คุกเทียนเหลาหรือคุกหลวงเป็นสถานที่สำคัญของราชวงศ์ เพียงแต่ท่านผู้นำตระกูลเคยบอกเอาไว้ว่าการไปคุกหลวงก็เปรียบเหมือนการไปเดินเที่ยวเล่น แน่นอนว่าท่านผู้นำตระกูลของพวกเขาก็มีความสามารถเช่นนี้เช่นกัน
มู่อีรับคำ “ขอรับ”
เวลานี้ พวกเขามุ่งหน้าไปยังคุกหลวง คนสี่กลุ่มมาเจอกันโดยไม่คาดคิด
กลุ่มแรกเป็นคนของตระกูลมู่
กลุ่มที่สองเป็นคนสนิทของซวนหยวนชิงอวิ๋น การที่เขาเลือกที่จะจัดการอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีอำนาจอยู่ในมือ
กลุ่มที่สามเป็นคนของซวนหยวนหลี่เทียน ถึงแม้ว่าเขาได้รับความช่วยเหลือให้พ้นจากคุกหลวงนี้ แต่เขาก็ไม่อยากเห็นพี่น้องคนอื่น ๆ ต้องถูกซวนหยวนหลี่ซางสังหารไปเสียเฉย ๆ มีเพียงทางเดียวเท่านั้นก็คือร่วมมือกับพี่น้องคนอื่น ๆ ถึงจะจัดการกับซวนหยวนหลี่ซางได้ ลำพังเขาคนเดียวมีหวังไม่เกิดผลเป็นแน่
ส่วนกลุ่มที่สี่ เป็นทหารโครงกระดูกโลหิตจากจวนเยี่ยอ๋อง
ทั้งสี่กลุ่มมีเป้าหมายเดียวกัน หากทหารในคุกหลวงสามารถขัดขวางทั้งสี่กลุ่มนี้ได้ นั่นนับว่าเป็นเรื่องแปลกแล้ว
“ใครบังอาจบุกมาหาราชวงศ์!” ก่อนที่หัวหน้าผู้คุมจะกล่าวจบ เสียงกรีดร้องของเขาก็ดังลั่นขึ้น “อ๊าก!”
— ตูม! ตูม! ตูม! —
การปล้นคุกเป็นไปอย่างราบรื่น เหล่าราชวงศ์ที่มีสีหน้าซีดเซียวเหล่านั้น เมื่อเห็นซวนหยวนหลี่เทียนต่างก็กล่าวอย่างตระหนกตกตื่น “น้องเจ็ด ช่วยข้าด้วย!”
“น้องเจ็ด!”
“ท่านอ๋อง!”
มู่เฉียนซีเดินเข้าไปตรงหน้าซวนหยวนชิงอวิ๋นก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ชิงอวิ๋น ตอนนี้เจ้ามีที่เก็บตัวหรือไม่ ? หากยังไม่มีมาพักที่จวนข้าก่อนก็ได้”
ซวนหยวนหลี่เทียนขมวดคิ้วทันที มู่เฉียนซีนำกำลังคนมามากมายเช่นนี้ก็เพื่อที่จะช่วยพี่สาม หากคนที่โดนขังเป็นเขา นางก็คงจะไม่สนใจใยดี อย่าคิดว่านางจะมาช่วยออกไปเช่นนี้เลย
ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวตอบ “เฉียนซี ข้ามีที่เก็บตัวอยู่ เวลานี้สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน ข้าไม่อยากทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วย”
มู่เฉียนซี “อืม เช่นนั้นข้าไปล่ะ เจ้าระวังตัวเองด้วย”
“ได้”
ทันทีที่มู่เฉียนซีออกมา ทหารโครงกระดูกโลหิตก็ตามนางไปด้วย ทันใดนั้นร่างชุดดำก็ปรากฏขึ้นต่อหน้านาง จิ่วเยี่ยมองใบหน้านางและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “เรื่องของเขา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าจัดการ เจ้าอย่าเข้ามาแทรก”
มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้นว่า “เจ้ารับปากกับชิงอวิ๋นแล้วใช่หรือไม่ว่าจะปกป้องเขา ไม่ให้เขาตาย”
จิ่วเยี่ยพยักหน้าช้า ๆ “ทุกเรื่องที่ข้ารับปาก ข้าทำได้เสมอ เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจว่าเขาจะอยู่หรือจะตาย”
มู่เฉียนซี “ถึงอย่างไรชิงอวิ๋นก็เป็นสหายของข้า การที่เขาโดนจับขังในคุกหลวง ข้าจะทำเป็นเพิกเฉยไม่สนใจไม่ได้” มู่เฉียนซีเงียบไปครู่หนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองจิ่วเยี่ย กล่าวถามเขาว่า “จิ่วเยี่ย ปิ่นปักผมอันนั้นของข้า เจ้าเอาคืนให้ข้าได้หรือไม่ ?”
