ตอนที่ 192 คนสุดท้าย

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 192 คนสุดท้าย

ใบหน้าของเยี่ยนเสี่ยวโหลวยังแดงไม่หาย

หัวใจของนางเต้นโครมครามเนื่องจากประโยคที่ปู่ของนางเอ่ยออกมาสักครู่

ความหมายช่างชัดเจนนัก เพียงแค่ฟู่เสี่ยวกวนยินยอม นางก็จะกลายเป็นคนของเขาทันที แต่เขาจะยินยอมหรือไม่ ?

นางมิอาจเดาได้ แต่ภายในใจของสาวน้อยเช่นนางเต็มไปด้วยความหวังและเป็นกังวล

นางไม่เข้าใจถึงตัวอย่างที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวขึ้นเมื่อครู่ แต่รับรู้ได้ว่ามิควร เนื่องจากเยี่ยนฮ่าวชูเป็นบิดาของนาง

คาดว่าฟู่เสี่ยวกวนคงมิรู้มาก่อน มิเช่นนั้นเขาจะยกตัวอย่างเช่นนั้นหรือ ? นี่เป็นการไร้มารยาทอย่างถึงที่สุด

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้จริง ๆ บัดนี้เขาหันมายิ้มกับเยี่ยนซีเหวินแล้วกล่าวว่า “ตัวอย่างที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่อย่าได้นำมาใส่ใจ ข้ามิได้มีจุดประสงค์อื่น หวังว่าอัครมหาเสนาบดีจะเข้าใจเป็นพอ”

เยี่ยนซีเหวินมองไปยังเยี่ยนเสี่ยวโหลว จากนั้นจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวน “ท่านอาสามของข้าคือบิดาของเสี่ยวโหลว”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงและรีบยกมือกำขึ้นคารวะ “ปากข้านี่พล่อยเสียจริง ขออภัยด้วย ข้ามิรู้มาก่อนว่าเขาเป็นบิดาของเจ้า เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ นี่ก็ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ข้าขอเชิญทุกท่านไปร่วมรับประทานอาหาร ณ หอซื่อฟาง เพื่อขออภัยแม่นางเสี่ยวโหลว และเป็นการเลี้ยงอำลาพวกท่านด้วย”

เยี่ยนซีเหวินมิได้รู้สึกไยดี เขากล่าวว่า “เรื่องอาหารมิจำเป็น ข้ายังต้องไปพบท่านพ่ออีก ข้าเองก็ไม่รั้งเจ้าไว้เพื่อกินข้าวเช่นกัน” จากนั้นเขาหันไปกำชับเสี่ยวโหลวว่า “เจ้าจงจัดแจงที่นี่ให้เรียบร้อย ข้าจะไปส่งเขาเอง”

“อืม” เยี่ยนเสี่ยวโหลวตอบรับ จากนั้นเงยหน้ามองดูฟู่เสี่ยวกวน นางคาดว่าวันนี้คงไม่มีคำพูดใดออกจากปากเขาแน่

เยี่ยนซีเหวินพาฟู่เสี่ยวกวนเดินออกมา จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ท่านปู่ได้เอ่ยออกมาแล้ว เจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”

“ซีเหวิน เจ้ารู้จักข้าดี ข้านั้นมิมีความใฝ่ฝันยิ่งใหญ่ใด เพียงต้องการเป็นพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ เท่านั้น ข้าคาดว่าเจ้าคงมิเชื่อ แต่เจ้าลองทบทวนดู ชีวิตคนเราช่างสั้นนัก ข้าเองก็มิได้ขาดแคลนเงินทอง อีกทั้งข้ายังรักในความเรียบง่าย เหตุใดจึงต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในท้องพระโรงกัน ? เช่นนี้มิใช่หาเรื่องใส่ตัวหรือ ? ที่ใดจะมีความสุขได้เท่าซีซานอีกเล่า ? ”

เรื่องนี้เยี่ยนซีเหวินมิได้แสดงความคิดเห็นใด ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้รักในการค้นคว้า เขาจะทนคิดถึงที่ภูเขาซีซานได้นานหรือ ?

