บทที่ 83 มิตรภาพ
บทที่ 83 มิตรภาพ

ฟ้าดินสั่นสะเทือน ฝุ่นดินฟุ้งกระจายไปในอากาศ หลังจากผ่านไปสักระยะจึงกลับคืนสู่ความสงบ

เหลือไว้เพียงความเงียบสงัด!

ความเงียบที่ไม่ชอบกลปกคลุมโดยรอบ เหลือเพียงสายลมส่งเสียงหวีดหวิวยามที่มันพัดผ่าน

สายตาทุกคู่ของเหล่าอสูรจับจ้องไปยังร่างที่สวมเสื้อคลุมเปื้อนเลือดที่ยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ พวกมันไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น พวกมันรู้สึกสับสน ดังนั้นจึงทำได้เพียงอ้าปากค้างและไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมา

แววตาของพวกมันเต็มไปด้วยความตกตะลึงและประหลาดใจ

ฟู่!

ไม่รู้ว่าเป็นอสูรตนใดที่แค่นหายใจ แต่เสียงที่แผ่วเบาในตอนนี้กลับเสียดหูท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง

“คนผู้นี้มิใช่มนุษย์ธรรมดา!”

“ทั้งยังสามารถโต้กลับในยามจนตรอก?”

“คุณพระ! เต๋าแห่งสายน้ำของท่านราชาถูกเขาทำลายจริง ๆ!”

เหล่าอสูรต่างตกอยู่ในความโกลาหล เสียงร้องด้วยความประหลาดใจดังขึ้นและเงียบลงรวดเร็วอย่างน่าประหลาด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกมันทั้งตกตะลึงและความรู้สึกอันหลากหลายอย่างอธิบายไม่ถูกได้บังเกิดขึ้นพร้อมกัน

“เขาบรรลุเต๋าแห่งสายลมได้อย่างถ่องแท้ยามตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้หนทาง พรสวรรค์ในระดับนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก…” ราชาจิ้งจอกเก้าหางอุทาน

“น่าสะพรึงกลัวหรือ? แต่ข้ากลับรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องปกติที่เขาควรจะเป็นเช่นนี้” ราชาเต่าเฒ่าเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัยราวกับความสำเร็จเช่นนี้มันเป็นเรื่องปกติที่เฉินซีจะต้องทำได้อยู่แล้ว

ฟุ่บ!

ทันใดนั้น มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันผู้นั้นคือราชาอีกาทมิฬ ในเวลานี้ ใบหน้าของมันซีดเผือด ร่างกายโซเซไปมา และสุดท้ายมันก็ไม่อาจอดกลั้นและกระอักเลือดออกเต็มปาก

“เพราะเหตุใด! เพราะเหตุใดกัน!” ขณะที่มันจดจ้องไปยังร่างสูงซึ่งอยู่ห่างออกไป ดวงตาของราชาอีกาทมิฬเบิกโพลงราวกับพบเห็นภูตผีที่น่าสยดสยอง

การโจมตีของเฉินซีครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำลายเต๋าแห่งสายน้ำ แต่ทำให้ราชาอีกาทมิฬได้รับบาดเจ็บสาหัส หากไม่ใช่เพราะว่ามันหลบเลี่ยงได้ทันก็คงต้องเสียชีวิตลง ถึงกระนั้นตัวมันก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะสู้อีกต่อไป

ข้าต้องรีบหนี!

เด็กผู้นี้มันผิดปกติเกินไป! สามารถบรรลุเต๋าแห่งสายลมได้ในชั่วพริบตา! เต๋าแห่งสายลมเป็นหนึ่งในมหาเต๋าแห่งสวรรค์และโลก ขณะที่เต๋าแห่งสายน้ำเป็นเต๋ารองแห่งธาตุน้ำ ด้วยเหตุนี้เองจึงเหมือนหิ่งห้อยที่ประชันแสงกับดวงจันทร์ทำให้ไม่อาจต้านทานได้! หากข้ายังคงดื้อรั้นต่อสู้ไป อาจจะต้องถูกฆ่าตาย…

ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวของราชาอีกาทมิฬอย่างรวดเร็ว และในทันทีมันได้ตัดสินใจที่จะหลบหนี

เจ้าคิดหนีหรือ? เฉินซีมองอย่างเหยียดหยามพลันควบคุมกระบี่บินด้วยจิต

ฟิ้ววว!

