เมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว เจียงหลีจึงอดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้ “แค่ไม่กี่วันก็รอไม่ไหว ตามมาจนได้”
คำพูดของนางทำให้ลู่เจี้ยที่ยืนอยู่ข้างหลังหลุบตาต่ำ มิอาจคาดเดานางจากสายตาได้
น้ำเสียงของเขาเป็นเสียงผู้ชายชัดๆ
แต่เสี่ยวเกอร์เอ๋อร์
หากเรียกกันอย่างสนิทสนมเช่นนี้ จะเรียกชื่อผู้ชายออกมาจากปากผู้ชายอีกคนได้อย่างไร ลู่เจี้ยเกิดความสงสัย เงยหน้ามองมู่ชิงเกออย่างไม่เข้าใจ
เมื่อลำแสงนั้นสลายไป เงาร่างของคนตัวโตและคนตัวเล็กก็ปรากฏยังลานเล็กๆ นี่
ผู้อารักขาของลู่เจี้ยเสียสติไปแล้ว คนลงมาจากบนฟ้าได้อย่างไร ประตูกลายเป็นแค่ของประดับตกแต่งไปแล้วหรือ สิ่งที่ขัดขวางพวกเขาคือบรรยากาศที่แข็งแกร่งเกินจะต้านทาน
ประสาทสัมผัสทั้งห้าของแขกที่ไม่ได้รับเชิญเริ่มชัดเจน
ทั้งสองมีความสวยงามมากจนสามารถบดบังความงามของนายน้อยของพวกเขาได้จึงทำให้ผู้อารักขาตกตะลึง
ซือมั่วมองมู่ชิงเกอด้วยสายตารักใคร่โดยที่คนอื่นไม่ได้สังเกตเห็น
“ท่านแม่!” เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของซือมั่วเมื่อเห็นมู่ชิงเกอเข้าก็พยายามตะเกียกตะกายลงไป อีกทั้งยังยืดแขนออกมาขอกอด
ท่านแม่!
คำเรียกนี้ ทำเอาผู้อารักขาเบิกตาค้าง นัยน์ตาลู่เจี้ยดิ่งลึก หลีเอ๋อร์ของเขา ทำเขาไว้แสบนัก
“พวกเจ้าออกไปให้หมด” จู่ๆ ลู่เจี้ยก็ออกคำสั่ง
เหล่าผู้อารักขาไม่กล้าฝืนคำสั่งจึงรีบออกไปพร้อมกับความสงสัยอย่างหนัก
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ยกมือขึ้นมาถอดต่างหูสีม่วงที่หูข้างซ้ายของตัวเองออก การเปลี่ยนแปลงที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้นในสายตาของลู่เจี้ย
ชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีแดงคนนั้นพลันเปลี่ยนเป็นสตรีรูปงามล่มเมือง
ดวงตาของลู่เจี้ยค่อยๆ เบิกกว้างมองดูฉากนี้อย่างไม่เชื่อสายตา
มู่ชิงเกอเดินไปหาซือมั่วแล้วเอื้อมแขนรับซือมู่ ยังไม่ทันที่มือนางจะสัมผัสโดนตัวซือมู่ก็ถูกมือใหญ่ขัดขวางเอาไว้ “ตอนนี้เจ้ายังอุ้มไม่ได้” กล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิเล็กน้อย
ซือมู่มองตาปริบๆ อย่างน่าสงสารก่อนจะหันไปมองบิดาของตน
มู่ชิงเกอกระตุกมุมปากก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเสียหน่อย”
“เช่นนั้นก็ไม่ได้” ซือมั่วตอบอย่างเอาแต่ใจ
“จิ๊ๆ เสี่ยวซือมู่น่ารักขนาดนี้ มา มาให้ท่านน้าอุ้มหน่อย” เจียงหลีปรากฏตัวข้างมู่ชิงเกอแล้วยื่นแขนออกไปอุ้มซือมู่
“เจียงหลี?” ซือมั่วหันมามองเจียงหลีและหรี่สายตาเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามพลังของซือมั่วได้ปกคลุมหลินชวนเป็นเวลาหลายปี และการสัมผัสใกล้ชิดของเจียงหลีกับเขา ยังคงเป็นเรื่องน่าอายเล็กน้อยในใจของเขา
