พอถึงเวลานั้น เจ้าของร่างตัวจริงจะมีความรู้สึกต่อเจียงหลีหรือไม่ ใครก็มิอาจรู้ได้
ถึงจะไม่กลับคืนร่างเดิม วิญญาณที่ไม่สมบูรณ์เช่นนี้คงไปเกิดใหม่ต่อไป เกิดใหม่แล้วก็จำเจียงหลีไม่ได้เช่นกัน
ถ้าเช่นนั้น เจียงหลียังจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไปหรือไม่
คำถามนี้ทำให้มู่ชิงเกอหนักใจ
“ชิงเกอ เจ้ายังมีเวลาอีกเท่าไหร่” จู่ๆ เจียงหลีก็เอ่ยถาม
มู่ชิงเกอนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้อง เขาขอร้องข้าอยู่เรื่องหนึ่ง”
เจียงหลียิ้มขมขื่น
คนฉลาดเยี่ยงนางทำไมถึงจะเดาไม่ออกว่ามู่ชิงเกอต้องการสื่อถึงสิ่งใด นางเอ่ยอย่างประนีประนอม “ช่างเถอะ ในเมื่อเขาไม่อยากให้เจ้าบอกข้า ข้าก็จะไม่ถามก็แล้วกัน”
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องวิญญาณหลักของเขา เจ้าได้บอกเขาหรือเปล่า” เจียงหลีถามต่อ
มู่ชิงเกอส่ายหน้า “เรื่องที่เขากลับชาติมาเกิด เขาจะรู้หรือไม่ก็มิสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ก็เลยไม่จำเป็นต้องบอก”
เจียงหลีพยักหน้า “ก็จริง ทุกวันนี้เขามีเรื่องกังวลใจมากพอแล้ว ไม่อยากเพิ่มภาระให้เขาอีก”
มู่ชิงเกอหันไปมองนางรอยยิ้มพลันหายไป “คิดไม่ถึงราชินีเจียงผู้บ้าดีเดือดจะคลั่งรักเพียงนี้”
เจียงหลีกลอกตาขาวมองนาง “ขนาดคนไร้อารมณ์อย่างเจ้ายังเป็นแม่คน แล้วทำไมข้าจะคลั่งรักบ้างไม่ได้เล่า”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้มู่ชิงเกอก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
แต่ทว่า พอคิดถึงเรื่องของเจียงหลี นางยังคงกังวลใจอยู่มากโข “เจียงหลี ก่อนที่ข้าจะไป เจ้ายังสามารถพิจารณาให้จริงจังอีกที จะไปพร้อมกับข้าหรือไม่”
เรื่องเก่าถูกขุดขึ้นมาอีกครั้งทำเอาเจียงหลีถึงกับนิ่งอึ้ง
แต่ไหนแต่ไรมู่ชิงเกอไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิก ในเมื่อก่อนหน้านี้เคยถามนางแล้วและนางก็ปฏิเสธไป นางก็จะไม่ถามอีก
แต่เรื่องราวกลับตาลปัตร!
