ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 220 กลอนอมตะ (2)

จอมศาสตราพลิกดารา

ไป๋เซวียนมือถือกระดาษขาวม้วนหนึ่ง เดินขึ้นมาด้วยใบหน้าสงบนิ่ง มอบมันให้ทหารยามของหน่วยเลี้ยงรับรองสองคนไปแขวนบนที่ว่างสุดท้าย

ผู้ดูแลคนนั้นอ่านออกมาเสียงดัง…

“กลอนชมฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำลำพังใต้แสงจันทร์ กลอนกล่าวว่า…”

เพิ่งจะอ่านชื่อกลอนออกมา ฝูงชนบนถนนกลิ่นกำจายก็ฮือฮากันทันที

ลู่เสวี่ยที่อยู่บนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติยิ่งหัวเราะลั่นอย่างอดไม่ได้

ในห้องส่วนตัวชั้นหนึ่งบนหอโอบจันทร์ สายตาขององค์ชายสองฉายประกายดูถูกเหยียดหยาม ส่วนหัวหน้าหน่วยเลี้ยงรับรองหลิวเฉิงหลงหัวเราะออกมาอย่างไม่รู้ตัว

ลอกชื่อกลอนอย่างนั้นรึ?

นี่ก็คือระดับของหลี่มู่เองหรือ?

ชื่อของกลอนบทนี้แทบจะเหมือนกลอนชั้นเลิศที่องค์ชายสองเขียนให้ลู่หงซิ่วทุกประการ เพียงแค่เปลี่ยนจาก ‘ลู่หงซิ่ว’ เป็น ‘ฮวาเสี่ยงหรง’ เท่านั้น อย่างน้อยจากชื่อกลอนก็แพ้ราบคาบแล้ว

นี่ยังจะแข่งอย่างไร?

ได้ยินผู้ดูแลคนนั้นอ่านต่อไปว่า “จันทร์เจ้าเมื่อใดเล่าเจ้าเต็มดวง ข้าสุมทรวงยกเมรัยถามต่อฟ้า…”

หืม?

ประโยคนี้ไม่เหมือนกับ ‘ชมลู่หงซิ่วร่ายรำลำพังใต้แสงจันทร์’

อีกทั้งเหมือนจะเขียนออกมาตรงไปนิด แต่ก็ไม่นับว่าแย่?

หลายคนเมื่อได้ยินประโยคแรกก็เกิดความคิดเช่นนี้ก่อน

“ไป่รู้วิมานบนนภาคือปีใด ใจใคร่อยากล่องลมหวนกลับคืน เกรงแต่วังหยกสูงเสียดฟ้าเกินใฝ่ ตัวข้าหนาวเหน็บเกินทานไหว จึ่งร่ายรำกับเงาตนใต้แสงจันทร์ สรวงสวรรค์หรือจะสู้เมืองมนุษย์”

อ่านครึ่งแรกจบ ผู้ดูแลคนนี้ชะงักไป

เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย

เพราะเขารู้สึกรางๆ เหมือนว่า…กลอนที่อ่านออกมาจากปากตนค่อนข้างดี

ส่วนเสียงฮือฮาบนถนนกลิ่นกำจาย เวลานี้ก็เงียบเป็นปลิดทิ้ง

บนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ รอยยิ้มบนให้หน้าลู่เสวี่ยค่อยๆ แข็งค้าง

ลู่หงซิ่วที่อยู่บนเวทีหลัก ใบหน้างดงามตกใจและยากจะเชื่อ

ผู้ที่นิ่งเงียบเหมือนกันยังมีคนในห้องส่วนตัวบนชั้นสองของหอโอบจันทร์ คิ้วงามขององค์ชายสองขมวดมุ่น หน้าผากของหลิวเฉิงหลงมีเหงื่อเย็นซึมชื้น

