ไป๋เซวียนที่อยู่ข้างๆ คล้ายตั้งสติได้ เอ่ยด้วยสีหน้าย่ำแย่ว่า “จะทำอย่างไรดี? มีคนจงใจกลั่นแกล้งฮวาเอ๋อร์ มิน่าเล่ารอบนักกวีคนดังให้คะแนนถึงได้ผลลัพธ์แบบนั้น…นี่…เฮ้อ เป็นความผิดข้า ฮวาเอ๋อร์ ข้าผิดเอง หากข้าไม่ให้เจ้าเข้าร่วมงานประกวดนางคณิกาอันดับหนึ่งก็จะไม่มีอุปสรรคมากมายขนาดนี้ ไม่แน่ว่ายามนี้เจ้าอาจจะถอนชื่อจากทะเบียนสำเร็จราบรื่น โบยบินจากไปกับหลี่มู่แล้ว แต่ตอนนี้…เฮ้อ”
นางโทษตัวเองยิ่งนัก
หลี่มู่อดมองแม่เล้าผู้ดูแลคนนี้สูงขึ้นอีกไม่ได้
นับว่ายังมีน้ำใจอยู่บ้าง สิ่งที่คิดได้ทันทีทันใด ไม่ใช่ฮวาเสี่ยงหรงชิงตำแหน่งคณิกาอันดับหนึ่งไม่ได้ และทำให้หอสดับเซียนเสียผลประโยชน์ แต่คิดถึงความปลอดภัยของฮวาเอ๋อร์แทน…เห็นได้ว่านางมองฮวาเสี่ยงหรงเป็นน้องสาวของตัวเองจริงๆ
เจิ้งฉุนเจี้ยนก็รู้สึกไร้กำลังไปทันทีเช่นเดียวกัน
“ไม่อย่างนั้น ข้ากลับไปเชิญให้ท่านเจ้าเมืองออกหน้า…” อันที่จริงเขาก็ไม่มั่นใจ
ตอนนี้เอง ซินเอ๋อร์ก็ร้อนใจขึ้นมาเช่นกัน
ฮวาเสี่ยงหรงไม่ได้พูดอะไร นางไม่อยากสร้างความกดดันให้กับหลี่มู่มากนัก และยิ่งไม่อยากให้หลี่มู่ลำบากใจ นางแค่คล้องแขนของหลี่มู่เอาไว้เบาๆ ต่อให้ต้องตาย นางก็จะไม่มีวันก้มหัวให้กับชายคนอื่นอีก
หลี่มู่กลับหัวเราะ “แต่ละคนทำหน้าแบบนี้ทำไมกัน? ฟ้าไม่ได้ถล่มลงมาสักหน่อย อีกอย่างต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ข้าก็จะทำให้มันลอยกลับขึ้นไปใหม่”
พูดตามตรง สำหรับหลี่มู่ชาวมนุษย์โลก ถอนทะเบียนที่ว่าก็เป็นแค่พิธีเท่านั้น หากเขาจะพาฮวาเอ๋อร์ไป มีใครกล้าขวาง?
