ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 219 กลอนอมตะ (1)

จอมศาสตราพลิกดารา

หลังการสรุปจากรอบตะกร้าดอกไม้และ ‘กวีชื่อดังให้คะแนน’ สองรอบนี้ ผู้ที่อยู่อันดับหนึ่งคือลู่หงซิ่วแห่งหอชิดสิเน่หา อันดับที่สองคือเซวียหรุ่ยแห่งเมืองฝูเฟิง อันดับที่สามคือซืออวี้หวาจากหอหยกละมุน ดังนั้นบทกลอนของนางคณิกาคนดังทั้งสามย่อมได้รับความสนใจมากที่สุด

ตอนนี้ กลอนของลู่หงซิ่วแห่งหอชิดสิเน่หายังไม่ได้เอามาติด

แต่บนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ แม่เล้าผู้ดูแลของหอชิดสิเน่หาซึ่งนั่งประจำที่ก่อนแล้ว ตอนนี้รอยยิ้มบนใบหน้าเบ่งบานราวดอกเบญจมาศ

นางไม่ยิ้มไม่ได้

เพราะที่หลังเวที หลังจากหัวหน้าหน่วยเลี้ยงรับรองหลิวเฉิงหลงตำหนิ แต่เดิมนางคิดว่าเคราะห์ร้ายมาเยือนแน่แล้ว กลับคิดไม่ถึง หลังเกิดเรื่องหลิวเฉิงหลงเรียกนางไปเป็นกรณีพิเศษ บอกอย่างชัดเจนว่ามีผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งต้องการจะสนับสนุนลู่หงซิ่ว จากนั้นในรอบกวีชื่อดังให้คะแนน คะแนนของลู่หงซิ่วก็พุ่งพรวดจริงๆ กระโดดขึ้นมาเป็นที่หนึ่งแล้ว

อีกทั้งเรื่องที่ทำให้ลู่เสวี่ยรู้สึกสะใจก็คือ ถึงแม้ฮวาเสี่ยงหรงจะร่ายรำได้เคลิบเคลิ้มน่าหลงใหล แต่ในรอบให้คะแนนกลับตกอันดับ

คิดถึงสีหน้ากล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดของไป๋เซวียนเมื่อครู่ ลู่เสวี่ยก็คึกคักนัก

นางถึงขั้นเก็บรอยยิ้มของตนไม่อยู่

ครั้งนี้การจะเหยียบหอสดับเซียน เหยียบไป๋เซวียน เหยียบฮวาเสี่ยงหรงไปรับตำแหน่ง ถือเป็นเรื่องที่แทบจะแน่ใจได้แล้ว

นางจะไม่ยิ้มได้อย่างไร?

ความอัปยศอดสูที่ได้รับหลังเวทีก่อนหน้านี้…ลู่เสวี่ยปักใจเชื่อว่าการถูกฮวาเสี่ยงหรงโต้เถียงคือความอัปยศอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าลู่เสวี่ยไม่กล้าแย้งคำตำหนิของหลิวเฉิงหลง แต่เห็นได้ชัดว่าภายหลังฮวาเสี่ยงหรงล่วงเกินอะไรหัวหน้าหลิวเข้า ตำแหน่งนางคณิกาอันดับหนึ่งที่เดิมทีเป็นของนางจึงตกมาที่หอชิดสิเน่หา เช่นนั้นตนจะต้องหยามหมิ่นกลับไป

หยามหมิ่นไป๋เซวียน หยามเกียรติฮวาเสี่ยงหรง

หรือกระทั่ง…เหยียบย่ำชื่อเสียงของหลี่มู่ขึ้นรับตำแหน่ง นี่เป็นเรื่องดุจความฝันสำหรับหอชิดสิเน่หา เพราะใครต่างก็รู้ว่าหลี่มู่สนับสนุนฮวาเสี่ยงหรง นางคณิกาชื่อดังที่มีอัจฉริยะผู้พร้อมทั้งบุ๋นและบู๊สนับสนุน สุดท้ายกลับไม่ได้รับเลือก นี่ไม่ใช่การเสียดสีเหน็บแนมอย่างหนึ่งหรืออย่างไร?

