ตอนที่ 191 ปลาและตีนหม

นายน้อยเจ้าสำราญ

เยี่ยนเสี่ยวโหลวเงยหน้ามองฟู่เสี่ยวกวน ลอบคิดว่าเขานั้นจะตอบเยี่ยงไร ?

เยี่ยนซีเหวินนิ่งคิดคิ้วขมวด คิดว่าหากท่านปู่ถามตน ตนเองจะตอบเยี่ยงไร ?

ฟู่เสี่ยวกวนกักเก็บสีหน้า และแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง คิดว่าผักกุยช่ายนี้ไม่ว่าจะไปอยู่ในสมัยใดต่างก็โชคร้ายเสียจริง

เขาคาดไม่ถึงว่าเยี่ยนเป่ยซีจะถามคำถามนี้ออกมา แต่นี่มิใช่ความเกี่ยวข้องของผักกุยช่ายและวัชพืช แต่เป็นการถามสถานการณ์ปัจจุบันที่ราชสำนักกำลังเผชิญ

เขาไม่พยายามคาดเดาคำตอบที่เยี่ยนเป่ยซีอยากได้ ผ่านไปหลายอึดใจ เขาจึงเอ่ยขึ้นมาว่า

“มิ่งจื่อ เรียนเบื้องบน มีเมฆ มีปลา ข้าก็ชอบทั้งสิ้น และข้าก็ชอบตีนหมีเช่นกัน ท่านมิสามารถมีได้ทั้งสองสิ่ง ทิ้งปลาและเลือกตีนหมีเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เมิ่งจื่อเลือก ที่ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนถามมา เสี่ยวกวนคิดว่าหากแปลงนาผืนนั้นแห้งแล้ง ปล่อยไปเสียจะดีกว่า รอไปจนถึงช่วงฤดูหนาว หิมะลูกใหญ่นี้จะปกคลุมทั้งผักทั้งพืชจนสลายไปกับพื้นดิน แต่นั่นกลับกลายเป็นปุ๋ยเพื่อปรับปรุงผืนดิน หากแปลงนานั้นเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์…เยี่ยงนั้นก็จงต้องกำจัดวัชพืชอย่างช้า ๆ มิฉะนั้นพวกมันจะไปทำร้ายต้นกุยช่าย ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง แต่ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นดี ผักกุยช่ายที่เหลืออยู่จะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง”

คำพูดนี้ค่อนข้างสำคัญ เขาเริ่มต้นด้วยปลาและตีนหมี เพื่อแสดงความเกี่ยวข้องของการเลือก ความหมายก็คือนักปราชญ์เองก็สามารถเลือกได้เพียงหนทางเดียวเท่านั้น เยี่ยงนั้นท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเองก็ทำได้เพียงสร้างทางเลือกให้กับตนเอง

และปัจจุบันมีการฉ้อโกงภายในราชสำนักอย่างร้ายแรง เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ได้สร้างทางเลือกไว้แล้ว ในฐานะบุคคลหนึ่งที่เป็นอัครมหาเสนาบดีของแคว้นที่มีผู้อยู่ใต้การบังคับบัญชานับหมื่น ย่อมเดินตามรอยพระบาทของฮ่องเต้ เพื่อกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง

และหากแปลงนาผืนนั้นแห้งแล้งอย่างที่เขาได้กล่าวไป ความหมายก็คือหากกำลังของชาติว่างเปล่า คงจะดีกว่าหากปล่อยทิ้งและมิใส่ใจ ความจริงประโยคนี้คงขัดหูขัดตาใครไปบ้าง เพราะการปล่อยวางมิสนใจ หลังจากผ่านหิมะครั้งใหญ่พืชและผักก็จะถูกซักล้างไปจนหมด บ่งชี้ถึงการล่มสลายของราชวงศ์หยู

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่มิพึงปรารถนาอย่างยิ่ง

แต่นี่ก็เป็นเพียงอีกหนึ่งความจริง ก็เหมือนกับต้นไม้แก่ที่รากเน่าไปจนหมดแล้ว ต่อให้อยากช่วยให้มันกลับมามีชีวิตมากเพียงใด ก็มิมีทางช่วยกลับมาได้ ทำได้เพียงมองมันร่วงหล่น หลังจากนั้นก็เพียงแค่หาต้นไม้ใหม่และเฝ้าดูพวกมันเติบโต

ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบว่าราชวงศ์หยูในตอนนี้แท้จริงแล้วมีผู้ป่วยที่สาหัสหรือไม่ แต่เยี่ยนเป่ยซีย่อมทราบ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพูดออกมา เพื่อดูการเลือกของเยี่ยนเป่ยซี

เยี่ยนเสี่ยวโหลวครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน มิใช่มิเข้าใจความหมายของฟู่เสี่ยวกวน นางเติมชาจนเต็มทั้งสี่ถ้วย ส่งให้ท่านปู่และฟู่เสี่ยวกวน เมียงมองท่านปู่ ในยามนี้ท่าทีของเยี่ยนเป่ยซีจริงจังถึงที่สุด

เยี่ยนซีเหวินเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน คิดว่าคนผู้นี้ใจกล้ามิเบา หากเป็นตนเอง ย่อมเลือกที่จะกำจัดวัชพืชเหล่านั้นทิ้ง

ส่วนเรื่องดิน…ชีวิตของทุกคนต่างอยู่ในแปลงนาผืนนี้กันทั้งสิ้น เยี่ยงนั้นก็หาวิธีปรับเปลี่ยนกันไปอย่างช้า ๆ

ผ่านไปเนิ่นนาน เยี่ยนเป่ยซีจึงพยักหน้า และไม่แสดงความคิดเห็นอันใดเกี่ยวกับคำพูดนั้นของฟู่เสี่ยวกวน

“ฤดูใบไม้ผลินี้ข้าเลี้ยงปลามากมายในบ่อน้ำนั้น หลังจากนั้นก็จะปลูกบัว และมีพืชน้ำอีกมากมาย หวังว่าปลาเหล่านั้นจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่มิรู้ว่าเมื่อใดที่ได้มีแมวเข้ามา พวกมันมักจะอาศัยช่วงเวลาที่มิมีผู้คนสนใจไปขโมยปลาในบ่อ ดังนั้นปลาจึงน้อยลงไปเรื่อย ๆ เพื่อปลาเหล่านั้น ข้าจึงเลี้ยงสุนัขสักตัว หวังว่าสุนัขตัวนี้จะไล่แมวได้ แต่สุดท้าย…คาดมิถึงว่าแมวกับสุนัขต่างร่วมกันขุดโพรง”

“ข้าขอถามเจ้า จะไล่แมวหรือขับไล่สุนัขออกไปดี ? ”

ให้ตายเถอะ ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกอีกครา รู้สึกว่าท่านอัครมหาเสนาบดีควรจะไปเป็นพระ เขาต้องได้เป็นพระอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมเป็นแน่

ผู้อาวุโสอยากจะกล่าวอะไรก็กล่าวมาตรง ๆ มิได้หรือ ?

มัวแต่จะเล่นทายสำบัดสำนาน คำตอบของคำถามนี้แบบนี้มันน่าเบื่อมาก ท่านจะรู้หรือไม่ !

ความหมายคือสถานการณ์ที่ราชวงศ์หยูกำลังเผชิญในปัจจุบัน

ราชวงศ์หยูคือบ่อน้ำ และแมวเหล่านั้นก็เป็นตัวแทนของแคว้นอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ราชวงศ์หยูและสุนัขก็หมายถึงกองทัพของราชวงศ์หยู

ดูเหมือนว่ากองทัพของราชวงศ์หยูจะมีปัญหา พวกเขาไร้บทบาทในการปกป้องแว่นแคว้น จนไปถึงขั้นร่วมมือกับประเทศอื่นเพื่อกัดกินผลประโยชน์ของราชวงศ์หยู

ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงมิตอบและโน้มกายลงพร้อมเอ่ยถามอย่างจริงจัง “แท้จริงแล้วเลวร้ายถึงเพียงนั้นเลยหรือขอรับ ? ”

“ยังมิถึงขั้นนั้น”

ความหมายของมันดูค่อนข้างร้ายแรงอยู่ทีเดียว

ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด ยกจอกชาขึ้นมาดื่ม และกล่าวอย่างมิคิดอะไร “ข้าตีสุนัข โดยมิเคยมองไปที่เจ้าของ ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเล่า ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

เยี่ยงนั้นต้องตีสุนัขก่อน !