ไป๋เซวียนคิดๆ ดูแล้วก็เอ่ย “คุณชายหลี่ ไม่อย่างนั้นท่านพาฮวาเอ๋อร์ไปตอนนี้เลย ฉวยโอกาสยามการประกวดนางคณิกาอันดับหนึ่งยังไม่จบ คนพวกนั้นตั้งตัวไม่ทันแน่ เมื่อพวกท่านออกจากเมืองไปแล้ว ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ ยุทธภพหนทางยาวไกล ต่อให้เป็นองค์ชายแห่งจักรวรรดิ ถ้าอยากจะตามหาพวกท่านก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร”
ซินเอ๋อร์ดวงตาฉายประกาย “ใช่แล้วๆ ตอนนี้เป็นโอกาส คุณชายหลี่ ท่านพาคุณหนูหนีไปเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่ร่วมมือกับท่านแม่ไป๋หลอกพวกเขา คนของหน่วยเลี้ยงรับรองเห็นว่าข้าอยู่ คงคิดไม่ถึงแน่ๆ ว่าคุณหนูจากไปแล้ว” ด้วยพลังของหลี่มู่ พาคนคนหนึ่งไปจากเมืองฉางอันอย่างเงียบเชียบเป็นเรื่องง่ายราวพลิกฝ่ามือ
“ไม่ได้ ข้าจะทิ้งเจ้าไว้ได้อย่างไร…” ฮวาเสี่ยงหรงเอ่ยอย่างกระวนกระวาย ในใจของนาง ซินเอ๋อร์เป็นสาวใช้ในนาม แต่ความจริงเหมือนพี่น้องแท้ๆ จะตัดใจทิ้งซินเอ๋อร์ไว้ที่นี่ได้อย่างไร อีกทั้งจินตนาการได้เลยว่าหากหน่วยเลี้ยงรับรองค้นพบความจริง เกรงว่าจุดจบของซินเอ๋อร์คงน่าอนาถยิ่งกว่าตาย
หลี่มู่พูดอย่างทั้งโมโหทั้งขำ “อย่าออกความคิดส่งเดชซิ ไปอะไรกัน ถ้าจะไปก็ต้องคว้าตำแหน่งนางคณิกาอันดับหนึ่ง อัดพวกคนชั่วให้หมอบแล้วค่อยจากไป”
“แต่ว่า…” ไป๋เซวียนไม่มั่นใจ
“ไม่มีแต่ว่าอะไรทั้งนั้น” หลี่มู่มั่นใจเต็มร้อย “ตำแหน่งนางคณิกาอันดับหนึ่งนี่ ฮวาเอ๋อร์คว้ามาได้แน่ บนโลกใบนี้ไม่ใช่ว่าเรื่องอะไรก็อยู่ในกำมือของผู้มีอำนาจเบื้องบนพวกนั้น ประธานเหมาผู้ยิ่งใหญ่สอนพวกเราเอาไว้ หมู่มวลประชาถึงจะเป็นผู้ขับเคลื่อนกงล้อแห่งประวัติศาสตร์”
ฮวาเสี่ยงหรง ไป๋เซวียน เจิ้งฉุนเจี้ยน และซินเอ๋อร์ต่างงงงัน
ประธานเหมาคือใคร?
ชื่อนี้ฟังแล้วทำไมแปลกๆ
แต่ความมั่นใจของหลี่มู่ก็ทำให้พวกเขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
“กลับไปให้หมดเถอะ ควรทำอะไรก็ทำเรื่องนั้น” หลี่มู่โบกมือให้เจิ้งฉุนเจี้ยนและไป๋เซวียนออกไป
ในกระโจมเหลือแค่หลี่มู่ ฮวาเสี่ยงหรง และซินเอ๋อร์สามคนเท่านั้น
“คืนนี้หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ฮวาเอ๋อร์เจ้าปกป้องซินเอ๋อร์เอาไว้ให้ดีก็พอ เรื่องอื่นมอบให้ข้าจัดการ” หลี่มู่วางแผนล่วงหน้า เตรียมการเอาไว้ก่อน เขามีลางสังหรณ์ว่าคืนนี้จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
ฮวาเสี่ยงหรงพยักหน้ารับปาก
“คุณชาย จะอันตรายมากหรือไม่เจ้าคะ?” ซินเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ ถาม นางยังเป็นห่วงฮวาเสี่ยงหรง
หลี่มู่ตอบ “ใช่ อันตรายมาก…สำหรับพวกศัตรูก็อันตรายสุดๆ ไปเลย”
ซินเอ๋อร์ยิ้มแห้ง
จนถึงเวลาแบบนี้แล้ว คุณชายหลี่ทำไมยังจะประมาทแบบนี้อีก