หลังจากนางแย่งเอาซือมู่ที่กำลังงุนงงไปจากอ้อมแขนของเขาแล้วนางก็รีบถอยห่างออกมาและยิ้มเยาะว่า “ทรงพระเจริญเพคะเทวะราชา”
“ท่านเป็นใคร” ซือมู่มองไปยังหญิงสาวที่ฉุดเขาไป
เจียงหลีกล่าวด้วยความจริงใจ “ข้าคือท่านน้าของเจ้า”
“ว้าว! ข้าอยากกอดพี่สาวคนสวย” ใครจะไปรู้ ก่อนที่นางจะพูดจบดวงตาของเด็กผู้ชายตัวเล็กก็จับจ้องไปที่ร่างของลู่เจี้ยและเขาก็หลุดพ้นจากอ้อมแขนของนางและรีบวิ่งไปที่เขา
ซือมั่วกลับยกมือขึ้นมาใช้พลังดึงดูดให้ซือมู่ที่กำลังวิ่งกลับมา เจียงหลีจึงือดถอนหายใจโล่งอก
นางกลัวจริงๆ ว่าถ้าซือมู่วิ่งเข้าใส่เช่นนี้ร่างกายของหลู่เจี้ยจะทนไม่ได้
“ท่านพ่อปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้าอยากเล่นกับพี่สาวคนสวย” ซือมู่ดิ้นพล่านในอ้อมแขนของซือมั่ว
ลู่เจี้ยที่ถูกเรียกว่า ‘พี่สาวคนสวย’ ถึงสองครั้ง ในตอนนี้เขาไม่สนใจเด็กปีศาจและฉากวุ่นวายนี่อีกแล้ว
สายตาของเขาเอาแต่จ้องมองเจียงหลีด้วยสัมผัสที่อ้อยอิ่งและอ่อนโยน
“ซือมู่ อย่าก่อความวุ่นวาย” มู่ชิงเกอเอ็ดเข้าซือมู่สงบลงทันทีและนั่งยองอย่างเชื่อฟังข้างเท้าท่านพ่อ แต่ด้วยดวงตาโตที่กะพริบปริบๆ ยังคงแอบมองลู่เจี้ย พี่สาวคนสวยคนนี้ โตขึ้นข้าต้องตบแต่งนางเข้าบ้านให้ได้
“หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว กี่ขวบแล้วยังแยกชายหญิงไม่ออก” ราวกับว่าเขารู้ว่าลูกชายของเขากำลังคิดอะไร ซือมั่วมองไปที่แครอทตัวน้อยที่นั่งยองๆ อยู่บนเท้าของเขาอย่างเยาะเย้ย
แคว่ก!
สายฟ้าฟาดลงมาที่หัวใจของซือมู่ ยังไม่ทันได้รักก็อกหักเสียแล้ว
มู่ชิงเกอจิกตามองซือมั่วแวบหนึ่งก่อนจะหันไปมองลู่เจี้ยกับเจียงหลี
ลู่เจี้ยที่โดนสายตานางสนใจจึงเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวไปยืนด้านหลังเจียงหลี ดูเหมือนจะแสดงให้นางเห็นทุกอย่างด้วยการเคลื่อนไหวของเขา
เจียงหลีมองมู่ชิงเกอด้วยสีหน้าซับซ้อนแล้วเผยรอยยิ้มฝืนๆ ออกมา “ต้องไปแล้วหรือ”
“อืม” มู่ชิงเกอพยักหน้า
ขณะเดียวกันซือมั่วก็เอ่ยปากพูด “เจียงหลี ข้ายังไม่เคยขอบคุณเจ้าจริงจังสักครั้ง ขอบคุณที่เจ้าเสียสละทุกสิ่งเพื่อช่วยเสี่ยวเกอเอ๋อร์ในปีนั้น”
เจียงหลีคลี่ยิ้ม “ที่ข้าทำไปทั้งหมดเพียงเพราะคนนั้นคือมู่ชิงเกอ ฉะนั้นไม่ต้องขอบคุณ”
ซือมั่วพยักหน้าอย่างชื่นชมทิ้งช่วงเวลาสุดท้ายไว้ให้กับมิตรภาพของทั้งคู่ที่แยกจากกันมาเนิ่นนาน
“ลู่เจี้ย” จู่ๆ มูชิงเกอก็เอ่ยเรียกลู่เจี้ย
ลู่เจี้ยมองนางรอนางพูดคำต่อไป