เยี่ยนเป่ยซียิ้มอย่างเงียบ ๆ คำพูดนี้มิมีการไว้หน้าเขาโดยสิ้นเชิง ชายผู้นี้ช่างเถรตรง มิแปลกใจที่ฝ่าบาทให้เขาเป็นดาบ ช่างคมยิ่งนัก เพียงแค่ดาบนั้นแข็งเกินไปทั้งยังหักได้ง่าย สำหรับเขานี่มิใช่เรื่องที่ดีเท่าใดนัก

แต่คิดในทางกลับกัน ในราชวงศ์หยูที่ยิ่งใหญ่ ขุนนางนั้นมีจำนวนนับหมื่น หากมิสามารถขจัดความยุ่งเหยิงภายในเวลาอันรวดเร็วโดยปลายดาบเพื่อกำจัดความเสี่ยงได้ ก็จะเข้าสู่สภาวะหยุดชะงักในทันที เยี่ยงนั้นราชวงศ์หยูก็จะตกอยู่ในอันตรายอย่างแท้จริง

ในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับต้าหยู เยี่ยนเป่ยซีย่อมมิคาดหวังให้เกิดปัญหากับราชวงศ์หยู แต่ในทางเดียวกัน เขาก็มิต้องการให้ผลประโยชน์โดยอำนาจของตระกูลเยี่ยนสูญเสียมากเกินไปเช่นกัน

เขาได้อ่านขาดหมากบนกระดานของฮ่องเต้หมดแล้ว และเข้าใจว่าปีนี้ค่อนข้างที่จะวิกฤต ฮ่องเต้ต้องการจัดระบอบบ้านเมืองใหม่ การตรวจสอบการฉ้อโกงเสบียงบรรเทาสาธารณภัยโดยละเอียด และใช้โอกาสนี้กำจัดรากเหง้าของกองกำลังสำคัญก็เป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น และขั้นต่อไป…ย่อมตกอยู่ที่ราชสำนักอย่างแน่นอน

ส่วนเหตุที่ฮ่องเต้ตัดสินประหารคนเหล่านั้นโดยมิไต่สวน เยี่ยนเป่ยซีเองก็อ่านได้ขาดเช่นกัน

กองทัพมิมั่นคง !

โดยเฉพาะกองทัพชายแดนตะวันออก !

ผู้บัญชาการกองทัพชายแดนตะวันออกก็คือเยี่ยนฮ่าวชู บุตรชายคนที่สามของเยี่ยนเป่ยซี !

เยี่ยงนั้นฮ่องเต้ที่ประสงค์จะจัดระบอบบ้านเมืองใหม่ ก็ต้องทำให้กองทัพเสถียรภาพเสียก่อน ผลลัพธ์ถึงจะเป็นไปตามธรรมชาติ อาจจะเปลี่ยนผู้บัญชาการ หรือจะ…ขจัดทิ้ง

ในส่วนนี้ เยี่ยนเป่ยซีต้องทำการตัดสินใจ

แต่เขามีเพียงหนึ่งหนทาง ต้องส่งมอบอาญาสิทธิ์ของกองทัพชายแดนตะวันออกไป เพื่อปกป้องความสงบสุขของเยี่ยนฮ่าวชู

นั่นเป็นวิธีที่เยี่ยนเป่ยซีมิยินยอมที่สุด แต่เขาก็มิมีหนทางอื่นอีกแล้ว

ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพชายแดนตะวันออก แรกเริ่มต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากโข วางแผนอยู่เนิ่นนานกว่าจะได้มาอยู่ในมือของตระกูลเยี่ยน แต่ในเวลานี้กลับต้องส่งมอบมันให้กับผู้อื่น ภายในใจของเยี่ยนเป่ยซีย่อมมิยินยอมอย่างถึงที่สุด

ในตอนที่เขากำลังใช้ความคิด ฟู่เสี่ยวกวนก็กล่าวขึ้นมา

“เนื่องจากท่านอัครมหาเสนาบดีได้ถามข้ามาสองคำถาม ข้าเองก็ขอถือดีถามท่านอัครมหาเสนาบดีหนึ่งคำถาม”

เยี่ยนเป่ยซีเงยหน้ามองฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนก็กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าขอยกตัวอย่าง ท่านอัครมหาเสนาบดีมิต้องคิดมากขอรับ สมมติว่าวันหนึ่งท่านแม่ทัพเยี่ยนต้องบัญชาการนำกองทัพชายแดนตะวันออกไปสู้รบกับกองกำลังของแคว้นอี๋ ณ ที่ราบสีหม่า…”