“มาแล้วๆ กลอนของแม่นางลู่มาแล้ว” บนเวทีมีผู้ดูแลของหน่วยเลี้ยงรับรองคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง

เสียงตะโกนนี้ดึงดูดความสนใจของคนนับไม่ถ้วนทันใด

กระทั่งว่าคนทั้งหมดบนถนนกลิ่นกำจายของหน่วยเลี้ยงรับรองต่างเงี่ยหูตั้งใจฟัง

ในเมื่อตอนนี้ลู่หงซิ่วคือที่หนึ่ง

เห็นผู้ดูแลคนนั้นแขวนกระดาษเซวียนจื่อ[1]ที่เต็มไปด้วยรอยหมึกไว้บนเวทีหลัก จากนั้นอ่านเสียงดังฟังชัดผ่านค่ายกลเวทกระจายเสียง

“กลอนชมลู่หงซิ่วร่ายรำลำพังใต้แสงจันทร์ กลอนกล่าวไว้ว่า

สาวงามระบำดั่งกล้วยไม้บาน ผู้คนแม้นมีตาหาได้เห็น พรมแดงปูทั่วโถงใหญ่ ร่ายรำงดงามดุจนางเซียน จากสวรรค์สู่โลกโลกีย์ บทเพลงนี้ทุกคนชื่นชมตื่นตา ใบหน้าพริ้มเพราเอวแบบบาง ผ้าโปร่งปักดิ้นทองลายวิจิตร ยามหมุนกายชายผ้าดุจหิมะ สายลมแรงพัดผ่านซ้ายขวา ผีผาขลุ่ยไผ่บรรเลงยังมิแว่วมา หมู่เมฆาก็เคลื่อนคล้อยลอยไกล ร่างนางเคลื่อนไหวดุจเทพสร้าง ท่าทางผันเปลี่ยนไม่จบสิ้น ไฉ่เหลียนรั่วเหมย[2]พลันแสลงหู มิอาจสู้ท่วงทำนองเสนาะนี้ มนุษย์ร่ายรำเลียนอย่างยังเข้าที แต่ท่วงท่าดรุณียากนักจะทัดเทียม”

อ่านจบ ทั้งที่นั้นต่างฮือฮา

กลอนดี

เป็นกลอนที่ดีจริงๆ

นี่น่าจะนับว่าเป็นเพลงกลอนชั้นเลิศบทหนึ่งแล้ว

กลอนบทนี้ใช้วิธีพรรณนาแบบอติพจน์[3] พูดได้ว่าพรรณนาท่วงท่าร่ายรำของลู่หงซิ่วได้สมบูรณ์แบบถึงขีดสุด อ่านกลอนจบทำให้คนเหมือนมองเห็นท่วงท่าอันไร้ที่ติยามลู่หงซิ่วขับร้องร่ายรำอยู่บนเวทีอีกครั้ง บรรยายขั้นตอนการร่ายระบำได้อย่างกระจ่างและลึกซึ้งจากเสียง แสง การเคลื่อนไหว ความสงบนิ่งและหลายๆ ด้าน

เทียบกับกลอนบทนี้แล้ว กลอนสองบทก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นกลอนที่ซืออวี้หวาหรือเซวียหรุ่ยเชิญคนมาเขียนให้ล้วนด้อยกว่าไม่น้อย

“เยี่ยมยอด เยี่ยมยอดยิ่งนัก”

“พูดได้ว่าเป็นเพลงกลอนชั้นเยี่ยม”

“สยบกลอนบทอื่นๆ ก่อนหน้านี้ทันตาเห็นเลย”

“ฮ่าๆ ต่อให้เทียบกับการแข่งขันนางคณิกาอันดับหนึ่งหกรอบที่ผ่านมา ก็ไม่มีกวีบทไหนโดดเด่นเช่นนี้เลย ฮ่าๆ ยินดีด้วยท่านแม่ลู่ ยินดีด้วยแม่นางลู่ ลำพังแค่กลอนบทนี้ก็ทำให้แม่นางลู่ก้าวสู่ตำแหน่งคณิกาอันดับหนึ่งได้แล้ว”

เสียงโห่ร้องให้กำลังใจดังไปทั่ว

นักกวีมีชื่อทั้งหลายก็ต่างเอ่ยปากชม

‘ชมลู่หงซิ่วร่ายรำลำพังใต้แสงจันทร์’ บทนี้ กล่าวได้ว่าทำให้คนส่วนใหญ่ที่นั่นประทับใจจริงๆ ต่อให้เป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าใจกลอนกวี หลังจากฟังกลอนบทนี้จบยังรู้สึกถึงสีสันอันงดงามอย่างหนึ่ง