กระบี่ท่องปรภพกรีดผ่านท้องฟ้ารวดเร็วประหนึ่งอัสนี ราชาอีกาทมิฬไม่ทันได้หลบก็ถูกแทงทะลุด้านหลังศีรษะอย่างแม่นยำเฉียบขาด

ปุ!

เลือดพวยพุ่งออกราวกับน้ำพุ ราชาอีกาทมิฬไม่ทันจะแผดร้องโหยหวนก็ขาดใจตายร่วงหล่นลงจากอากาศ

ฟิ้ว!

หลังจากที่ลงมือ เฉินซีก็ไม่ได้สนใจศพของราชาอีกาทมิฬ เขารีบหันหลังกลับและบินทะยานกลับไปยังหุบเขาจันทราโหยหวนในทันที

ไม่มีอสูรตนใดกล้าขัดขวางเขา เพราะในตอนนี้ในใจอสูรทุกตน ชายหนุ่มเปรียบดั่งเทพเจ้าแห่งความตาย! เป็นผู้บ่มเพาะมนุษย์ที่สามารถสังหารราชาอีกาทมิฬด้วยกระบี่เพียงครั้งเดียว

ภายในหุบเขา

“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดภายนอกถึงไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว? เฉินซียังปลอดภัยดีหรือไม่?” ต้วนมู่เจ๋อรู้สึกกังวล ก่อนหน้านี้ กระแสลมอันน่าสะพรึงกลัวได้โหมกระหน่ำแทบจะบดขยี้ใจกลางภูเขาจนพังทลาย ทว่าตอนนี้กลับไม่มีสุ้มเสียงใด ๆ จากภายนอก และมันก็เงียบสงัดอย่างน่าประหลาด

ตู้ชิงซีและซ่งหลินต่างก็สับสนและวิตกกังวลเช่นเดียวกัน

“จบสิ้นแล้ว… เฉินซีตายแล้ว พวกเราจะถูกกลั่นเป็นโอสถ ถ้าเขารู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เขาควรจะปลดพันธนาการของพวกเราก่อนแล้วค่อยไปสู้กับราชาอีกาทมิฬ แต่ตอนนี้ความหวังของพวกเราถูกทำลาย โอกาสหลบหนีหายสิ้นไปหมดแล้ว!” มู่หลงเว่ยรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง นางคร่ำครวญราวกับเพิ่งสูญเสียพ่อแม่

“หุบปากซะ!” ต้วนมู่เจ๋อตวาดออกไป

“ช่างไร้ยางอาย!” ซ่งหลินกล่าวอย่างเหยียดหยาม

ภายในคุกเกิดการโต้เถียงอย่างดุเดือด เนื่องจากพวกเขาไม่ทราบผลของการต่อสู้ ความเศร้าโศกและความโกรธเกรี้ยวในใจของผู้คนถึงจุดที่ไม่อาจยับยั้งและระเบิดออกมาจนหมดสิ้น

ในเวลานี้เองที่เสียงฝีเท้าได้ดังขึ้น ทำให้เสียงโต้เถียงที่เกิดขึ้นภายในห้องกริบไปในทันทีจนกลายเป็นความเงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเท่านั้นที่ยังคงดังก้องกังวาน

“จบสิ้นแล้ว เลือดและวิญญาณของเราจะต้องถูกสกัดออกไป!” มู่หลงเว่ยหลับตาปี๋ สีหน้าของนางหวาดกลัวสุดขีด

ในใจของคนอื่น ๆ รวมถึงกลุ่มของตู้ชิงซีต่างรู้สึกตื่นตระหนก เมื่อฝีเท้าก้าวใกล้เข้ามา หัวใจของพวกเขาเต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดเต้นแรงมากราวกับกลองศึกถูกลั่น

เงาร่างหนึ่งมาถึงหน้าประตู

ร่างนั้นมีผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้าชุ่มไปด้วยเลือดและมีกลิ่นคาวฉุนทว่าแผ่นหลังของเขายังตั้งตรงราวกับหอก สีหน้าสงบนิ่งราวกับไม่แยแสต่อโลกหล้า กลิ่นอายที่เงียบสงบของเขาได้ชำระล้างบรรยากาศที่กดดันภายในคุกออกไปหมดสิ้น ทำให้อารมณ์ที่ไม่อาจควบคุมของผู้คนกลับคืนสู่ปกติ

“เฉินซี!”

“เจ้า… เจ้ายังไม่ตายจริง ๆ หรือ!?”