นี่แค่ครึ่งแรกเท่านั้น แต่ก็เผยส่วนดีออกมาแล้ว

กลอนที่เหนือกว่ากลอนชั้นเลิศใกล้จะปรากฏ

เพราะในคำสั้นๆ นั้นขับเน้นอะไรออกมามากมาย ทรงพลังและมีกลิ่นอายเซียน บรรยายภาพของเซียนที่ทั้งเงียบเหงาและโดดเดี่ยวร่ายรำเพียงลำพังใต้แสงจันทราออกมาให้เห็น

แสงจันทร์สาดส่องเวทีหลัก ราวความฝันดุจภาพมายา

ได้ยินผู้ดูแลคนนั้นใช้เสียงที่คล้ายละเมออ่านครึ่งที่เหลือของกลอนบทนี้…

“บุหลันเคลื่อนผ่านศาลาชาด สาดส่องร่างผู้มิอาจหลับใหล ดวงแขเจ้าโกรธเคืองสิ่งใด ไยต้องพลัดพรากแล้วจึงเต็มดวง? มนุษย์มีทุกข์สุขพบพราก เดือนมีขึ้นแรมแหว่งเว้าเต็มวง ไม่สมบูรณ์ยืนยงมาแต่โบราณ ขอเราจงสุขสมอยู่ยั่งยืนนาน แม้นห่างไกลยากพบพานยังได้ชมจันทร์ดวงเดียวกัน”

ครั้นอ่านจบ ผู้ดูแลคนนั้นก็ปิดปาก ไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมาอีก

เขากลัวยิ่งนักว่าจะส่งเสียงอะไรออกมาทำลายความงามของกลอนบทนี้

หน้าเวทีหลัก บนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ ร่างแต่ละคนนิ่งค้างไป เมื่อตัวอักษรจัดเรียงและรวมกลุ่มเป็นรูปแบบจำเพาะก็จะมีพลังสั่นสะท้านจิตใจคน เห็นได้ชัดยิ่งว่า ‘ชมฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำลำพังใต้แสงจันทร์’ เป็นประเภทนี้ หนำซ้ำยังเป็นผลงานชั้นเยี่ยมในบรรดาประเภทนี้อีกด้วย

วรรคกลอนที่เล่าขานกันนับพันปีได้อย่างแท้จริงก็มีพลังสั่นสะท้านใจคนอยู่แล้ว ต่อให้เป็นคนที่ไม่เข้าใจกลอนก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ที่อยู่ในนั้น เห็นชัดว่า ‘ชมฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำลำพังใต้แสงจันทร์’ มีวรรคกลอนเช่นนี้อยู่

กลอนอมตะ

กลอนอมตะที่แท้จริงปรากฏขึ้นแล้ว

ไม่ต้องวิจารณ์อะไรให้มาก และไม่ต้องวิเคราะห์รายละเอียดบางอย่างในบทกลอน นี่คือกลอนอมตะ ทุกประโยค ทุกบรรทัดมีพลังเข้าถึงใจมนุษย์ ตรงเข้าสู่วิญญาณ

บนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ ลู่เสวี่ยตะลึงพรึงเพริด ราวกับเป็นคนโง่ทึ่มไปแล้ว

ลู่หงซิ่วที่อยู่บนเวทีหลักเตรียมรับตำแหน่งนางคณิกาอันดับหนึ่งก็อับแสงไปทันที สีหน้าตกตะลึงและผิดหวัง ถลาจากฟ้าสูงลงมายังฝุ่นธุลี ประสบการณ์เช่นนี้เคยลิ้มรสไปแล้วครั้งหนึ่ง นั่นคือจำนวนตะกร้าดอกไม้ถูกฮวาเสี่ยงหรงเอาชนะไปได้ และคราวนี้นางกำลังลิ้มรสเป็นครั้งที่สอง

ครั้งนี้อนาถกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก

“หึ” ในห้องส่วนตัว องค์ชายสองแค่นเสียงหยัน สีหน้าดำคล้ำ

เขาบีบกรอบหน้าต่างใต้ฝ่ามือจนแหลกละเอียดเป็นผุยผง

หลิวเฉิงหลงที่อยู่ข้างๆ เงียบเป็นใบ้ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ความตื่นตะลึงในใจยากจะบรรยายออกมา

หลี่มู่เขียนกลอนอมตะออกมาได้อย่างนั้นรึ?