เยี่ยนเป่ยซีคิ้วขมวดทันพลัน

ฟู่เสี่ยวกวนมิสนใจและกล่าวต่อ “ขณะนั้นสถานการณ์ทั้งสองฝ่ายต่างคับขัน และยากที่จะกำหนดผู้ชนะ ในเวลานั้นเอง เป่ยหวังฉวนแห่งราชวงศ์อู๋ก็ยิงธนูใส่ท่านแม่ทัพเยี่ยน ลูกศรปักเข้าที่ไหล่ขวาของท่านแม่ทัพเยี่ยน และนั่นคือศรอาบยาพิษ นายทหารทุกคนต่างเชิญให้ท่านแม่ทัพเยี่ยนกลับเมืองไปรักษาตัว แต่เพราะสถานการณ์รบที่คับขัน ท่านแม่ทัพเยี่ยนจึงยืนหยัดที่จะอยู่ จนกระทั่งสองสามวันให้หลัง ทัพของแคว้นอี๋พ่ายและถอนตัวออกจากที่ราบสีหม่า”

สองตาของเยี่ยนเป่ยซีจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง สายตาทิ่มแทง ความอบอุ่นของเตาไฟในที่นี้ราวกับไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง

เยี่ยนซีเหวินตื่นตระหนก เยี่ยนเสี่ยวโหลวก็แสดงท่าทีร้อนรนออกมา

พวกเขามิเคยเห็นท่านปู่แสดงท่าทางเย็นชาเยี่ยงนี้มาก่อน

ฟู่เสี่ยวกวนราวกับมิรู้สึก และถามขึ้นมาอีกครา “หลังจากที่ท่านแม่ทัพเยี่ยนผู้กุมชัยชนะกลับถึงเมืองก็ไปหาท่านหมอ หลังจากที่ท่านหมอได้ดูอาการก็เอ่ยถามท่านแม่ทัพเยี่ยนหนึ่งประโยค”

“ท่านหมอถามว่า พิษนี้เกินกว่าจะรักษาได้แล้ว หากต้องการรักษา ก็มีเพียง 2 ทางเลือก ประการแรกขูดกระดูกเพื่อรักษาพิษ ซึ่งจะเจ็บปวดอย่างยิ่ง และจะเจ็บปวดอย่างเนิ่นนาน ผลดีคือรักษาแขนขวาไว้ได้ ประการที่สองตัดแขนขวาทิ้งเสีย เจ็บปวดเพียงครู่ เพียงแต่ภายภาคหน้าอาจจะไม่สะดวกอย่างยิ่งเพราะขาดไปหนึ่งแขน เยี่ยงนั้นท่านแม่ทัพจะเลือกหนทางใดกัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนสบตากับเยี่ยนเป่ยซี และมิมีการยอมถอยแม้แต่นิด

“เยี่ยงนั้นเสี่ยวกวนขอเอ่ยถามท่านอัครมหาเสนาบดี ท่านอัครมหาเสนาบดีจะเลือกอย่างไรขอรับ ? ”

ทันใดนั้นเยี่ยนเป่ยซีก็หัวเราะขึ้นมา สายตาทิ่มแทงได้หายไป เขาสูดลมหายใจเข้าออกอย่างลึกๆ รินชาและยกขึ้นดื่ม พลางมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง

แสงแดดด้านนอกหน้าต่างกำลังพอดี ดอกบ๊วยที่กำลังผลิบานนั้นมองดูแล้วช่างสบายตานัก

“หลานสาวของข้าเยี่ยนเสี่ยวโหลวปักปิ่นไปเมื่อวาน และยังมิมีคู่หมั้นคู่หมาย”

เยี่ยนเป่ยซีมิได้ตอบฟู่เสี่ยวกวน กลับกล่าวประโยคที่น่าประหลาดใจขึ้นมาแทน

เยี่ยนเสี่ยวโหลวหน้าแดงในทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนกลับผงะ

เขากลับสูดหายใจเข้าลึก ๆ ยังมิทันจะได้หายใจออก เยี่ยนเป่ยซีกลับหันตัวมาอีกครา “เสมียนกลางในตอนนี้ก็ขาดเจี้ยนอี้ต้าฟูไป 1 ตำแหน่ง เสนาบดีผู้ดูแลกิจการของทัพก็ขาดผู้ตรวจสอบเรื่องคณะเสนาบดีไป 1 ตำแหน่ง ต่างก็เป็นขุนนางขั้นสี่ แต่พวกเขาเหล่านั้นต่างก็มีอำนาจในมือ และได้เข้าไปยังใจกลางของราชวงศ์หยูอย่างแท้จริง”