ใบหน้าของลู่เสวี่ยฉายแววยินดีจนคลั่ง

นางยากจะควบคุมความตื่นเต้นในใจของตัวเอง

เพราะนางรู้ดี ก่อนนี้กลอนที่นางเพียรพยายามเตรียมให้ลู่หงซิ่วไม่ใช่บทนี้แน่….กลอนที่นางจ่ายเงินก้อนโตเชิญบัณฑิตมีชื่อคนหนึ่งมาเขียน ถึงแม้จะยอดเยี่ยม แต่ก็พออยู่ในระดับเดียวกับซืออวี้หวาและเซวียหรุ่ยเท่านั้น เทียบกับบทนี้แล้วช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว

กลอนบทนี้เป็นกลอนที่ใต้เท้าหลิวเฉิงหลงให้คนส่งมา

ไม่ผิดคาด…เมื่อหัวหน้าหลิวลงมือ พายุฝนฟ้าคะนองจะบังเกิด

กลอนบทนี้สยบทั่วทั้งที่แห่งนั้นได้ในพริบตา

นางรู้ คืนนี้ตำแหน่งนางคณิกาอันดับหนึ่งของลู่หงซิ่วเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว

ต่อให้เบื้องหลังของฮวาเสี่ยงหรงมีหลี่มู่อัจฉริยะคนดังที่เลิศเลอทั้งบุ๋นและบู๊สนับสนุนแล้วจะอย่างไร? นอกเสียจากหลี่มู่จะเขียนกลอนอมตะสักบท ถึงจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้ แต่กลอนอมตะเขียนออกมาได้ง่ายๆ เสียที่ไหน?

……

“กลอนบทนี้ขององค์ชาย เรียกได้ว่ากำหนดสถานการณ์เอาไว้แน่แล้ว”

ในห้องส่วนตัวบนหอโอบจันทร์ หลิวเฉิงหลงรำพึงรำพันออกมาจากใจ ชมไม่หยุดปาก

กลอนบทนี้องค์ชายสองแต่งขึ้นเมื่อครู่ ยกพู่กันรังสรรค์ เขียนเสร็จในรวดเดียว เป็นงานประพันธ์ที่ยอดเยี่ยมนัก กลิ่นอายกวีเข้มข้น ทำให้หลิวเฉิงหลงตกตะลึงจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาแค่รู้ว่าองค์ชายสองคืออัจฉริยะวิถียุทธ์ แต่คิดไม่ถึงว่าอัจฉริยะภาพด้านกลอนกวีขององค์ชายสองจะเหนือชั้นเพียงนี้

ใบหน้าหล่อเหลาขององค์ชายสองปรากฏรอยยิ้ม

ในเชื้อพระวงศ์จักรวรรดิฉินตะวันตก เขาเป็นองค์ชายที่พร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ที่สุดคนหนึ่งแน่นอน ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แรงสนับสนุนจากขุนนางใหญ่ทั้งหลาย กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมที่สุดในตำแหน่งรัชทายาท แต่เขาก็ต้องยอมรับว่ากลอนบทนี้เป็นสุดยอดผลงาน แสดงออกมาเกินมาตรฐานของเขา

และก็มีเพียงเขาที่รู้ กลอนบทนี้ไม่ได้มาจากการชมการร่ายรำเดี่ยวของลู่หงซิ่ว แต่อันที่จริงมาจากการร่ายรำใต้แสงจันทร์ของฮวาเสี่ยงหรง ชั่วขณะที่ฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำชวนหลงใหล ตัวเขาก็เหม่อลอยเหมือนฝัน แรงบันดาลใจพลุ่งพล่านขึ้นมาจริงๆ

แต่ว่าเขากลับมอบกลอนบทนี้ให้ลู่หงซิ่ว

เขาจะให้ฮวาเสี่ยงหรงรู้แจ้ง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ พลัง หรือความสามารถด้านกวี เขาล้วนเหนือกว่าหลี่มู่

เหตุที่ฮวาเสี่ยงหรงลุ่มหลงหลี่มู่ตอนนี้ก็เพียงเพราะหลี่มู่อยู่ใกล้ ได้พบฮวาเสี่ยงหรงก่อนเขาเท่านั้น หากเขาเจอนางก่อนละก็ เช่นนั้นคนที่นางจะเลื่อมใสทั้งยังรักหมดใจยามนี้ต้องเป็นเขาแน่นอน