เขาทำได้จริงๆ?

เมื่อค่อยๆ ลิ้มรสกลอนบทนี้โดยละเอียด บางประโยคในนั้นช่างเยี่ยมยอด ครึ่งแรกบรรยายอารมณ์ ครึ่งหลังผสานทั้งทิวทัศน์และอารมณ์ ภาพความพะวงและโดดเดี่ยวในยามฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำ รวมถึงท่าทางดุจเซียนที่ทำได้แค่มองแต่ไม่อาจครอบครอง ราวกับจะลอยลมกลับไปได้ทุกเมื่อ แต่สุดท้ายยังเหลือภาพนั้นไว้บนโลกมนุษย์ ก็สามารถบรรยายออกมาได้จนถึงขีดสุด

เช่นนี้คือการบรรยายจากมุมมองของเซียนที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เขียนบรรยายได้ละเอียดละมุนกว่า ‘ชมลู่หงซิ่วร่ายรำลำพังใต้แสงจันทร์’ ขององค์ชายสอง ล้ำลึกกว่าหลายเท่าทั้งจากมุมมองและรูปแบบ

พูดอย่างไม่เกินจริงคือ กลอนสองบทนี้ บทหนึ่งคือกลอนขั้นสุดยอดของคนธรรมดา ส่วนอีกบทคือกลอนของเซียน

กลอนของคนทั่วไปต่อให้โดดเด่นขนาดไหน แต่จะเปรียบเทียบกับกลอนของเซียนอย่างไร?

ทั้งสองไม่ใช่ระดับเดียวกันเลย

ต่อให้หลิวเฉิงหลงอยากพูดอะไรกู้หน้าองค์ชายสองกลับมาบ้าง แต่พอลองอ้าปากติดๆ กันหลายรอบ คำพูดกลับติดอยู่ตรงปาก พูดออกมาไม่ได้เลย

ไร้ซึ่งคำจะกล่าว

อีกทั้งประเด็นสำคัญที่สุดคือ ตอนนี้หลิวเฉิงหลงพลันเข้าใจแล้วว่าทำไมกลอนของหลี่มู่ถึงได้ตั้งชื่อแทบจะเหมือนกับ ‘ชมลู่หงซิ่วร่ายรำลำพังใต้แสงจันทร์’ ที่องค์ชายสองแต่ง

นี่ไม่ใช่การคัดลอกอย่างหมดปัญญา แต่เป็นการใช้ชื่อกลอนที่เหมือนกันนี้เหยียบย่ำองค์ชายสองลงไปให้มิด จากนี้ขอแค่พูดถึงชมใครสักคนร่ายรำลำพังใต้แสงจันทร์ กลอนที่คนจะนึกถึงก่อนต้องเป็นกลอนของหลี่มู่แน่นอน ไม่มีทางพูดถึงกลอนขององค์ชายสองได้…ต่อให้พูดถึงก็เกรงว่าจะกล่าวเชิงหยอกล้อกัน

หลี่มู่คนนี้บ้าระห่ำจริงๆ โหดเหี้ยมเสียจริงๆ

และในตอนนี้ องค์ชายสองก็ไม่มีวิธีใดที่จะโต้แย้งได้เลยภายใต้วิธีเช่นนี้

นอกเสียจากองค์ชายสองจะเขียนกลอนอมตะออกมาเหมือนกัน?