หลี่มู่ก็ไม่หยอกล้อนางแล้ว หันกลับไปบอกฮวาเสี่ยงหรงบางเรื่อง แนะนำว่าควรจะป้องกันโจมตีกลับอย่างไรเมื่อเจอยอดฝีมือ ที่สำคัญที่สุดคือก่อนอื่นต้องเป็นฝ่ายได้เปรียบ การใช้วิชาป้องกันสำคัญเป็นอย่างมาก จากนั้นก็มอบเครื่องรางเต๋าใช้ครั้งเดียวที่ปลุกเสกขึ้นในช่วงที่ผ่านมาให้นาง พร้อมทั้งบอกวิธีใช้ให้ฟัง
“วิชาเต๋าที่ข้าถ่ายทอดให้ พลังที่แท้จริงของมันเกินกว่าที่เจ้าคิดเอาไว้ คืนนี้สำหรับเจ้าแล้วอาจเป็นโอกาสพิสูจน์สิ่งที่เจ้าได้เรียนไปเป็นครั้งแรก” หลี่มู่มั่นใจในตัวฮวาเสี่ยงหรงมาก “ถึงตอนนั้นเจ้าจะพบว่าผู้แข็งแกร่งหรือยอดฝีมือที่ว่าพวกนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าแล้วอ่อนแอเพียงใด”
ฮวาเสี่ยงหรงพยักหน้าอย่างว่าง่าย ฟังอย่างตั้งใจยิ่ง
ที่จริงนางไม่สนใจเรื่องรบราฆ่าฟันอะไรเท่าไหร่
แต่นางสัมผัสได้ว่าพี่มู่มีใจจะฝึกทักษะด้านนี้ของตนจริง ขอแค่เป็นความปรารถนาของพี่มู่ นางก็ยินดีทำ ไม่ว่าตัวเองชอบหรือไม่ก็ตาม
หลี่มู่กำชับทุกอย่างแล้ว เมื่อมองเห็นแววตาบริสุทธิ์และเชื่อมั่นของฮวาเสี่ยงหรงก็ทอดถอนใจอยู่ในอก ไม่รู้ว่าตนฝึกฝนเด็กสาวที่บริสุทธิ์ราวสายน้ำไปในทางจอมเวทที่เรียกลมเรียกฝนได้ ตกลงแล้วเป็นการช่วยนางหรือทำร้ายนางกันแน่ หนทางการฝึกฝน เหยียบลงไปแล้วเป็นลมแผ่วสายฝนพรำเสียที่ไหน แต่ไหนแต่ไรมาเป็นพายุฝนคาวเลือดทั้งสิ้น
แต่หากจะให้ฮวาเสี่ยงหรงพัฒนาเป็นกำลังเสริมของตนในวันข้างหน้า ประสบการณ์ตอนนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในใจของหลี่มู่ยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่เล็กๆ กระมัง
หลังทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หลี่มู่ก็หลับตาฝึกฝนอยู่ในกระโจม โคจรวิชาก่อนกำเนิด ปรับสมดุลสภาวะของตน
หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป ไป๋เซวียนเข้ามาอีกครั้ง “ถึงรอบวิจารณ์กลอนรอบสุดท้ายแล้ว ไม่ทราบว่าคุณชายหลี่เตรียมบทกลอนให้ฮวาเอ๋อร์แล้วหรือไม่?” หากบอกว่าวันนี้ฮวาเสี่ยงหรงยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้ตำแหน่งนางคณิกาอันดับหนึ่ง เช่นนั้นนี่ก็เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว หากหลี่มู่แต่งกลอนอมตะออกมาได้ สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชมทั้งหมด ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงผลรอบนักกวีคนดังให้คะแนน และพลิกกลับมาชิงตำแหน่งได้
ถึงอย่างไร ยามอยู่ต่อหน้ากลอนอมตะของแท้ที่สามารถสั่นคลอนจิตใจผู้คน นักกวีคนดังพวกนั้นจะต้องพิจารณาชื่อเสียงของตัวเองสักเล็กน้อย ไม่กล้าสยบต่อผู้มีอำนาจอีก มิฉะนั้น ศักดิ์ศรีและเกียรติยศของพวกเขาก็จะถูกตอกอยู่บนเสาแห่งความอัปยศไปชั่วนิจนิรันดร์ตามกลอนอมตะบทนี้
แต่กลอนอมตะเขียนออกมาได้ง่ายๆ เสียที่ไหน?