คืนนี้ ตำแหน่งนางคณิกาอันดับหนึ่งของฮวาเสี่ยงหรง องค์ชายสองทำลายทิ้งแล้ว

นี่ไม่ใช่แค่การลงโทษฮวาเสี่ยงหรงที่ปฏิเสธมาพบเขาในหอโอบจันทร์ แต่ยิ่งกว่านั้นคือจะให้ฮวาเสี่ยงหรงตระหนักว่าหลี่มู่ไม่ใช่ทำได้ทุกอย่าง ทำให้นางเกิดความรู้สึกหดหู่สิ้นหวัง เกิดความไม่เชื่อมั่นในตัวหลี่มู่ และค่อยๆ ทำลายความรู้สึกของนางที่มีต่อหลี่มู่ไป

แน่นอนว่ายังมีอีกเหตุผลหนึ่ง

หากเขาจะรับฮวาเสี่ยงหรงก็ทำได้แค่จัดการอย่างเงียบเชียบ ซ่อนเอาไว้ในห้องทองเท่านั้น จะโดดเด่นเกินไปไม่ได้

หากฮวาเสี่ยงหรงเป็นคณิกาอันดับหนึ่ง ด้วยท่าทางราวเซียนของนางในคืนนี้ จะต้องเกิดผลเป็นที่ฮือฮาได้แน่นอน ถึงตอนนั้นชื่อเสียงของนางเลื่องลือไปถึงเมืองฉินก็เป็นไปได้สูงมาก เช่นนั้นจะดึงความสนใจของผู้คนมากเกินไป รับผู้หญิงแบบนี้ไว้ข้างกายตัวเอง อยากจะจัดการเงียบๆ ก็เป็นไปไม่ได้

ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของเขา ต่อให้ฮวาเสี่ยงหรงกลายเป็นผู้หญิงของเขาก็ต้องเรียนรู้ที่จะเสียสละ

“กลอนของหลี่มู่ยังไม่ส่งขึ้นมาอีกหรือ?” องค์ชายสองยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ก้มมองสรรพชีวิตเบื้องล่าง ราวกับเทพผู้สูงศักดิ์กำลังก้มมองมดปลวกที่คลานไปมา ทุกอย่างในคืนนี้ล้วนอยู่ในการควบคุมของเขา ส่วนหลี่มู่ที่ได้รับการขนานนามว่าเพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊คนนั้น ในสายตาเขาเป็นแค่มดปลวกที่ตัวใหญ่ขึ้นมาหน่อย แข็งแกร่งขึ้นอีกนิดก็เท่านั้น

“ยังไม่ส่งขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ” หลิวเฉิงหลงยิ้มพูดอย่างมั่นใจ “แค่กลอนชั้นเลิศขององค์ชายเปิดตัว สถานการณ์ในคืนนี้ก็กำหนดเอาไว้แน่แล้ว น่ากลัวว่าหลี่มู่คงเค้นหมดสมองแล้วกระมัง ต่อให้โชคชะตาเขาฝืนลิขิตฟ้า เขียนกลอนชั้นเลิศออกมาได้เหมือนกัน แต่ความสามารถขององค์ชายเหนือกว่า เขาก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม”

“เจ้าว่า เขาจะมีปัญญาแต่งกลอนอมตะออกมาได้หรือไม่?” องค์ชายสองถามเชิงหยอกล้อ

หลิวเฉิงหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด กลอนอมตะหายากยิ่ง ต่อให้เป็นคุณชายเหวินจงปินของจักรวรรดิฉินเราก็เขียนกลอนอมตะได้แค่สองบทเท่านั้น หลี่มู่ถึงแม้จะเป็นอัจฉริยะ แต่อย่างไรก็ยังอ่อนเยาว์นัก ไม่มีทางเขียนกลอนอมตะได้แน่”

องค์ชายสองพยักหน้า

เขาก็คิดแบบนี้เหมือนกัน

หลิงเฉิงหลงกล่าวกลั้วหัวเราะ “เชื่อว่าตอนนี้หลี่มู่ต้องกำลังคิดว่าสวรรค์ให้เขาเกิดมา แล้วไยจึงส่งท่านลงมาเกิดด้วยอยู่แน่ๆ…ฮ่าๆ คืนนี้ตำนานของเขาจะจบสิ้นแล้ว”

องค์ชายสองพยักหน้า “แล้วก็ยังมีชีวิตของเขาด้วย คืนนี้จะจบลงเช่นกัน”