“ข้ามาเพื่อหาเจียงหลี ตามหามาหลายปี ไม่รู้ว่าตามหามากี่โลกแล้ว ก่อนที่ข้าจะตามหานางเจอ ตอนแรกข้าคิดจะพานางกลับไปด้วย แต่ทว่า เมื่อข้าตามหานางเจอแล้ว นางกลับปฏิเสธที่จะตามข้ากลับไป…”
ลู่เจี้ยสะท้านใจมองเจียงหลีด้วยสีหน้าสับสน
เจียงหลีรู้สึกเขินอายเล็กน้อย นางไม่คิดว่ามู่ชิงเกอจู่ๆ จะพูดเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดวงตาที่ร้อนแรงของลู่เจี้ยมองไปนาง ทันใดนั้นนางรู้สึกวูบวาบเล็กน้อย
“ดูแลดีๆ” ในที่สุดมู่ชิงเกอเอ่ยคำสั่งออกมาสี่คำ
“ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้นางได้สิ่งที่ดีที่สุด” ลู่เจี้ยคำมั่นสัญญา
“ข้าหวังว่าเจ้าจะจำสิ่งที่เจ้าพูดได้ไม่ว่าจะเป็นยามใด” มู่ชิงเกอพึมพำด้วยสีหน้าหลากอารมณ์
“ชิงเกอ ขอบคุณที่เจ้ามาหาข้า” เจียงหลีกล่าว
มู่ชิงเกอหัวเราะ “พูดอะไรโง่ๆ ฮะ ไม่ใช่แค่สำหรับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเพื่อตัวข้าเองด้วย ข้าไปล่ะ ดูแลตัวเองด้วย”
“อืม วางใจเถอะ” เจียงหลีพยักหน้าหนักแน่น
มู่ชิงเกอค่อยๆ ก้าวถอยหลังและยืนข้างซือมั่ว นางมองไปที่เจียงหลี “จำสิ่งที่ข้าพูดให้ดี ข้ากำลังรอเจ้าอยู่ที่โลกหลัก!”
“ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ารอนาน!” เจียงหลีพูดอย่างมั่นใจ
มู่ชิงเกอพยักหน้า หายตัวไปในม่านแสงพร้อมซือมั่วและลูกชาย
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมองไปที่ลำแสงที่ถูกยิงขึ้นไปในอากาศและพึมพำ “ชิงเกอมาแล้วและก็จากไปแล้ว นางพรากเอาโซ่ตรวนเส้นสุดท้ายในโลกใบนั้นของข้าจากไปด้วย”
ลู่เจี้ยจ้องมองนาง ทันใดนั้นก็เหยียดแขนยาวกอดนางไว้ในอ้อมแขน
เหนือเมฆมู่ชิงเกอจ้องมองลงไปที่เมืองที่กลายเป็นจุดสีดำอย่างเงียบๆ ไม่พูดสิ่งใด
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ คลายปมในใจได้แล้วหรือยัง” ซือมั่วเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอพยักหน้าช้าๆ “ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ข้าก็สบายใจ โลกใบนี้เป็นของนาง นางได้เดินทางของนางเองในโลกใบนี้ หลอมรวมเป็นโพธิจิตของนาง”
ทันใดนั้นแสงสีทองนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหามู่ชิงเกอจากพื้นและทะลุเข้าไปในร่างของนาง
ซือมั่วเห็นจึงถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าลบความทรงจำของคนที่เคยเห็นเจ้าใช่หรือไม่”
“อืม” มู่ชิงเกอยอมรับ “นอกจากเจียงหลีกับลู่เจี้ยแล้ว จะไม่มีใครบนโลกใบนี้จำข้าได้ เรื่องของข้าจบแล้วก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของเจียงหลี วันหนึ่งผู้คนในโลกนี้จะถูกปกคลุมไปด้วยปัญญาอันเลิศล้ำของเจียงหลีส่วนภารกิจของข้าได้เสร็จสิ้นแล้ว”
“เช่นนั้นเรากลับโลกหลักกันเถอะ”
“ตกลง!”
……………….