“นี่เป็นปิ่นปักผมที่ข้าทำขึ้นมาเองกับมือ เจ้าเอาอันเก่ามาแลกกับอันนี้ได้ไหม ?”
มู่เฉียนซีแกะสลักปิ่นปักผมสีดำหมึกนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง ด้านบนเป็นลวดลายของดอกพลับพลึงสีแดงสด ดูเหมาะกับอารมณ์ของจิ่วเยี่ยเป็นอย่างมาก
เมื่อจิ่วเยี่ยได้ยินว่ามู่เฉียนซีเป็นคนทำขึ้นมาเองกับมือ มุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขายื่นมือไปรับปิ่นปักผมจากมือนาง และกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะรับไว้”
มู่เฉียนซี “แล้ว… แล้วของข้าล่ะ ?”
“ไม่ให้”
“เจ้า… เหตุใดเจ้าถึงเป็นเช่นนี้ เจ้ารับปิ่นนี่ไปแล้วก็เอาอันเก่าของข้าคืนมาให้ข้าสิ”
“ไม่คืน”
มู่เฉียนซียื่นมือไปแย่งปิ่นนั้นมา เป็นครั้งแรกที่นางทำท่าทางกระจองอแง “อ๊า! เช่นนั้นเจ้าก็เอาอันนี้กลับมาให้ข้าเลย ข้าไม่ให้เจ้าแล้ว”
ซวนหยวนจิ่วเยี่ยเอียงตัวเบี่ยงไปด้านข้าง ทำให้มู่เฉียนซีที่กระโดดแย่งปิ่นเกือบจะล้มลง แต่ถึงอย่างไรมืออันเรียวยาวของจิ่วเยี่ยว่องไวนัก เขาคว้าเอวของนางเอาไว้ทัน …เอวอันบอบบางถูกจิ่วเยี่ยคว้าเอาไว้ ร่างของนางอยู่ในอ้อมกอด
“ฮืม…”
ฉับพลันทันใดริมฝีปากของเขากดประกบลงบนริมฝีปากของนางจนนางร้องเสียงอู้อี้ออกมา
สตรีผู้นี้ดื้อรั้นยิ่งนัก ให้ของเขาแล้วกลับจะมาทวงของคืนเสียอย่างนั้น ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ?
“อื้อ… อืมมมม…” มู่เฉียนซีพยายามจะผลักจิ่วเยี่ยออก แต่ร่างของจิ่วเยี่ยนั้นแข็งดั่งภูผา ไม่อาจผลักออกได้เลย นางทำได้เพียงยินยอมรับจุมพิตอันป่าเถื่อนเช่นนี้ต่อไป
ทหารโครงกระดูกโลหิตของจิ่วเยี่ยไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่น้อยกับฉากวาบหวามนี้ ทว่าคนที่รู้สึกกลับเป็นมู่อีและพวก พวกเขาเห็นฉากจุมพิตเต็มสองตาทว่าก็ไม่กล้ามองตรง ๆ รีบหันหลังหลบทันทีพลางบ่นพึมพำ “ท่านผู้นำตระกูล ดึก ๆ ดื่น ๆ เช่นนี้มาแสดงความรักกันข้างทางเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ไม่เกรงใจสายตาของพวกเราเลย”
— ตุบ! —
หลังจากที่จิ่วเยี่ยค่อย ๆ ปล่อยมือ มู่เฉียนซีก็ผลักร่างของเขาออกอย่างแรง สีหน้ามู่เฉียนซีแดงก่ำ นางรู้สึกโกรธหน่อย ๆ “จิ่วเยี่ย ท่านอาเล็กของข้ารู้ว่าข้าเอาปิ่นปักผมให้กับคนอื่น ท่านอาโกรธมาก ข้าจึงมีความจำเป็นต้องมาขอคืนจากเจ้าในวันนี้ ตกลงเจ้าจะไม่คืนให้ข้าใช่หรือไม่ ?”