“เรื่องน้องสาวข้า เจ้ามีความคิดเห็นเยี่ยงไร ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนทำตัวไม่ถูก “ระหว่างข้ากับน้องสาวเจ้า พวกเรามิได้ทำสิ่งใดเสียหาย ข้าขอบอกตามตรงว่าเนื่องจากข้าเกรงว่าเจ้าจะมิพอใจ ดังนั้นทุกคราที่พบกับน้องสาวเจ้า แม้แต่หน้านาง ข้ายังมิกล้าเหลือบตามอง อีกทั้งเจ้าเข้าใจข้าดี ข้ามิกล้าทำเยี่ยงนี้เป็นแน่”

เยี่ยนซีเหวินหยุดฝีเท้าลงแล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน

“ปัญหาคือตอนนี้น้องสาวข้ามีใจให้เจ้า มิใช่เพราะคำพูดของท่านปู่ หนังสือความฝันในหอแดงของเจ้าทำนางเจ็บปวดมิน้อย ข้าเคยตักเตือนนางแล้ว แต่ยิ่งข้าเอ่ยเตือนนางมากเท่าใด นางก็ยิ่งแน่วแน่ ข้าหวังจะให้น้องสาวมีความสุข แต่หากเรื่องนี้เจ้ามิรับปาก นางจะมีความสุขได้เยี่ยงไร ?”

เยี่ยนซีเหวินกล่าวต่อโดยไม่ให้โอกาสฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยแทรก “น้องสาวข้ามิแพ้แม่นางต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินเลย เจ้าจะรับราชการหรือไม่ ข้ามิสน แต่เรื่องของน้องสาวข้า เจ้าจะต้องรับคำ มิเช่นนั้นนางจะเสียใจ และหากนางเสียใจ ต่อให้ตายข้าก็ไม่ยกโทษให้เจ้า ! ”

ให้ตายสิ…ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้จะเอ่ยอย่างไร

“ข้าว่า…”

“ว่าอะไร ! พอเถิด เรื่องนี้เอาตามที่ข้าบอก ข้าจะกลับไปบอกกับน้องสาวว่าเจ้ารับคำแล้ว แต่เนื่องจากองค์หญิงเก้า ดังนั้นจึงยังมิอาจสู่ขอได้ เจ้าไปได้แล้ว”

“จะให้ข้าไปได้เยี่ยงไรเล่า ! ”

“ทำไมหรือ ? เจ้าอยากจะอยู่ร่วมอาหารกลางวัน ? ย่อมได้ ถ้าเช่นนั้นพวกเรากลับเข้าไปด้วยกัน”

“มิใช่… ! ”

“เจ้าเป็นลูกผู้ชายกลับทำตัวไม่หนักแน่นงั้นหรือ ? ผู้ชายมีภรรยาและอนุหลายคนเป็นเรื่องปกติ น้องสาวข้ามิรังเกียจ แต่เจ้ามีปัญหางั้นหรือ ? เอาล่ะ ข้าวุ่นมาก เจ้าเองก็กลับไปได้แล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนยังมิทันได้เอ่ยคำใดก็ถูกเยี่ยนซีเหวินผลักออกมาจากจวนเยี่ยน เมื่อเขาหันหลังกลับไปมอง พบว่าประตูบานนั้นค่อย ๆ ปิดลง เยี่ยนซีเหวินโบกมืออำลาเขาแล้วเดินหันหลังกลับไป

ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจออกมายาว ๆ

เรื่องของจางเพ่ยเอ๋อร์ลอยเข้ามาในสมองของเขา เห้อ…สตรีในยุคนี้ทำให้เขาเปิดโลกทัศน์ได้มากทีเดียว หาได้เหมือนในชาติก่อนไม่ การแต่งงานและหย่าร้างทำได้เพียงคำเดียว การปลิดชีพเพื่อความรักนั้นหาได้ยากยิ่ง

ตอนนี้เขาควรทำเยี่ยงไรดี ?

ร่างบางที่ยืนอยู่ในศาลา สวมชุดสีขาวผ่องในมือถือดอกเหมยสีแดงยังคงลอยมา ช่างชัดเจนและงดงามยิ่ง

แต่ทว่า…นางคือคุณหนูตระกูลเยี่ยน !