เขาลุกขึ้นยืน สองมือไขว้หลังและเดินออกทางด้านนอก ก้าวไปพร้อมกล่าวขึ้นมาว่า “นกที่ดีจะเลือกไม้เกาะ เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าหวังว่าก่อนวันที่สิบห้าของเดือนจะได้รับคำตอบจากเจ้า”

ชายชราที่แบกดาบใหญ่ไว้ที่หลังเพิ่งจะได้เงยหน้ามามองฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ แน่นอน ฟู่เสี่ยวกวนก็มองตาของเขาเช่นกัน

สายตาของทั้งสองสบเข้าหากันกลางอากาศ ถึงแม้จะมองมิเห็นประกายไฟ แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็รับรู้ถึงจิตสังหารที่เข้มข้นได้อย่างชัดเจน

ชายชราที่แบกดาบใหญ่ไว้ที่หลังเดินตามเยี่ยนเป่ยซีออกไปข้างนอก ภายในเรือนเวิ่นเยวี่ยจึงสงบลง มีเพียงเสียงประกายไฟที่ดังขึ้นมาจากเตาไฟเป็นครั้งคราวเท่านั้น

ผ่านไปเนิ่นนาน เยี่ยนซีเหวินจึงส่ายหน้าและกล่าวว่า “เจ้ามิควรยกท่านอาสามของข้าขึ้นมาสมมติ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเชิงเห็นด้วย แต่มิได้กล่าวอันใดกับเยี่ยนซีเหวิน บางเรื่อง มีเพียงการประสบความเจ็บปวดกับตัวเท่านั้น ที่จะทำให้ท่านปู่ของเขาเผชิญหน้ากับมันได้

แน่นอน ว่าประโยคสมมติของฟู่เสี่ยวกวนก็มีความหมายที่ลึกซึ้งแฝงอยู่

รัชสมัยเซวียนลี่ที่1 กองทัพชายแดนตะวันออกของฉินถงต่อสู้กับแคว้นอี๋ ณ ที่ราบสีหม่า ตามที่ไป๋ยู่เหลียนได้กล่าวไว้ หลังจากที่พวกเขาทลายวงล้อมได้ก็พักฟื้นกันอยู่ที่ชายแดนราชวงศ์หยู ฉินถงกลับถูกเป่ยหวังฉวนนักรบรุ่นที่หนึ่งของราชวงศ์อู๋ปักศรจนถึงแก่ความตาย

ไป๋ยู่เหลียนกล่าวว่าที่เมืองหลวงราชครูอาวุโสเฟ่ยแจ้งว่าฉินถงถูกสังหารด้วยศรเทพของเป่ยหวังฉวนเพียงดอกเดียว และนับให้การออกรบในครานั้นเป็นความพ่ายแพ้ หลังจากนั้นกองทัพชายแดนตะวันออกก็เกิดการระดมพลครั้งใหญ่ อดีตผู้บัญชาการอย่างเฟ่ยปังได้เข้ารับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหมของราชสำนัก และเยี่ยนฮ่าวชูบุตรชายคนที่สามของเยี่ยนเป่ยซีได้เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพชายแดนตะวันออก

คำถามของฟู่เสี่ยวกวนมีความหมายอยู่สองขั้น เพียงอยากจะเห็นว่าการตายของฉินถง ได้มีเงาของเยี่ยนเป่ยซีหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะคิดเยี่ยงไร ตระกูลเยี่ยนก็ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนั้นอย่างมากล้น

นี่คือการแหวกหญ้า จะทำให้งูแตกตื่นหรือไม่ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิทราบ

เขาทราบเพียงว่ามีความเสี่ยงอย่างมาก นี่มิใช่อสรพิษตัวจ้อย แต่มันคืองูหลามขนาดยักษ์ต่างหากเล่า !

แต่เขาก็เลือกที่จะถามเยี่ยงนั้นออกไป เพราะเขาทราบดีว่าฮ่องเต้ย่อมหวังให้เขาทำเยี่ยงนั้น เพียงแต่เขาคาดมิถึงว่าเยี่ยนเป่ยซีจะยื่นกิ่งมาให้เขาเกาะอีกครา และยังน่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง

เขาหันมองเยี่ยนเสี่ยวโหลว กล่าวตามจริง สตรีผู้นี้เป็นสาวงามอย่างแท้จริง

แต่เขาก็มิกล้ารับกิ่งที่เยี่ยนเป่ยซียื่นมาให้ เพราะมันย่อมมีพิษ

ทั้งอาจเป็นพิษที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง !