นางยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะกวาดสายตามองคนเหล่านั้น แต่กลับไม่มีใครกล้าตอบนางแม้แต่คนเดียว
ท่าทางราวกับปีศาจของนางกลายเป็นฝันร้ายของพวกเขา
“เป็นอะไรไป? พวกท่านไม่เชื่อข้ามิใช่หรือ? พวกท่านอย่าได้กังวลไปเลยว่ามันจะอันตรายถึงชีวิต ท่านอาจารย์เคยบอกข้าว่าแม้เข็มจะถูกฝังอยู่ในร่างกาย ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็เพียงแค่พิการเท่านั้น”
หลินเมิ้งหยาส่ายเข็มในมือไปมาดั่งปีศาจที่กำลังมองเห็นชีวิตคนเป็นเรื่องสนุกสนาน
“คือ…คือว่า…เรื่องนี้คงไม่เหมาะสม ชายาอวี้อย่าล้อพวกกระหม่อมเล่นเลย วิชาฝังเข็มเป็นเพียงเรื่องเล่าแต่เพียงเท่านั้นมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ทุกคนเริ่มขยับตัวออกห่าง ดูเหมือนสิ่งที่เรียกว่าการอุทิศตนเพื่อการศึกษาทางการแพทย์จะเป็นเพียงเรื่องชวนหัว
หลินเมิ้งหยาคาดเดาปฏิกิริยาของพวกเขาเอาไว้แล้ว ฉะนั้นนางจึงทำเพียงหัวเราะและไม่พูดอะไรอีก เรื่องวิชาการควบคุมเข็มหาใช่วิชาที่คนทั่วไปจะรู้จัก มนุษย์มักจะกลัวสิ่งที่ตัวเองไม่รู้จักเสมอ
นี่เป็นจิตใต้สำนึกของมนุษย์ที่นางมิอาจเปลี่ยนแปลง
หลังจากสร้างความตื่นตระหนกให้กับพวกเขาเพียงพอแล้ว หลินเมิ้งหยาหยิบเข็มขึ้นมา ก่อนจะผงกศีรษะลง จากนั้นยื่นเข็มไปทางเจินจูและหมาหน่าว
“ข้าคิดว่าพวกท่านล้วนเป็นหมอหลวงที่ถวายงานรับใช้เพื่อความสงบสุขของอาณาจักร เช่นนั้นข้าลองฝังเข็มบนร่างของสาวใช้ให้ดูดีหรือไม่?”
ทันทีที่สิ้นเสียงของหลินเมิ้งหยา เหล่าหมอหลวงต่างรู้สึกราวได้ยกภูเขาออกจากอก ก่อนจะส่งเสียงเห็นด้วย
ผิดกับเจินจูและหมาหน่าวที่ใบหน้าเริ่มซีดเผือด
เข็มเล่มยาวนั่นน่ะเหรอ สวรรค์โปรด พวกนางจะยังมีชีวิตรอดออกไปหรือไม่?
“พระชายา! ไม่ได้นะเพคะ หนู่ปี้…หนู่ปี้ผิดไปแล้ว หนู่ปี้ไม่กล้าแล้วเพคะ พระชายาได้โปรดไว้ชีวิตหนู่ปี้ด้วย”
ทั้งที่เรื่องราวเป็นไปขนาดนี้แล้ว แต่พวกนางเพิ่งจะคุกเข่าอ้อนวอนหลินเมิ้งหยา มันไม่สายไปหน่อยหรือ?