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหัวแล้วรีบขึ้นรถม้าตรงไปยังจวนฟู่

ซูซูนั่งอยู่ในรถม้าด้วย ในมือนางถือปิงถังหูลู่ไว้ ดวงตาเป็นประกายมองมายังฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยว่า “ผู้ชาย มักชอบเสแสร้ง ! ”

……

……

ณ หอเถาหราน จวนฟู่แห่งทะเลสาบซวนอู่

แสงแดดกระทบกับหิมะที่ปกคลุมบนทะเลสาบซวนอู่ ทอแสงแวววาวแสบตา ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้าไปทางอื่น เขากลับมานั่งอยู่กลางหอนั้นแล้วครุ่นคิดว่าจะจัดการเรื่องของเยี่ยนซีเหวินอย่างไรดี

แม้ว่าตระกูลเยี่ยนจะพบกับปัญหาใด ๆ แต่จากที่ฟู่เสี่ยวกวนมองดูแล้ว หาได้เกี่ยวข้องกับเยี่ยนซีเหวินหรือเยี่ยนเสี่ยวโหลวไม่

เยี่ยนซีเหวินรับหน้าที่เป็นนายอำเภอ เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อเขตเหยา เพราะต้องการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน

ส่วนเยี่ยนเสี่ยวโหลวนั้นเป็นเพียงสตรีทั่วไป เดิมทีนางมิควรต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในตระกูล หากนางต้องเสียใจเพราะถูกโยงเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ นั่นเป็นสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนมิต้องการจะเห็น

เยี่ยนเป่ยซี !

จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่เก่งกาจนัก !

ปัญหาที่เขาตั้งขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนกลับตอบมิได้

ซูโหรวเดินเข้ามาพร้อมกับเส้นด้ายสีแดง นางปักผ้าไปพลางเอ่ยว่า “ตาเฒ่านั่นมิธรรมดา น่าจะเป็นเพลงดาบที่อาจารย์ของไป๋หยู่เหลียนคิดค้นขึ้น มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว คาดมิถึงว่าจะตกอยู่ที่ตระกูลเยี่ยน”

ซูโหรวร้อยด้ายเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวน “สตรีนางนั้นเป็นคนดี แม้ว่าตระกูลเยี่ยนจะไม่ถูกกับเจ้า แต่หาได้เป็นความผิดของนางไม่ เจ้าจงแยกแยะให้ดี”

เรื่องวุ่นวายยังมีไม่มากพอหรือไงกัน !

ซูซูนั่งไกวชิงช้าไปมา นางเพิ่งทำมันเสร็จเมื่อวานนี้

นางหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยว่า “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ในวันนั้นเจ้าเมามาก แม่นางเสี่ยวโหลวประคองเจ้าไปที่เตียง นางเป็นหญิงสาวแต่กลับมิรังเกียจ ข้ามิเข้าใจว่าเจ้ามีอคติอันใด ? หากเป็นข้าคงตอบตกลงไปแล้ว จะทำให้ยุ่งยากเพราะเหตุใดกัน ! ”

ทันใดนั้นเอง ต่งชูหลานก็เดินเข้ามา นางได้ยินเสียงหัวเราะของซูซูมาแต่ไกล และได้ยินคำพูดของซูซู

นางจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจวว่า “เรื่องใดยุ่งยากกัน ? ”

“ท่านพี่ชูหลาน ช่วยตัดสินที การที่เจ้าทั้งสองคนรักกัน ตระกูลของเจ้าทั้งสองส่งผลกระทบใด ๆหรือไม่ ? ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยถูกกักบริเวณ แต่การที่เจ้าถูกกักบริเวณทำให้ความรักที่เจ้ามีต่อฟู่เสี่ยวกวนน้อยลงหรือไม่ ? ”

ต่งชูหลานอ้าปากค้าง เหตุใดจึงได้เอ่ยเรื่องนี้ออกมาเล่า ?

ซูซูเป็นเพียงสาวน้อยที่แสนซื่อ ต่งชูหลานจึงมิได้เอ่ยโทษนาง นางเพียงมองไปยังซูซูแล้วเอ่ยว่า “มีใครบางคนเคยเขียนกวีเนื้อความว่า ร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน ดังนั้นความรักที่สำคัญคือจิตใจตรงกัน มิได้เกี่ยวข้องกับชาติตระกูลแต่อย่างใดและมิได้เกี่ยวข้องกับผู้อื่นด้วย ความรักเป็นเพียงสิ่งที่งดงามและละเอียดอ่อน ซูซู ต่อไปหากเจ้ามีชายในดวงใจแล้วจะเข้าใจเอง ”

“เห็นหรือไม่เล่า ข้าเอ่ยไว้มิมีผิด พี่ชูหลานก็คิดเช่นนี้ ดังนั้น ฟู่เสี่ยวกวน เรื่องนั้นเจ้าคิดมากไปหรือไม่ ? ”

