เล่มที่ 11 บทที่ 301 มิสมหวังแม้จะร้องขอ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ใต้เท้าซูเอ่ยชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่แสดงความสามารถให้ชมเท่านั้น ไม่ทราบว่าตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะอ่านชีพจรของฮ่องเต้แล้วหรือไม่?”

หลินเมิ้งหยาร้องขออีกครั้ง ทว่าซูถงกลับไม่รับปากนางเหมือนอย่างที่คิด

เขายังคงแสดงสีหน้าลำบากใจ กุมมือเข้าหากัน ส่งสายตาอึดอัดให้หญิงสาวตรงหน้า

“อ่าน…แน่นอนว่าสามารถอ่านได้พ่ะย่ะค่ะ แต่วันนี้เย็นมากแล้ว หากพระชายายังไม่กลับวัง เกรงว่าเวลาจะคลาดเคลื่อนเอาได้”

หลินเมิ้งหยาแหงนหน้ามอง ตอนนี้ท้องฟ้ากลายเป็นสีขุ่นดั่งไข่มุกแล้ว ดูเหมือนนางจะลืมเรื่องเวลาไปเสียสนิท

ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้ดีว่าซูถงกำลังปฏิเสธทางอ้อม

ชีพจรของฮ่องเต้เป็นสิ่งล้ำค่าที่มิอาจเปิดเผย บางทีอาจถือว่าเป็นความลับของแคว้นเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นนี่จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ยินยอมให้นางได้เห็น

แต่ถึงกระนั้น…นางก็มีวิธี

สักวันหนึ่งนางจะต้องได้อ่านชีพจรของฮ่องเต้อย่างแน่นอน

“จะว่าไปก็ใช่ พวกเราควรกลับกันได้แล้วล่ะป๋ายซู มิทราบว่าพวกท่านชื่นชมเข็มของข้าเสร็จแล้วหรือไม่?”

หลินเมิ้งหยาเรียกคนของตัวเองเพื่อที่จะเดินทางกลับ ขณะเดียวกัน หมอหลวงคนหนึ่งกำลังมองเข็มของหลินเมิ้งหยาด้วยความชื่นชม

“พระชายา ข้าน้อยเองก็เป็นหมอฝังเข็มเช่นเดียวกัน มิทราบว่าข้าน้อยขอยืมเข็มเล่มนี้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

คำพูดนี้เสียมารยาทยิ่งนัก นางขออนุญาตอ่านรายงานชีพจรของฮ่องเต้ แต่พวกเขาปฏิเสธ ทว่าตอนนี้พวกเขากลับคิดจะยืมเข็มของนาง?

หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า ป๋ายซูเดินเข้าไปหยิบเข็มกลับมา หลังจากเช็ดจนสะอาดแล้ว นางจึงใส่กลับลงไปในกล่องเข็ม

“เหตุใดพระชายาจึงหวงแหนเคล็ดลับวิชาเช่นนี้เล่า? วิชาการแพทย์ควรจะได้รับการศึกษาเพื่อพัฒนาต่อยอดมิใช่หรือ? หรือพระชายาคิดจะเก็บวิชาลับเหล่านี้ไว้กับตัวเองชั่วชีวิต?”

ครู่ต่อมา หมอหลวงไว้หนวดไว้เคราเอ่ยวาจาส่อเสียดพร้อมทั้งถลึงตาใส่หลินเมิ้งหยา

ทว่านางกลับทำเพียงเหยียดยิ้มเย็นชา กวาดสายตามองคนเหล่านั้น ดูเหมือนคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกับหมอหลวงเครายาวคนนี้จะมีไม่น้อย

“ได้ ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ เช่นนั้นท่านได้โปรดนำสูตรยาที่ท่านเก็บไว้ใต้กล่องออกมาแบ่งปันทุกคนเถิด”

สำนักหมอหลวงหาใช่สถานที่ดีเด่อันใดไม่ หมอหลวงพวกนี้หยาบคายยิ่งนัก เคล็ดลับวิชาควบคุมเข็มนี้มิต่างอันใดจากสูตรยา มันคือการถ่ายทอดวิชาจากรุ่นสู่รุ่น

คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของคนเหล่านั้นไม่น่ามอง

พวกเขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าหญิงสาวตรงหน้าหาใช่คนที่จะถูกรังแกได้ง่ายๆ

ดังนั้นพวกเขาส่วนใหญ่จึงเริ่มถอนตัว

“เจ้า…ชายาอวี้ ท่านเอ่ยวาจารุนแรงเกินไปแล้ว วิชาการควบคุมเข็มหาใช่วิชาที่ได้รับการยอมรับ ทว่าวิชาแพทย์ล้วนได้รับการยอมรับและส่งต่อคัมภีร์เคล็ดวิชาให้ผู้สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นวิชาควมคุมเข็มกับสูตรยานั้นหาใช่สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบกันได้”

หมอหลวงเครายาวกล่าวอ้าง ซ้ำยังเป็นข้ออ้างที่ทุกคนเห็นว่าสมเหตุสมผล

หลินเมิ้งหยากระตุกยิ้มเย็นยะเยือก ไม่คิดจะใช้เหตุผลคุยกับพวกเขา

“บังเอิญยิ่งนัก คัมภีร์เคล็ดวิชาถูกท่านอาจารย์ของข้าโยนทิ้งไปแล้วหลังจากได้รับมาเพียงสองวัน หากท่านอยากศึกษา เช่นนั้นก็ไปหาความรู้ด้วยตัวเองเถิด หากท่านหาเจอ ก็ถือว่าเป็นของท่านดีหรือไม่?”

จ้องเขม็ง หลินเมิ้งหยามีวาทศิลป์ล้ำเลิศกว่าคนเหล่านี้มาก

ชายกลุ่มนี้จึงพ่ายแพ้ให้แก่หญิงสาวตรงหน้าอย่างราบคาบ

ในเมื่อนางพูดถึงขนาดนี้แล้ว หากเขายังโต้เถียงกลับไป เช่นนั้นหลินเมิ้งหยาคงระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างแน่นอน

ซูถงหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะเข้าไปห้ามคนทั้งคู่

“เจียงข่าย เจ้าพูดไร้สาระไรกันนี่! เหตุใดจึงยังไม่รีบขอโทษพระชายาอีก! ทั้งที่อายุมากขนาดนี้แล้ว แต่เหตุใดจึงยังไม่รู้จักกฎระเบียบ”

หมอเครายาวสกุลเจียงอย่างนั้นหรือ? หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด

ได้ยินมาว่าวิชาการแพทย์ของเจียงเฉิงได้รับการถ่ายทอดมาจากหมอหลวงคนหนึ่ง คงไม่บังเอิญเป็นคนคนนี้หรอกกระมัง

“ขอรับ ใต้เท้า”

แม้เจียงข่ายจะยังรู้สึกไม่ชอบใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ทำได้เพียงกลืนคำพูดลงคอ

จ้องมองหลินเมิ้งหยาซึ่งกำลังถือเข็มจากไป

“น้อมส่งชายาอวี้”

ซูถงยืนโค้งคำนับอยู่ด้านหน้าประตู หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง ก่อนจะพาสาวใช้ของตนเองกลับวัง

ล้วนว่ากันว่าร้อยคนล้านความคิด ฉะนั้นแม้ที่แห่งนี้จะเป็นเพียงสำนักหมอหลวงเล็กๆ แต่หลินเมิ้งหยากลับสังเกตเห็นอะไรหลายอย่าง

หลังจากผ่านเรื่องเมื่อครู่มา เจินจูและหมาหน่าวไม่กล้าแสดงความหยิ่งยโสอีก พวกนางทำเพียงชำเลืองมองและเดินตามหลังเงียบๆ เท่านั้น

เดินกลับมาถึงเรือนเล็ก แม้จะมีบรรยากาศอึมครึมแต่ก็ไร้ซึ่งคนจับตามอง

ถึงกระนั้นนางก็มั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักหมอหลวงวันนี้จะต้องถึงหูฮองเฮาโดยไม่ขาดตกบกพร่องไปแม้แต่คำเดียว

“พวกเจ้าอยู่รับใช้ด้านนอกเถิด เจ้านายของข้าไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่ามภายใน หากพวกเจ้าฉลาดและรู้หน้าที่ เจ้านายของข้าไม่มีวันเอาชีวิตของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”

ป๋ายซูเอ่ยเตือนหญิงสาวทั้งสองเสียงเบา พวกนางรีบหดศีรษะลงราวกับสัตว์ที่กำลังจะถูกตี

“ช่างเถิด พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ หากมีเรื่องอันใด ข้าจะสั่งให้ป๋ายซูไปตามพวกเจ้าเอง”

ด้านนอกอากาศหนาว พวกนางทั้งสองเพิ่งผ่านประสบการณ์หวาดผวามา หากถูกความเย็นเล่นงาน เกรงว่าจะล้มป่วยเอาได้

นางมิได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดคร่าชีวิตคนเล่นเหมือนผักเหมือนปลา

มองตามหลังหญิงสาวทั้งสองที่กำลังเดินกลับไปยังห้องพักของตนเอง หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูกลับเข้าไปในห้องหลัก