ทว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่

ต่อให้หลิวเฉิงหลงจะเลื่อมใสความเป็นเลิศทั้งบุ๋นและบู๊ขององค์ชายสองแค่ไหน ก็ไม่คิดว่าองค์ชายสองจะทำได้

บรรยากาศในห้องส่วนตัวกดดันจนน่ากลัว

ใบหน้างดงามขององค์ชายสองปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง บรรยากาศทั่วทั้งห้องลดฮวบ น้ำค้างแข็งสีขาวเป็นชั้นๆ เริ่มแผ่ลามจากกำแพงที่องค์ชายสองใช้มือค้ำไว้ เพียงชั่วพริบตาทั้งห้องก็เหมือนกับอุโมงค์น้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น

จักรวรรดิฉินตะวันตกตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นดินใหญ่เสินโจว ต่อให้เป็นเมืองฉิน ยามถึงฤดูหนาวก็เป็นดินแดนที่หนาวเหน็บมากเช่นกัน ‘เคล็ดมังกรทะยาน’ คือวิชาสูงสุดของเชื้อพระวงศ์จักรวรรดิฉินตะวันตก ถึงแม้จะบอกว่าเปลี่ยนแปลงไร้รูปร่างได้ แต่ลูกหลานเชื้อพระวงศ์นึกนิมิตถึงลมฟ้าอากาศเป็นหลัก ฝึกฝนพลังเหมันต์ ปราณแท้ขององค์ชายสองก็เป็นธาตุน้ำแข็งเช่นกัน

หลิวเฉิงหลงตัวสั่นงันงก ไม่กล้าโคจรพลังต้านไอหนาว

ทว่าในใจของเขาก็ยังนึกถึงเนื้อหา ‘ชมฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำลำพังใต้แสงจันทร์’ แวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้

ช่างเป็น…กลอนชั้นดีที่เยี่ยมยอดจนถึงที่สุดจริงๆ

……

แม้แต่หลิวเฉิงหลงยังรู้สึกเช่นนี้ เช่นนั้นตรงที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ เหล่ากวีคนดังพวกนั้นจะเอ่ยคำโต้แย้งได้อย่างไร

“กลอนนี่เป็นที่หนึ่งของคืนนี้”

“เป็นกลอนอมตะโดยแท้”

“อัจฉริยะกวีหลี่มู่ หายากยิ่งนัก”

“ด้วยกลอนบทนี้ ชื่อเสียงของฮวาเสี่ยงหรงจะต้องเลื่องลือไปทั่วจักรวรรดิฉินตะวันตกแน่นอน…ไม่สิ…เลื่องลือไปทั่วแผ่นดินใหญ่เสินโจวกันเลยทีเดียว”

“สาวงามอันดับหนึ่งใต้หล้า เป็นฮวาเสี่ยงหรงแน่นอน”

“ไม่ต้องวิจารณ์แล้ว ที่หนึ่งของคืนนี้ นางคณิกาอันดับหนึ่งคือฮวาเสี่ยงหรง”

เสียงแตกต่างแต่มีเนื้อหาแบบเดียวกันดังมาจากทุกทิศทาง

แม้แต่พวกนักกวี ‘กลุ่มกรรมการ’ ที่ได้รับสัญญาณลับๆ จากหลิวเฉิงหลง ตอนนี้ก็ไม่อาจหลับหูหลับตาพูดอีกต่อไป เพราะกลอนอมตะที่ฮวาเสี่ยงหรงนำออกมาคือกลอนอมตะ กลอนอมตะเชียวนะ มากพอที่จะสรรเสริญไปทั่วดินแดน ชื่อก้องทั่วแผ่นดินใหญ่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะขัดขวางได้แล้ว

หากตอนนี้พวกเขายังกล้าพูดว่า ‘ชมฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำลำพังใต้แสงจันทร์’ สู้กลอนบทที่ลู่หงซิ่วเชิญมาไม่ได้ เช่นนั้นพันปีข้างหน้า ทุกครั้งที่ผู้คนกล่าวขานถึงกลอนบทนี้ ชื่อกวีลือนามของพวกเขาก็จะถูกลากออกมาประณาม หัวเราะเยาะ เหยียดหยาม และตำหนิ ตัวพวกเขาและตระกูลก็จะถูกตอกลงบนเสาแห่งความอัปยศเพราะเหตุนี้ ทั้งยังกลายเป็นหินปูทาง เป็นเชิงอรรถ เป็นเครื่องประดับบนตำนานของกลอนบทนี้ด้วย