อันที่จริงหลินเมิ้งหยามิได้อยากเอาชีวิตของพวกนาง แต่นางเพียงต้องการเตือนเท่านั้น สิ่งที่พวกนางไม่ควรทำที่สุดคือการดูถูกผู้อื่น
เหตุเพราะไม่ว่าใครต่างก็คิดไม่ถึงว่าสักวันหนึ่งอีกฝ่ายจะพลิกสถานการณ์ขึ้นมาเป็นเจ้าชีวิตของตัวเองเมื่อไหร่
โดยเฉพาะเจินจูและหมาหน่าวที่ร่างกายกำลังสั่นเทิ้มเพราะความหวาดกลัว
“นี่เป็นทางเลือกที่ไม่เลว แม้ว่าพวกเราจะไม่เคยเห็นวิชาควบคุมเข็มของพระชายามาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็มีหมอหลวงอยู่มากมาย บางที…พวกเจ้าอาจจะไม่ถึงตาย เช่นนั้น พวกเจ้ารบกวนลองดูสักหน่อยเถิด”
ซูถงรู้จักวิธีการเอาใจผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงเอ่ยโน้มน้าวตามหลินเมิ้งหยา
หญิงสาวทั้งสองร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร ท่าทางเจ็บปวดของพวกนางราวกับสูญเสียบิดามารดาไปต่อหน้าต่อตา ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไม่ขยับเขยื้อน แม้แต่ใบหน้ายังไร้ความรู้สึก
นางใช้วิธีนี้ในการแสดงเจตนารมณ์
“ไม่ ไม่ ไม่ ชายาอวี้ พวกหนู่ปี้สำนึกผิดแล้วเพคะ เรื่องนี้ เรื่องนี้ท่านน้าชิงหลาน…”
ยังไม่ทันจบประโยค สายตาพลันเหลือบเห็นหลินเมิ้งหยายกเข็มขึ้นมาแทงท้ายทอยของพวกนางทั้งสองแล้ว
ทันใดนั้นหญิงสาวทั้งสองก็ทรุดตัวลงบนพื้น
หลินเมิ้งหยามองซ้ายขวา ก่อนจะฝังเข็มลงไปอีกครั้ง ความเร็วของนางทำให้คนที่มองดูอ้าปากค้าง
หากพวกเขาต้องเป็นคนฝังเข็มแล้วล่ะก็ เกรงว่าจะต้องใช้เวลาพินิจพิเคราะห์อยู่นาน
“เจินจู เจ้าจงลุกขึ้น หมาหน่าว เจ้าจงนอนลงบนเตียง”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยเสียงใส แต่กลับชี้นิ้วสั่งพวกนางทั้งสองด้วยท่าทางประหลาด
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน เจินจูและหมาหน่าวทำตามคำพูดของนางโดยไม่ขัดขืน
หลินเมิ้งหยารู้สึกสะใจเล็กน้อย อันที่จริงระบบเซินหนงเคยวิเคราะห์เรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่นางกลับไม่ได้รับผลลัพธ์ใดๆ ตอบกลับมา ซ้ำนางยังไม่เข้าใจด้วยว่าเพราะเหตุใดการทำท่าทางเช่นนี้จึงสามารถควบคุมเข็มเหล่านี้ได้
“ทักษะการควบคุมเข็มนั้นขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานและวิธีการพิเศษ เดี๋ยวข้าจะสาธิตวิชาโหยวเจินให้ดู”
วิชาโหยวเจินเป็นวิชาลึกลับและอันตราย
“หากเกิดข้อผิดพลาดและทิ่มแทงอวัยวะเข้านั้นนับว่ามิใช่ปัญหา แต่ถ้าหากแทงเข็มโดนตำแหน่งหัวใจแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นเทวดาจากสวรรค์ก็มิอาจชุบชีวิตกลับมาได้”
หลินเมิ้งหยากลับไร้ซึ่งความกังวล สำหรับนางแล้ว วิชาการควบคุมเข็มง่ายดายเหมือนปอกกล้วย
แต่เพื่อทำให้คนเหล่านี้หวาดกลัว เช่นนั้นนางจะต้องทำเรื่องน่าตื่นเต้นบางอย่าง