“ชิงเกอ เจ้ามีเรื่องที่กำลังปิดข้าอยู่ใช่ไหม” เจียงหลีตื๊อถาม
มู่ชิงเกอคลี่ยิ้ม “เปล่า ข้าแค่ไม่อยากทิ้งเจ้าไว้คนเดียวที่นี่”
“ให้มันน้อยๆ หน่อย” เจียงหลีเชิดจมูกรั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
มู่ชิงเกอขบคิดครู่หนึ่งแล้วลองโยนหินถามทาง “ในเมื่อชะตาชีวิตของเขามิอาจแก้ไขได้ เจ้ายังอยากอยู่ที่นี่อีกไหม”
“ข้าบอกแล้วไง หากเขากลับชาติมาเกิดใหม่ ข้าก็จะรอเขากลับมาเกิด ต่อให้เขาลืมข้าจนหมดสิ้น ข้าก็จะทำให้เขากลับมารักข้าใหม่อีกครั้ง” เจียงหลีตอบอย่างมั่นใจในตนเอง
“หากเขากลับชาติมาเกิด เกรงว่ามันยากที่จะรอดพ้นจากความตายก่อนวัยอันควรเหมือนกัน” มู่ชิงเกอเอ่ยเตือนสติ
“เช่นนั้นข้าก็จะติดตามเขาไปทุกภพทุกชาติและข้าก็จะทำให้ทุกภพทุกชาติของเขามีข้าเป็นสตรีหนึ่งเดียวเท่านั้น” เจียงหลีประกาศิตลั่น
“…” มู่ชิงเกอถึงกับพูดไม่ออก
นางรู้ว่าเจียงหลีมีหัวใจเด็ดขาด อย่างอื่นไม่ต้องเอ่ยถึง
จู่ๆ นางก็ระเบิดเสียงหัวเราะนึกตำหนิในใจ เราสองคนช่างเหมือนกันจริงๆ หากปักใจรักใครแล้วต่อให้แผ้วพานอุปสรรคก็ต้องเดินไปเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา
โชคดีตอนที่นางได้พบกับซือมั่ว ด้วยความแข็งแกร่งของเขาจึงหนีพ้นการแยกจากความเป็นความตายมาได้จนวันนี้ แต่ทว่า สิ่งที่น่าเสียใจเช่นกันก็คือนางไม่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขยามที่ซือมั้สต้องการคนเคียงข้างมากที่สุดในชีวิต เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวนับหมื่นปี มิฉะนั้นเขาจะผ่านการนองเลือดและขวากหนามมาได้เยี่ยงไร ซึ่งนางไม่มีวันเข้าอกเข้าใจแทนเขาได้
มู่ชิงเกอมองเจียงหลีด้วยความนึกอิจฉาเล็กน้อย เจียงหลีซื่อตรงต่อความรู้สึกซึ่งเป็นสิ่งที่นางขาด พอคิดถึงเรื่องในอดีต นางรู้ใจตัวเองช้าไปหากซือมั่วไม่อดทนรอล่ะก็ เกรงว่า…
“เจียงหลี เจ้าเอาจูเสียออกมาสิ” มู่ชิงเกอเก็บซ่อนอารมณ์ก่อนจะเอ่ยขึ้นกับเจียงหลี
“หืม?” เจียงหลีมองนางอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ยังถอดกำไลออกจากมือแล้วโยนให้นาง
มู่ชิงเกอยื่นมือรับ กำไลในมือนางก็กลายร่างเป็นอาวุธวิเศษ
นางจดจ้องจูเสียก่อนจะเอ่ยขึ้น “จูเสียถูกสร้างขึ้นตามกฎของโลกใบนั้น หากนำมาใช้ในโลกนี้ไม่เท่าไหร่ก็อาจไม่คล่องมือได้ เจ็ดวันนี้อยู่เป็นเพื่อนเจ้าร่วมการทดสอบ ข้าก็เลยพอจะเข้าใจกฎของโลกใบนี้มากขึ้น ซึ่งใช้กับจูเสียนี่พอดี”
“เจ้าจะแปลงร่างจูเสียหรือ” เจียงหลีถามด้วยความตกตะลึง
มู่ชิงเกอพยักหน้า “เจ้ารอที่นี่ครู่หนึ่ง” เมื่อกล่าวจบก็หันหลังหายตัวไปจากที่เดิมเข้าไปยังโลกของตัวเอง
เดิมทีนางสามารถพาเจียงหลีเข้ามาในโลกของนางได้ แต่การหลอมอาวุธหากเจียงหลีรอข้างในก็ลำบากอีก ไม่สู้อยู่ข้างนอกรอเสียยังดีกว่า ภายใต้สถานการณ์หมุนเวียนเวลาที่ไม่สอดคล้องกัน เจียงหลีก็จะได้ไม่ต้องรอนานเกินไป
ในขณะที่เจียงหลีร่ำสุรายังไม่หมดไห มู่ชิงเกอก็ออกมาปรากฏตัวหน้านางอีกครั้ง มีลำแสงลอยออกมาจากมือของนางพุ่งมาทางเจียงหลี