ยกตัวอย่างกลอนสามบทก่อนหน้านี้ของหลี่มู่ ‘จากรึกเรือนซอมซ่อ’ ‘กลอนสาวงาม’ และ ‘พิศบุปผาเพียงพิศพักตร์’ เรียกได้กระทั่งว่าเยี่ยมยอด แต่ก็นับว่าเป็นกลอนชั้นยอดได้เท่านั้น หนึ่งในนั้น ‘กลอนสาวงาม’ อาจสูงกว่ากลอนชั้นยอดทั่วไปหนึ่งระดับ แต่ก็ยังไปไม่ถึงมาตรฐานกลอนอมตะ
ดังนั้นเมื่อไป๋เซวียนเข้ามาถามก็มาพร้อมความหวัง แต่ไม่กล้าหวังเอาไว้มาก
“เอ๋? ลืมเรื่องนี้ไปเลย” หลี่มู่ตบหน้าผาก ก่อนนี้มัวแต่คิดเรื่องอื่น ลืมเรื่องลอกกลอน เอ่อ ไม่ใช่ ลืมเรื่องแต่งกลอนไปเสียสนิทเลย
ในใจของไป๋เซวียนพลันรู้สึกสิ้นหวังอีกพักหนึ่ง
“ข้าแต่งตอนนี้เลยก็แล้วกัน” หลี่มู่ยืนขึ้นยิ้มคิกคัก สาวใช้ซินเอ๋อร์เตรียมโต๊ะเรียบร้อย หลี่มู่ยืนอยู่หน้าโต๊ะ ยกพู่กัน พูดกับตัวเองว่า “เอ เขียนอะไรดีล่ะ?”
พอเขาเงยหน้าก็เห็นแสงจันทร์กระจ่างสาดส่องเข้ามาจากช่องว่างเหนือศีรษะของกระโจม พลันนึกถึงยามฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำชวนหลงใหลบนเวทีหลักก่อนหน้านี้ แสงจันทร์กระจ่างฟ้าต้องกายนาง พริบตานั้นเซียนชุดขาวนางนี้ก็ราวกับจะแปลงเป็นเซียนโบยบินจากไป แสงจันทร์สุกสกาวส่องมาที่นางแต่เพียงผู้เดียว
มีแล้ว
หลี่มู่ตาลุกวาว จรดพู่กันเขียนลงบนกระดาษ
ใจของไป๋เซวียนไม่หวังอะไรมากแล้ว แต่ยังรักษาม้าตายประดุจม้าเป็น รออยู่ข้างๆ มองหลี่มู่เขียนกลอนเงียบๆ ทว่าดูไปๆ ดวงตาของนางวาววับทันใด จากนั้นทั้งตัวก็สั่นเทิ้มเพราะตื่นเต้น
……
มีกลอนสิบกว่าบทแขวนเอาไว้บนเวทีหลักแล้ว
ทั้งหมดเป็นบทกลอนที่บัณฑิตชายมากความสามารถจากแต่ละทิศแต่งขึ้นเพื่อคณิกาคนดังที่ตนสนับสนุน หรือไม่ก็เป็นบทกลอนที่นางคณิกาพยายามคิดหาวิธีขอร้องมาได้ นับว่าเป็นการเดิมพันครั้งสุดท้าย บทกวีเพิ่มรัศมีให้กับสาวงาม สาวงามอาศัยบทกลอนสร้างชื่อเสียงลือเลื่อง นี่เป็นประเพณีปฏิบัติแต่ไหนแต่ไรมา การประกวดนางคณิการอบที่แล้ว มีนางคณิกาคนหนึ่งทำได้ไม่ดียามแสดงความสามารถเพราะตื่นเต้น อันดับชื่อรั้งท้าย แต่กลับโชคดีได้บทกลอนที่คุณชายเหวินจงปินเขียนเพื่อนาง จึงพลิกสถานการณ์ย่ำแย่กลับมา สุดท้ายชิงที่หนึ่งมาได้
จะเห็นได้ถึงประโยชน์ของบทกลอนในการแข่งขันคัดเลือกนางคณิกาอันดับหนึ่ง
ทุกครั้งที่บทกลอนถูกแขวนขึ้น จะมีผู้เชี่ยวชาญอ่านเสียงดัง กระจายเสียงไปทั่วถนนกลิ่นกำจายผ่านค่ายกลขยายเสียงของจอมเวท ให้ทุกคนได้วิจารณ์และชื่นชมกัน
สำหรับบัณฑิตมากพรสวรรค์มากมาย งานประกวดนางคณิกาอันดับหนึ่งก็เป็นโอกาสสร้างชื่อเช่นกัน บางทีแต่งกลอนบทหนึ่งออกมาก็อาจโด่งดังเป็นที่จับตามองทันที
บนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติหน้าเวทีหลัก ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ หลายสิบคนที่ว่ากำลังวิจารณ์บนกลอนที่แขวนไว้แล้ว
“กลอนนี้ของแม่นางซืออวี้หวาเป็นบทกลอนแนะนำอันดับหนึ่งได้เลย…เสียงดนตรีกลางละอองหมอก ชายอาภรณ์ยาวพลิ้วสะบัดหุยหรวน[1] เงาสะท้อนตรงจังหวะดั่งเงาในกระจก…พรรณนาความงามของระบำฉางซิ่วของแม่นางซือออกมาได้มีชีวิตชีวาโดยแท้” บัณฑิตวัยกลางคนคนหนึ่งโคลงศีรษะเอ่ยชม
ประโยคนี้มีหลายคนเห็นดีด้วย
เพราะกลอนบทนี้เขียนได้ดีจริงๆ กระทั่งเรียกได้ว่าเป็นผลงานชั้นยอดในบรรดากลอนหลายบทที่ถูกแขวนขึ้นมา
“นั่นก็ไม่แน่ กลอนที่พรรณนาแม่นางเซวียหรุ่ยแห่งฝูเฟิงก็ทำให้คนตาเป็นประกายเหมือนกัน…หึๆ คิ้วงามดำราวทิวเขา เอวบางอ่อนช้อยดุจกิ่งหลิว แต่งองค์พริ้มเพราดั่งสายลมยามลี่ชุน[2] เพียงแย้มยิ้มเงินทองไร้ค่า ยามกลับเมืองเฟิงจักต้องกล่าวกับเหล่าคณิกา บุปผาทั้งอิ่งชวนยังมิสู้ความงามของเซวียหรุ่ย โดยเฉพาะประโยคที่ว่าเพียงแย้มยิ้มเงินทองไร้ค่า เรียกได้ว่าเป็นประโยคสุดยอดทีเดียว” เถี่ยจ้านเจ้าสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ก็เป็นหนึ่งในกรรมการ เอ่ยอย่างชื่นชมเป็นอย่างมาก
ยามเซวียหรุ่ยนางคณิกาคนดังมาถึงเมืองฉางอันก็สร้างความฮือฮาไปพักหนึ่ง และที่พักชั่วคราวของนางก็อยู่ที่สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ ดังนั้นเถี่ยจ้านจึงสนับสนุนนาง ซึ่งก็อยู่ในการคาดเดาของหลายๆ คน
แต่ก็ต้องยอมรับ กลอนที่เขียนเพื่อเซวียหรุ่ยโดดเด่นอย่างยิ่งจริงๆ หากสัมผัสให้ละเอียดยังอยู่เหนือกลอนบทนั้นของซืออวี้หวาเสียอีก
……………………………………………………
[1] หุยหรวน ชื่อการร่ายรำโบราณอย่างหนึ่งของจีน
[2] ลี่ชุน คือหนึ่งในยี่สิบสี่ฤดูกาลของจีน เป็นลำดับที่หนึ่ง ซึ่งก็คือช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