ใช้ทักษะพิเศษแทงเข็มลงไปบริเวณแขนของเจินจู สายตาของเจินจูแสดงออกถึงความหวาดกลัว ราวกับเข็มเล่มนั้นมีชีวิตขึ้นมา มันมุดลงไปบนแขนของนางด้วยตัวเอง
“อย่ากลัวไปเลย เจ้ามิได้รู้สึกเจ็บใช่หรือไม่ เข็มเล่มนี้จะไหลเข้าไปในร่างกายของเจ้า แต่จะไม่ทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บ แต่ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นข้าจะสั่งให้มันทะลุออกจากตัวเจ้าเดี๋ยวนี้”
แย้มยิ้มอ่อนโยน แต่คาดว่าป่านนี้เจินจูจะต้องบริภาษถึงมารดาของนางอยู่อย่างแน่นอน
ใครจะคาดคิดว่าพระชายาที่มีท่าทางแสนอ่อนโยนไร้เดียงสาจะร้ายกาจเช่นนี้ นางไม่ด่าไม่ว่า แต่กลับสามารถเอาชีวิตผู้อื่นได้อย่างเงียบๆ
นางน่ากลัวเสียยิ่งกว่าปีศาจจากขุมนรก
“เพื่อให้ทุกท่านมองเห็นอย่างชัดเจน ข้าจึงเลือกเส้นลมปราณที่อยู่ใกล้ผิวหนังมากที่สุด หากมองไม่ชัดก็สามารถขยับเข้ามาดูใกล้ๆ ได้ โหยวเจินต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะเสร็จ หากพวกท่านสงสัย เช่นนั้นก็ลองเข้ามาจับผิวหนังของนางดูเถิด”
ใช้สัญลักษณ์มือควบคุมเข็ม พร้อมทั้งกล่าวเชิญชวนราวกับอยู่ในสวนสัตว์อย่างไรอย่างนั้น
หลินเมิ้งหยาสร้างความหวาดกลัวไว้ในหัวใจของเจินจู หมอหลวงต่างมองการสาธิตนี้อย่างสนใจใคร่รู้
ตอนแรกพวกเขายังไม่กล้าขยับเข้ามาใกล้ แต่ตอนนี้กลับห้อมล้อมร่างของเจินจูเอาไว้
“น่าประหลาดใจเหลือเกิน แต่ข้าได้ยินมาว่าทักษะวิชาควบคุมเข็มจะสามารถขับไล่อาการป่วยออกมาได้ เรื่องนี้จริงหรือไม่?”
ซูถงคือคนที่อยู่ด้านหน้าสุด นับว่าเขาเป็นคนกล้าหาญคนหนึ่ง ขณะที่เข็มแล่นผ่านลำคอของเจินจู เขายื่นมือเข้าไปเพื่อลองสัมผัส
มันคือเข็มเล่มที่ถูกแทงเข้าไปอย่างแน่นอน ทว่าการสัมผัสของเขาเกือบทำให้เจินจูปัสสาวะราด หากมิใช่เพราะหลินเมิ้งหยาสะกดจุดของนางเอาไว้ก่อนแล้ว เกรงว่าป่านนี้นางคงต้องอับอายขายหน้า
ขณะเดียวกัน นางหันไปจ้องซูถงด้วยความโกรธเกรี้ยว
“อืม เป็นเรื่องจริง เมื่อครู่ตอนที่ข้าสะกดจุดให้กับเจินจูจึงรู้ว่ากระเพาะของนางมีนิ่ว ในเมื่อทุกท่านอยากรู้ เช่นนั้นข้าจะแสดงให้ทุกท่านได้เห็น แต่มันอาจจะเจ็บเล็กน้อย เจินจู เจ้าจะต้องอดทนสักหน่อย”
หลินเมิ้งหยาเริ่มการแสดงด้วยความคิดชั่วร้าย
อันที่จริงนิ่วของเจินจูมิได้ร้ายแรงแต่อย่างใด ขอเพียงดื่มน้ำให้มากก็เพียงพอแล้ว แต่เพราะนางกล่าวเยาะเย้ยหลินเมิ้งหยาตลอดทั้งวัน ดังนั้นการชำระแค้นจึงเริ่มต้นขึ้น
ขั้นตอนการไล่นิ่วออกมามิได้สร้างความเจ็บปวดมากมายนัก แต่เพราะคำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้เจินจูรู้สึกหวาดผวา นางจึงอุปทานความเจ็บปวดไปเอง
“ไอหยา เจ้าอย่าเกร็งสิ หากเจ้าเกร็ง ข้าก็จะเกร็งตามไปด้วย แม้เข็มเล่มนี้จะว่านอนสอนง่าย แต่ถ้าหากพลาดเข้าไปทิ่มแทงอวัยวะส่วนอื่นคงไม่ดีแน่ ตอนนี้เจ้ารู้สึกเจ็บที่หัวใจหรือไม่?”