ถ่านในเตาฟืนยังคงส่งความอบอุ่น ใส่ถ่านเข้าไปอีกสองสามอัน ไม่นานบรรยากาศภายในห้องก็ยิ่งอบอุ่นมากขึ้น

“นายหญิง ท่านใจดีเกินไป พวกนางทั้งสองเป็นคนที่ฮองเฮาส่งมาจับตามองพวกเรา วันนี้ท่านทำเพียงข่มขู่พวกนางก็เท่านั้น พวกนางโชคดีเกินไปแล้ว”

ป๋ายซูบ่นพึมพำ หลินเมิ้งหยาหันไปมองหญิงสาวที่มักจะแสดงสีหน้าเย็นชาด้วยสายตาประหลาดใจ

“โอ้ เจ้าเด็กคนนี้ ข้าว่าเจ้าต้องซึมซับนิสัยไม่ดีของป๋ายซ่าวมาแล้วแน่ๆ เฮ้อ พวกเจ้าติดตามคุณหนูผู้แสนใจดีอย่างข้ามาตั้งนาน เหตุใดจึงไม่เลียนแบบนิสัยดีๆ เช่นข้ากันนะ? หรือตำหนักหลิวซินของข้าจะมีปีศาจจิ้งจอกอาศัยอยู่กัน?”

หลินเมิ้งหยาเอ่ยเรียกร้องความสนใจ ป๋ายซูรีบหันไปถลึงตาใส่นาง ทว่าบรรยากาศในเวลานี้กลับอบอุ่นกว่าเมื่อครู่หลายเท่าตัว

ยกน้ำชาให้แก่หลินเมิ้งหยา ก่อนจะรับฟังคำพูดของนาง

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร พวกนางทั้งสองเป็นคนที่ถูกส่งมาสอดแนมไม่ผิดแน่ แต่ถึงแม้พวกเราจะไล่พวกนางทั้งสองคนออกไป ทว่าฮองเฮาจะต้องหาวิธีการส่งคนใหม่มาอยู่ดี หากพวกเราเจอคนที่ฉลาดเฉลียวเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าพวกเราอีกจะทำเช่นไรเล่า?”

เพราะเหตุนี้บริเวณรอบๆ เรือนจึงไม่มีใครคอยจับตามอง

การกระทำของนางทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของฮองเฮา

ภายในสำนักหมอหลวงมีแต่คนของฮองเฮาอยู่เต็มไปหมด อาจพูดได้ว่าไม่ว่านางจะทำอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมตกอยู่ในสายตาของฮองเฮาเสมอ

ในเมื่อไม่อาจหลบซ่อนได้ เช่นนั้นเปิดอกและแสดงให้นางเห็นไปเลยดีกว่า ในทางกลับกันนางอาจจะหลงกลและมองไม่ออกว่าตนเองกำลังคิดทำสิ่งใด

“นายหญิงพูดมีเหตุผล ข้าคิดไม่รอบคอบเอง เรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักหมอหลวงวันนี้คงทำให้พวกนางหวาดผวาไม่น้อย”

ป๋ายซูเอ่ยพลางกระหยิ่มยิ้มย่อง นางเองก็เพิ่งจะเคยเห็นวิชาควบคุมเข็มเช่นกัน คิดไม่ถึงเลยว่านายหญิงจะรู้จักวิชาลับเช่นนี้

“เฮ้อ เจ้าคงยังไม่รู้ว่าความซวยกำลังจะมาเยือนเราแล้วต่างหาก คาดว่าต่อจากนี้ไปพวกเขาจะต้องจับตาดูข้าอย่างไม่ละสายตาแน่นอน แต่ว่า…ข้ามีเจ้าอยู่ด้วย ฉะนั้นข้าจึงเบาใจ”

หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเบาๆ วิชาการควบคุมเข็มเป็นสิ่งที่นางได้ร่ำเรียนโดยมิได้ตั้งใจ

ท่านอาจารย์กำชับนางว่าวิชานี้ประหลาดยิ่งนัก ฉะนั้นอย่าเผยให้ใครเห็นได้ง่ายๆ

แต่เมื่อครู่นางกลับเปิดเผยออกไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หมอสกุลเจียงคนนั้นยังจ้องเข็มของนางเขม็ง

ทว่านางเองก็มีแผนในใจเช่นเดียวกัน แม้คนอื่นจะไม่พูดแต่สายตาของพวกเขากลับบอกทุกอย่าง

ในเมื่อนางมีของที่พวกเขาปรารถนาอยากได้ไปครอบครอง เช่นนั้นนางจะพยายามใช้มันให้ดีเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตในวังหลวงอย่างราบรื่น