เจียงหลีรับเอาไว้ กำไลที่สวยงามกว่าเดิมจึงมาอยู่ในมือของนาง
“หยดเลือด” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว
เจียงหลีกะพริบตาปริบๆ
“ร่างกายก่อนหน้าของเจ้าถูกทำลายและสายเลือดก็ไม่อยู่ จูเสียยังสามารถติดตามเจ้าได้โดยอาศัยการดึงสติ นอกจากนี้ยังเป็นเพราะไม่มีเลือดใหม่มาติด ดังนั้นจูเสียจะตกอยู่ในสภาพการหลับใหลยาวนาน” มู่ชิง
เกออธิบายให้เข้าใจ
ทันใดนั้นเจียงหลีก็ตระหนักได้ทันทีจึงเฉือนปลายนิ้วของนางหยดเลือดลงในกำไล
โลหิตถูกกำไลดูดกลืนกลายเป็นแสงแล้วปรากฏเป็นกระบี่อยู่ในมือของนาง พริบตาเดียวกระบี่ยาวก็กลายเป็นแส้อ่อนนุ่ม พริบตาอีกครั้งจากแส้อ่อนนุ่มก็กลายเป็นหอกยาว
หอกยาวนี้เหมือนกับจูเสียอันเดิมมาก ความแตกต่างที่มากที่สุดก็คือด้ามจับที่ยาวขึ้น
“นี่มัน” เจียงหลีตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“ต่อไปจูเสียจะติดตามเจ้ายามต้องการ มันจะกลายร่างสามแบบไม่ซ้ำกัน แต่ข้าปิดผนึกพลังของมันเอาไว้ส่วนหนึ่ง ต้องให้เจ้าแข็งแกร่งกว่านี้ถึงจะเปิดผนึกได้” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้น
เจียงหลีกระตุกมุมปาก “เจ้าหลอกข้าหรือเปล่า”
“มันช่วยประหยัดแรงเจ้าตอนเจ้าขี้เกียจฝึกฝน” มู่ชิงเกอให้คำอธิบายที่นางไม่สามารถเถียงได้
“ข้าไม่เกรงใจล่ะนะ” เจียงหลียิ้มร่า จูเสียกลายร่างเป็นกำไลสวมใส่ข้อมือของนางและซ่อนไว้ไม่ให้เห็น
มู่ชิงเกอครุ่นคิดก่อนเอ่ยถาม “เจ้าอยากเอายาอายุวัฒนะไหม”
เจียงหลีส่ายหน้าปฏิเสธ “ในเมื่อกฎของแต่ละโลกต่างกัน ข้ามีจูเสียก็ดีอยู่แล้ว อย่างอื่นคงไม่ต้องหรอก เพื่อที่จะฝ่าโลกนี้ออกไป สิ่งที่ข้าต้องเข้าใจก็คือกฎของโลกนี้”
คำตอบของนางทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกโล่งใจ “ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้ากลับไป คนอยู่ที่นี่แต่ใจกลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
“พาข้าไปหาลู่เจี้ย” เจียงหลีบอกกันโต้งๆ
มู่ชิงเกอพยักหน้า
ทั้งสองออกจากบนเขาแล้สมาปรากฏตัวอีกครั้งในจวนของลู่เจี้ย
และชายรูปงามคนนี้กำลังยืนอยู่ใต้ชายคาในชุดขนสัตว์ เมื่อเห็นเจียงหลีดวงตาของเขาที่เคยปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหิมะก็เริ่มละลาย
“ลู่เจี้ย! อากาศหนาวขนาดนี้เจ้าออกมาได้อย่างไร” เจียงหลีวิ่งเข้าหาอย่างปวดใจ
“องค์หญิง ตั้งแต่ที่พระองค์ออกไป นายน้อยก็มายืนเฝ้ารออยู่ตรงนี้ ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง” ยังไม่ทันที่ลู่เจี้ยได้เอ่ยตอบ ผู้อารักขาคนหนึ่งก็ตอบเสียงเบาเสียก่อน
ทันใดนั้นแรงกดดันอันทรงพลังก็เข้ามาทำให้ผู้คนในจวนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า กระแสแสงตกลงมาจากท้องฟ้าและตกลงมาที่กลางลาน
ร่างยังมิทันปรากฏ น้ำเสียงไพเราะกังวานก็ดังขึ้น “เสี่ยวเกอเอ๋อร์พวกเราต้องไปกันแล้ว”
……………