ต่งชูหลานมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนยักไหล่แล้วเล่าเรื่องที่พบกับเยี่ยนเป่ยซีให้นางฟังอย่างละเอียด

ต่งชูหลานขมวดคิ้วขึ้น เนื่องจากเยี่ยนเสี่ยวโหลวเป็นหนึ่งในสาเหตุ แต่มิใช่ต้นเหตุ

“เรื่องนี้มิธรรมดา”

“อืม ข้าต้องการทดสอบเยี่ยนเป่ยซีสักหน่อย”

“ตระกูลเยี่ยนเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์หยู ตอนนี้สถานการณ์บ้านเมืองก็ยังมิค่อยดีนัก อีกทั้งได้ยินมาว่าตระกูลเยี่ยนให้การสนับสนุนองค์ชายใหญ่ องค์รัชทายาทยังมิได้กำหนด หากว่าฝ่าบาททรง…ตระกูลเยี่ยนสามารถสนับสนุนองค์ชายใหญ่ได้สุดกำลัง หากเรื่องนี้เกิดขึ้น คำที่เอ่ยในวันนี้เกรงว่าจะนำความเดือดร้อนมาให้เจ้าเป็นแน่”

คำพูดของต่งชูหลานเตือนสติฟู่เสี่ยวกวนไว้

เขาประมาทเกินไป !

ความหมายของฝ่าบาทนั้นเขาเข้าใจดี แต่เขามิอาจคาดเดาได้ว่าแผนการของฝ่าบาทจะสำเร็จหรือไม่

เขาครุ่นคิดว่าหากผู้นำสูงสุดของประเทศต้องการปรับเปลี่ยนระบอบ จะสร้างความไม่สงบสุขให้แก่ประเทศชาตินานหลายปี เขาคงคิดการมาดีแล้ว

แต่หากฝ่าบาทมิได้เป็นเช่นนั้น แต่กลับเลือกทางนี้เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น…ก็อาจจะพลิกผันได้ !

ฟู่เสี่ยวกวนหลับตาลงแล้วหายใจเข้าลึก ๆ ตัวเขาที่ระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา บัดนี้กลับหุนหันพลันแล่นได้เยี่ยงไรกัน !

“เรื่องนี้……ข้าไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน”

“เจ้าอย่าได้ใส่ใจไป เยี่ยงไรเสียราชวงศ์หยูก็ยังมั่นคง หากมีผู้ใดคิดก่อกบฏเกรงว่าจะมิง่าย”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าแล้วได้ยินชูหลานเอ่ยต่อว่า “หากต้องการป้องกันละก็…”

ต่งชูหลานกัดริมฝีปากแล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน “แม่นางเสี่ยวโหลวก็มิเลว เพียงแต่เจ้าลองไปถามความคิดเห็นของเวิ่นหวินดูก่อน”

ซูซูหัวเราะออกมา “พี่ชูหลานกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เจ้าเป็นผู้ชายแท้ ๆ เรื่องนี้เจ้ามีแต่ได้กับได้ เจ้าคิดสิ่งใดอยู่กัน ? ”

ต่งชูหลานจ้องไปยังซูซู เรื่องนี้เป็นเรื่องน่ายินดีที่ไหนเล่า !

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้แข็งแกร่ง เขาจะไปทนต่อพายุของตระกูลเยี่ยนได้เยี่ยงไร !

มองดูแล้วนี่คือการเตือนจากเยี่ยนเป่ยซี หากฟู่เสี่ยวกวนยังแสร้งทำเป็นมิรู้ เกรงว่าเขาจะถูกกดดันจากตระกูลเยี่ยนอย่างหนัก

ต่อให้ฝ่าบาทหรือพระสนมซั่งเองรักษาชีวิตฟู่เสี่ยวกวนไว้ได้ แต่หากตระกูลเยี่ยนยังดำรงอยู่ ฟู่เสี่ยวกวนก็มิอาจกระทำการใด ๆ ราบรื่นได้

เรื่องการแต่งงานของตนยังมิได้จัดการด้วยซ้ำ แต่จู่ ๆ กลับมีสตรีโผล่มาอีกนางหนึ่ง แน่นอนว่าต่งชูหลานมิพอใจ นางเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “นี่จะต้องเป็นคนสุดท้าย ! ”