อันที่จริงนางไม่ได้ควบคุมเข็มเลยด้วยซ้ำ นางเพียงแค่ใช้ประโยชน์จากเข็มที่ฝังอยู่บนคอของเจินจูในการสร้างความเจ็บปวดให้นางแต่เพียงเท่านั้น
ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลอาบแก้มของเจินจู นางรู้สึกเหมือนคนกำลังจะตาย
สีหน้าขาวซีด ท่าทางเหมือนคนกำลังจะหมดลมหายใจ
“ข้าทำพลาดเอง ไม่เป็นไรหรอก อีกเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
หลินเมิ้งหยายังคงแสดงละครต่อไป อย่าว่าแต่นางเลย ขนาดหมอหลวงที่อยู่รอบๆ ยังหัวใจเต้นระรัว
เหตุเพราะเล่นสนุกมากจนเกินไป นางเกือบทำให้เจินจูหัวใจวายตายไปจริงๆ แล้ว ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงบังคับเข็มให้ออกมาจากทางปากของเจินจู
“ออกมาแล้ว ทุกท่านเชิญชม นี่คือเข็มที่ข้าแทงเข้าไปเมื่อครู่”
หยิบเข็มเล่มเล็กๆ ออกจากคอที่กำลังสั่นกระเพื่อมของเจินจู หลินเมิ้งหยาใช้ผ้าเช็ดหน้าจับมันเอาไว้แล้วชูขึ้นกลางอากาศ
ทุกคนรีบเข้าไปดู แต่กลับไม่มีใครสนใจเจินจูที่ตกใจจนเกือบหัวใจวายตาย
“ขออภัย ข้าทำให้แม่นางเจินจูต้องเจ็บปวดแล้ว”
เก็บเข็มเข้าที่ เจินจูทรุดตัวลงกับพื้น ดวงตาจ้องมองหลินเมิ้งหยาด้วยความหวาดกลัว
“มหัศจรรย์เหลือเกิน คิดไม่ถึงเลยว่ากระหม่อมจะได้มีโอกาสเห็นวิชาควบคุมเข็มที่ถูกกล่าวขานมาอย่างเนิ่นนานเช่นนี้ มันช่าง…ช่างน่าทึ่ง”
หลินเมิ้งหยามิอาจรู้ได้ว่าซูถงกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขากำลังมองนางเสมือนมองนางฟ้าจากสรวงสวรรค์
นางมิได้แสดงท่าทางลำพองใจออกมา แต่กลับแสดงท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนและตอบคำถามของหมอหลวงเหล่านั้น
เจินจูไอออกมาเล็กน้อย ก่อนนางจะคายก้อนนิ่วสีเทาสองสามชิ้นออกมา
หมอหลวงเหล่านี้ล้วนมีความเก่งกาจเฉพาะตัว พวกเขารีบรับผ้าเช็ดหน้าของนางเพื่อนำเข็มที่อยู่ภายในไปศึกษา
“วิชาลับเช่นนี้จะต้องใช้เวลาศึกษามานานหลายสิบปี พระชายา ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์ของท่านคือใครอย่างนั้นหรือ? พวกเราขอเข้าพบเขาได้หรือไม่?”
ซูถงยิ้มตาหยีขณะเอ่ยถาม ทว่าหลินเมิ้งหยากลับยิ้มพร้อมทั้งส่ายหน้าปฏิเสธ
“ท่านอาจารย์เป็นเพียงคนที่ชอบศึกษาหาความรู้แต่เพียงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขาชอบความสันโดษ เมื่อครึ่งปีก่อนเขาออกเดินทางไปท่องเที่ยวทั่วหล้าแล้ว แม้แต่ข้าเองก็ไม่เคยเจอเขาอีกเลย ขออภัยด้วย”
สีหน้าของซูถงเผยให้เห็นถึงความผิดหวัง
ทว่าท่านอาจารย์เคยกำชับนางว่าหากนางได้เจอกับชายคนนี้ นางจะต้องระวังตัวให้มาก แม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ท่านอาจารย์จะต้องไม่ประสงค์ร้ายกับนางอย่างแน่นอน
“เฮ้อ น่าเสียดายเหลือเกิน แต่หมอเทวดาส่วนใหญ่ล้วนชื่นชอบการท่องเที่ยวไปทั่วยุทธภพ พวกเราคงไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกเช่นนั้น วันนี้ขอบพระทัยพระชายายิ่งนักที่ให้บทเรียนกับคนแก่อย่างพวกเรา”