขอถามหน่อยว่าอัครเสนาบดีมีข้อสงสัยอันใด?”

เยี่ยนเป่ยซีลูบหนวดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยปากพูดว่า “ข้าเคยปลูกผักกุยช่ายอยู่ในลานแห่งนี้หนึ่งแปลง แต่เป็นเพราะว่าขาดการดูแล ทำให้เกิดพวกวัชพืชขึ้นมามากมาย ซึ่งยากแก่การแยกแยะว่าต้นไหนเป็นต้นกุยช่าย แล้วต้นไหนคือวัชพืช ข้าอยากถามเจ้าว่า……ควรจะถอนเอากุยช่ายและวัชพืชทั้งหมดออกแล้วปลูกใหม่ หรือว่าใช้สติปัญญาสักนิดหน่อยกำจัดถอนเอาวัชพืชพวกนั้นออกไปเสีย?”

[1]ประโยคนี้นอกจากจะแปลว่า ‘งั้นเจ้าเก่งแค่ไหน?’ ยังสามารถแปลอีกความหมายหนึ่งได้ว่า ‘เจ้าสูงมากแค่ไหน?’