จิ่วเยี่ยกล่าวตอบ “ข้าคืนให้เจ้าได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลา”
มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเจ้าอย่าลืมก็แล้วกัน ถึงเวลาแล้วเจ้าคืนให้ข้าด้วย”
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีเอาไว้ เขากล่าว “เรากลับไปนอนกันเถอะ”
ทหารโครงกระดูกโลหิตกลับไปยังจวนเยี่ยอ๋อง ส่วนเยี่ยอ๋องยังคงวางอำนาจยึดครองพื้นที่ของมู่เฉียนซีเฉกเช่นเดิม เขากอดสตรีผู้ที่ทำหน้ามุ่ยอยู่ในเวลานี้ไปเข้านอน
ในยามรัตติกาล แสงจันทร์กระจ่างสาดส่องลงมากระทบกับใบหน้าที่งดงาม ในเวลานี้ใบหน้าที่เย็นยะเยือกดั่งภูเขาน้ำแข็งนั้น พลันเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่อ่อนโอนและดูนุ่มนวลยิ่งนัก
นับวันเขายิ่งชอบความรู้สึกนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เวลาที่เข้านอนแล้วมีนางอยู่ในอ้อมกอด ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน
อรุณรุ่ง…
เมื่อซวนหยวนหลี่ซางได้ทราบข่าวว่าคุกหลวงถูกปล้น นักโทษที่เขาสั่งขังไว้ส่วนใหญ่ถูกช่วยเหลือนำตัวไป เขาพลันโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก โกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ โกรธจนมือกำแน่นเส้นเลือดปูด โกรธจนต้องไปบุกจวนตระกูลมู่เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงเสียให้รู้แล้วรู้รอด!
“มู่เฉียนซี เป็นเจ้าแน่ ๆ ออกมาเดี๋ยวนี้ เจ้าช่างกล้าอุกอาจบุกเข้ามาปล้นคุกหลวงช่วยพวกนั้นออกมา”
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นอย่างเกียจคร้าน “เสียงดังรบกวนใจข้าเสียจริง พวกเจ้าไปจัดการเสียงนกเสียงกานั่นให้ข้าทีซิ”
“ขอรับ”
— ตูม! ตูม! ตูม! —
ฮ่องเต้ซวนหยวนหลี่ซางกับองค์รักษ์ยอดฝีมือจากราชวงศ์ถูกองครักษ์เงาตระกูลมู่ใช้กำลังไล่ออกไป ซวนหยวนหลี่ซางรู้สึกทั้งโกรธทั้งอับอายขายหน้า เขาเป็นถึงฮ่องเต้แห่งแคว้นจื่อเยี่ย แต่มู่เฉียนซี… นางกล้าที่จะดูหมิ่นเขาอย่างไม่ไว้หน้า
มู่อีกล่าวเตือนว่า “ฝ่าบาท ท่านผู้นำตระกูลบอกว่าอย่ามายุ่งวุ่นวายกับนาง มิเช่นนั้นจะโดนดีไม่น้อยขอรับ”
ซวนหยวนหลี่ซางโกรธจนกระอักเลือดออกมา แม้แต่พวกองครักษ์พวกข้ารับใช้ของนางยังกล้ากล่าววาจากับเขาเช่นนี้ มันน่านัก! แต่ถึงอย่างไรแล้วราชสำนักก็มิอาจต่อกรกับตระกูลมู่ได้ ตระกูลมู่มียอดฝีมือระดับจักรพรรดินับร้อย ส่วนราชสำนักซวนหยวน แม้แต่พลังระดับราชาก็ไม่มี พลังในการต่อสู้ห่างไกลกันมากเกินไป
เมื่อมู่หรูเหยียนได้ทราบข่าวว่าซวนหยวนหลี่ซางไปทำเรื่องอับอายขายหน้าที่จวนตระกูลมู่ก็อดก่นด่าออกมาไม่ได้
“โง่เง่า ไร้ประโยชน์นัก!”