ไม่รับใช้ข้า เช่นนั้นก็ตายไปเสียเถอะ

แย่งผู้หญิงของเจ้า เอาชีวิตของเจ้า นี่ก็คือราคาที่ปฏิเสธข้า

……

หลังจากนั้นมีกลอนของนางคณิกาคนดังขึ้นแขวนและอ่านประกาศไม่ขาดสาย

ทว่ามีบทกลอนยอดเยี่ยมอย่าง ‘ชมลู่หงซิ่วร่ายรำลำพังใต้แสงจันทร์’ อยู่ กลอนของนางคณิกาชื่อดังคนอื่นๆ ก็ไม่อาจสร้างความฮือฮาอะไรได้อีก กลอนสิบกว่าบทให้หลังอ่านออกมาให้ไพเราะอย่างไรก็ไร้รสชาติ

บนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ ลู่เสวี่ยหน้าตาอิ่มเอิบเปล่งปลั่ง

ส่วนบนเวทีหลัก ลู่หงซิ่วยิ่งยากจะควบคุมความยินดีบนใบหน้าของตน

จนถึงตอนสุดท้าย ก็เหลือเพียงกลอนสำหรับประกวดรอบที่สามของฮวาเสี่ยงหรงคนเดียวที่ยังไม่ปิดประกาศ

และในเวลานี้ คนแทบทั้งหมดก็กำลังรอกลอนบทสุดท้ายนี้

การร่ายรำชวนเคลิบเคลิ้มของฮวาเสี่ยงหรงสร้างความตื่นตะลึงให้คนมากมาย จึงมีหลายคนที่ความจริงแล้วไม่พอใจผลการให้คะแนนของกรรมการในรอบที่สอง อีกทั้งคนแทบทั้งหมดต่างรู้เรื่องสาวงามกับอัจฉริยะหนุ่มระหว่างฮวาเสี่ยงหรงและหลี่มู่ รู้สมญานามเลิศล้ำทั้งบุ๋นบู๊ของหลี่มู่ เดาได้ว่าครั้งนี้เขาจะต้องลงมือเพื่อฮวาเสี่ยงหรงอย่างแน่นอน

เพียงแต่ครั้งนี้หลี่มู่จะพลิกสถานการณ์กลับมาได้หรือ?

ยากเอาการ

กลอนอมตะเชียวนะ

ไม่ได้เขียนออกมาง่ายๆ แบบนั้น

ต่อให้เป็นหลี่มู่ อัตราที่จะเขียนได้ก็น้อยมาก

“เหอะๆ คิดว่าตัวเองเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งจริงๆ แล้วหรืออย่างไร ชักช้ายืดยาด เกรงว่าคงเขียนอะไรดีๆ ไม่ได้ อายที่ต้องออกมาพบปะผู้คนแล้ว” ลู่เสวี่ยกล่าวอย่างมีเลศนัย คืนนี้นับว่านางผูกใจเจ็บกับฮวาเสี่ยงหรงแล้ว อีกทั้งตอนนี้ได้การสนับสนุนจากหัวหน้าหลิว นางไม่กลัวฮวาเสี่ยงหรงและหอสดับเซียนอีก ดังนั้นจึงเริ่มเอ่ยถากถาง

แม่เล้าลู่แห่งหอชิดสิเน่หา แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่คนใจกว้างอะไร

“ส่งคนไปเร่งหน่อยเถอะ มิฉะนั้นก็นับว่าสละสิทธิ์ไป” ลู่เสวี่ยพูดเสียงดัง

มีคนผสมโรงตะโกนอยู่ข้างๆ

แม่เล้าจากหอสดับเซียนทั้งหลายอยู่ข้างๆ มีสีหน้าไม่สู้ดี แต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไร

ตอนนี้ บนเวทีหลักในที่สุดก็มีเสียงของผู้ดูแลคนหนึ่งดังขึ้น “กลอนในรอบที่สามของแม่นางฮวาเสี่ยงหรงจากหอสดับเซียนมาถึงแล้ว…”

……………………………………………………

[1]กระดาษเซวียนจื่อ คือกระดาษที่ดีที่สุดสำหรับการเขียนพู่กันและวาดภาพ

[2]ไฉ่เหลียนและลั่วเหมยเป็นชื่อบทเพลง ขึ้นชื่อว่ามีความไพเราะมาก

[3]อติพจน์ คือการกล่าวเกินจริงเพื่อเน้นให้ความรู้สึกเด่นชัดมากขึ้น น่าสนใจยิ่งขึ้น