ช่วงเวลายามค่ำคืนภายในวังหลวงช่างยาวนานยิ่งนัก เพียงฟ้ามืด หลินเมิ้งหยาก็ไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ

เมื่อเทียบกับจวนอวี้ นางมักมีเรื่องให้ต้องทำไม่รู้จบ ทั้งเรื่องอาหารการกินในจวน ทั้งงานใหญ่งานเล็กของกลุ่มสามสหาย

ตำหนักของนางมักมีคนแปลกหน้าเดินผ่านไปมา แต่ละคนล้วนส่งความรู้สึกแตกต่างกันออกไป

ไม่เหมือนกับวังหลวง นางไม่มีอะไรให้ทำ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่อาจออกไปเดินเล่นเพ่นพ่านได้ ซ้ำป๋ายซูที่อยู่เป็นเพื่อนยังไม่ใช่คนพูดเก่งแต่อย่างใด

เวลายามค่ำคืนอันแสนยาวนานช่างน่าเบื่อเหลือเกิน

“วังหลวงช่างน่าเบื่อเหลือเกิน ป๋ายซู เจ้ามาเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนข้าเถิด”

โยนตำราแพทย์ไปอีกฝั่ง นางท่องจำยาที่ใช้ในการรักษาอาการประชวรของฮ่องเต้จนขึ้นใจแล้ว

แต่นางยังไม่ได้เจอพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่รู้ว่าชีพจรของฮ่องเต้เป็นเช่นไร นางเสมือนคนตาบอดที่ต้องคลำหาทางออกเอง

ป๋ายซูเบิกตากว้าง ก่อนจะหันไปมองรอบๆ

อยากเล่นหมากรุก แต่หมากรุกอยู่ที่ใดกันเล่า?

“ดูเจ้าเถิด มนุษย์เราต้องรู้จักหาความสุขในช่วงเวลาอันแสนขมขื่นรู้หรือไม่ เช่นนั้นพวกเราออกไปเก็บหินเล็กๆ ด้วยกันเถิด”

ป๋ายซูผงกศีรษะลง สองนายบ่าวเดินนำหน้าตามหลังกันไปที่สวนเล็ก

การละเล่นสนุกๆ ในตำหนักหลิวซินมีมากมายจนอาจจะติดอันดับหนึ่งในห้าของต้าจิ้นเลยก็ว่าได้ หลินเมิ้งหยามักเป็นผู้นำในการสอนพวกสาวใช้ทำกิจกรรมสนุกๆ เสมอ

นานมากแล้วที่ไม่ได้เล่นหมากรุก หินกรวดมีมากมาย ดูเหมือนจะใช้เล่นได้อีกนานเลย!

ขณะที่คิดจะลุกขึ้นออกจากมุมกำแพงแล้วกลับเข้าไปในเรือน สายตาพลันเหลือบไปเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ที่กำลังยิ้มตาหยีมาให้ตน

“ทำไม…”

ขณะที่กำลังจะร้องอุทานออกมา นางพลันนึกได้ว่ายังมีคนคอยจับตามองนางอยู่อีกสองคน

หันมองซ้ายมองขวา โบกมือ ก่อนจะพาคนที่มีท่าทางลับๆ ล่อๆ เหมือนขโมยเข้าไปในเรือน

“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”

หลินเมิ้งหยามองชายตรงหน้าด้วยความตกตะลึง ตอนกลางวันนางยังรู้สึกหดหู่อยู่เลยที่ไม่เห็นเขาในสำนักหมอหลวง

ชิวอวี้แย้มยิ้ม ก่อนจะวางถุงผ้าลง

“วันนี้เป็นวันที่ข้าต้องเข้าเวรดูแลฮ่องเต้ ฉะนั้นข้าจึงหาโอกาสมาพบเจ้า วันนี้ข้าได้ยินคนส่งข้าวเล่าว่าวันนี้เจ้าแสดงวิชาควบคุมเข็มให้พวกตาเฒ่าหัวโบราณในสำนักหมอหลวงดูจนพวกเขาอึ้งไปตามๆ กัน”

คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะถึงหูชิวอวี้อย่างรวดเร็ว

หลินเมิ้งหยาหัวเราะพลางส่ายหน้า ก่อนจะแนะนำชายคนนี้ให้ป๋ายซูรู้จัก

“ป๋ายซู นี่คือท่านหมอชิวอวี้แห่งสำนักหมอหลวง พวกเราเคยพบกันที่ค่ายทหาร ต่อจากนี้ไปคงต้องพบเจอกันอีกหลายครั้ง เจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี”

ป๋ายซูผงกศีรษะลง ท่าทางยังคงเย็นชาแต่สง่างามเหมือนเดิม