พวกเขาไม่กล้ารับความเสี่ยงนี้

เพราะชื่อเสียงของบัณฑิต ต่อให้เป็นชื่อเสียงจอมปลอม สำหรับพวกเขาก็สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

หากไม่มีชื่อเสียงหรือชื่อเสียงฉาวโฉ่เมื่อใด เช่นนั้นพวกเขาก็อยู่บนโลกนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว

“กลอนบทนี้คือที่หนึ่ง เป็นกลอนอมตะแน่ไม่ต้องสงสัย” เจ้าสำนักเถี่ยจ้านแห่งสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์จำต้องยอมรับ ใบหน้าขมขื่นและไม่ยอมจำนน

“ฮวาเสี่ยงหรงเป็นที่หนึ่ง”

“ไม่ต้องแข่งแล้ว มีกลอนบทนี้ประกาศออกมาก็รู้ผลแล้ว”

เหล่าบัณฑิตมีชื่อบนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติต่างเอ่ยปาก พูดบทวิเคราะห์ของพวกตนออกมา

ไม่อยากชื่อเสียงป่นปี้เป็นพันปีก็ต้องยอมรับ ต่อให้ล่วงเกินหลิวเฉิงหลงแห่งหน่วยเลี้ยงรับรองเพราะเหตุนี้ก็ช่วยไม่ได้

แม่เล้าลู่เสวี่ยแห่งหอชิดสิเน่หาสีหน้าเหมือนแม่หมูถูกเชือด มีอารมณ์หลากหลายได้เท่าไหร่ก็มีเท่านั้น ความกำเริบเสิบสานอวดดีก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น ปากเกร็งกระตุก พูดไม่ออกสักประโยคอยู่นาน

ลู่หงซิ่วที่ก่อนนี้ยังรุ่งโรจน์เรืองรอง ตอนนี้ดุจแม่ไก่ที่ตีแพ้ ก้มหน้าลงซ่อนความไม่ยอมจำนน อิจฉา และโมโหคั่งแค้นเอาไว้อย่างระวัง ในใจของนางเกิดความรู้สึกไร้กำลังอย่างแรงกล้า อับจนปัญญา คนที่ยืนอยู่เบื้องหลังฮวาเสี่ยงหรงชื่อหลี่มู่ หลี่มู่ผู้เลิศล้ำทั้งบุ๋นและบู๊ ใครจะกล้าประชันด้วย?

ซืออวี้หวาหอหยกละมุน เซวียหรุ่ยจากเมืองฝูเฟิง และนางคณิกาคนอื่นๆ ข้างกายนางก็อิจฉาริษยาแต่พูดไม่ออกเช่นกัน

ทำไม? ทำไมฮวาเสี่ยงหรงถึงได้รับความชื่นชอบจากหลี่มู่ถึงเพียงนี้?

หากไม่มีหลี่มู่แล้วละก็ คืนนี้ฮวาเสี่ยงหรงต้องถูกเหยียบจมดินแน่นอน อย่าได้คิดจะมีชื่ออีกเลย

ดังนั้นคนที่ตัดสินทุกอย่าง อันที่จริงแล้วคือหลี่มู่

นางคณิกาคนดังทั้งหมดต่างเกิดความคับแค้นใจอย่างอดไม่ได้

ทำไมหลี่มู่ถึงเป็นผู้ชายของฮวาเสี่ยงหรง หากหลี่มู่สนับสนุนพวกนางละก็ เช่นนั้นพวกนางน่าจะชิงตำแหน่งคณิกาอันดับหนึ่งมาได้กระมัง? ความโชคดีของฮวาเสี่ยงหรงช่างชวนให้คนอิจฉาริษยาเสียจริงๆ

…………………………