ทันใดนั้นร่างที่งดงามและน่าหลงใหลปรากฏขึ้นตรงหน้ามู่หรูเหยียน “หรูเหยียน ถึงเวลาของเจ้าแล้ว เจ้าลงมือได้”
มู่หรูเหยียนเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวขึ้น “ศิษย์น้อมรับคำสั่งของท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”
……
อรุณรุ่งในวันต่อมา…
ซวนหยวนจือรู้สึกตัวได้สติ ทว่ากลับพบว่าตนถูกโอรสชายซวนหยวนหลี่ซางแย่งชิงบัลลังก์ และได้เตะตนออกจากบัลลังก์แล้ว แม้จะงุนงง ทว่าก็น่าโมโหนัก!
— ปับ! —
ด้วยฝ่าพระบาทของพลังระดับจักรพรรดิที่ถีบเข้าใส่ร่างซวนหยวนหลี่ซางอย่างรุนแรง ซวนหยวนหลี่ซางบาดเจ็บอาการสาหัสทันที เขากล่าวขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง “เสด็จพ่อ…”
ซวนหยวนจือโกรธจัด “เจ้ายังมีหน้ามาเรียกข้าว่าเสด็จพ่ออีกรึ ? เจ้าบังอาจมาลอบเล่นอุบายทำร้ายข้าหวังครองบัลลังก์ ข้าผิดหวังในตัวเจ้า!”
เหล่าบรรดาขุนนางต่างก็ตะลึงระคนงุนงงกันยกใหญ่ มันเกิดอะไรขึ้น ?
ในขณะเดียวกันนั้น ร่างของสตรีชุดขาวค่อย ๆ ย่างเท้าก้าวเข้ามาก่อนจะกล่าวว่า “ท่านขุนนางทั้งหลายยินดีที่จะฟังความจริงจากหรูเหยียนหรือไม่ ? ความจริงแล้วเรื่องมีอยู่ว่า องค์รัชทายาทวางยาพิษฮ่องเต้และบีบบังคับให้ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์เพื่อองค์รัชทายาทจะได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกร…”
เมื่อถูกสตรีผู้เป็นที่รักหักหลัง ซวนหยวนหลี่ซางรู้สึกเจ็บปวดใจเกินจะหาคำใดมาเปรียบ เขากล่าวขึ้น สีหน้าความผิดหวังและเสียใจทาบทาเต็มใบหน้า “หรูเหยียน เหตุใดเจ้าถึงได้หักหลังข้าเช่นนี้ จริง ๆ แล้วเป็นเจ้า… เจ้า…”
มีทั้งหลักฐานและพยานบุคคล อีกทั้งยังมีความจริงที่ปรากฏอย่างชัดแจ้งว่าพลังของซวนหยวนหลี่ซางนั้นมิอาจเทียบกับพลังของซวนหยวนจือได้ การแย่งชิงบัลลังก์มังกรเช่นนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าใครจะเป็นผู้ชนะ
ทว่าหลังจากที่ซวนหยวนจือชนะ เขาก็ได้ประกาศกับเหล่าบรรดาขุนนางอีกครั้งว่า “ในเมื่อข้าได้สละราชบัลลังก์แล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่อยากจะขึ้นเป็นฮ่องเต้อีก แต่ซวนหยวนหลี่ซาง โอรสเลว ๆ ของข้าผู้นี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นฮ่องเต้ ข้าจำเป็นต้องให้คนอื่นขึ้นแทน”
จากนั้น เหล่าขุนนางเริ่มเสนอชื่อ “กระหม่อมคิดว่าองค์ชายสามซวนหยวนชิงอวิ๋นก็ไม่เลวเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมคิดว่าองค์ชายเจ็ดซวนหยวนหลี่เทียน…”
“กระหม่อมคิดว่าองค์ชายสี่…”
ซวนหยวนจือโบกมือพลางกล่าวปัด ๆ “พวกเจ้าไม่ต้องเสนอชื่อผู้ใดแล้ว ข้ามีผู้หนึ่งในใจที่เลือกเอาไว้แล้ว”
เหล่าบรรดาขุนนางต่างถามด้วยความสงสัย “ไม่ทราบว่าผู้หนึ่งในใจของฝ่าบาท เป็นใครกันหรือพ่ะย่ะค่ะ ?”
.