“นี่มันเรื่องจริงหรือ!?”

เมื่อเหล่าคนในคุกเห็นหน้าตาของบุคคลปริศนาอย่างชัดเจน ตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อ และซ่งหลินต่างก็ตกตะลึงจนไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง พวกเขาจึงอุทานออกด้วยความประหลาดใจ อารมณ์ของพวกเขาตื่นเต้นอย่างสุดขีด

เมื่อเฉินซีเห็นการแสดงออกจากใจจริงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีและตื่นเต้นจากพวกเขาทั้งสามคน ชายหนุ่มก็หัวเราะเบา ๆ จากนั้นจึงใช้กระบี่ไผ่ทองคำนิลตัดโซ่บนเสาเหล็กขาดเป็นชิ้น ๆ ก่อนที่จะช่วยตู่ชิงซีและคนอื่น ๆ ทีละคน

เนื่องจากปราณแท้ของกลุ่มคนที่ถูกคุมขังถูกผนึกเอาไว้ในขณะถูกคุมขังอยู่ที่นี่ ร่างกายของพวกเขาจึงอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง เมื่อถูกปลดปล่อยจากพันธนการ พวกเขาก็แทบจะล้มลงกับพื้นในทันที

“เจ้า… เจ้าคงไม่ได้ฆ่าราชาอีกาทมิฬไปแล้วใช่ไหม?” ฉางปินที่อยู่ห่างออกไป ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่อยากยอมรับความจริง

“คำถามนี้สำคัญหรือ? ตอนนี้พวกเราได้รับการช่วยเหลือแล้ว เมื่อกลับไปที่เมืองทะเลสาบมังกร ข้าจะเตรียมของขวัญมากมายมอบให้แก่เฉินซี ข้าไม่อาจปล่อยให้ทุกสิ่งที่เขาทำต้องเปล่าประโยชน์ ผู้ที่ทำความดีควรได้รับรางวัลตอบแทน จริงไหม?” หลังจากที่มู่หลงเว่ยยืดกล้ามเนื้อ นางก็กลับคืนสู่ท่าทางเดิมที่เคยมี แต่คำพูดที่นางกล่าวราวกับผู้สูงศักดิ์ให้ทานแก่ผู้ยากไร้ ดูเหมือนความเย่อหยิ่งเช่นนี้คงถูกฝังลึกอยู่ในกระดูกดำของนาง

เฉินซีไม่ได้สนใจคนทั้งสองและมองไปที่กลุ่มของตู้ชิงซี เขาพยักหน้ารับและกล่าวว่า “ราชาอีกาทมิฬตายแล้ว แต่ราชาอสรพิษอินทนิลน่าจะยังอยู่ใกล้เคียง ดังนั้นพวกเราควรรีบไปจากที่นี่”

ทว่า มีสิ่งหนึ่งที่เฉินซีไม่ได้กล่าวถึง หลังจากที่เขาใช้กระบวนท่ากระบี่ครั้งสุดท้าย ปราณแท้ภายในร่างได้เหือดแห้งไปหมดสิ้น ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล เขาเป็นดั่งลูกศรที่พุ่งไปสุดแรงแล้วปักลงดิน อาศัยแรงใจอันมุ่งมั่นเพื่อยืนหยัดเท่านั้น ถ้าหากมีการต่อสู้เกิดขึ้นอีก เขาคงไม่อาจทำอะไรได้

“ช้าก่อน” ตู้ชิงซีมาถึงด้านข้างของเฉินซี แล้วกระซิบที่ใบหูว่า “ข้าขอยืมกระบี่ในมือเจ้าหน่อย”

เฉินซีรู้สึกสับสนในทันที

ในขณะที่เขาสับสน ตู้ชิงซีได้แย่งกระบี่ไผ่ทองคำนิลจากมือเขาอย่างเป็นธรรมชาติ

“เอ๊ะ ท่านพี่ชิงซี ท่านเอากระบี่ไปทำอะไร?” มู่หลงเว่ยเอ่ยถามอย่างสงสัย

ฉัวะ!

ทันทีที่นางกล่าว ตู้ชิงซีก็ฟันกระบี่ไผ่ทองคำนิลไปยังลำคอของนางอย่างเฉียบขาด เลือดสด ๆ พุ่งทะลักออกมามากมาย ดวงตาของนางเบิกโพลงราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า จากนั้นร่างของนางก็ได้ล้มลงกับพื้นและชักกระตุกอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะแน่นิ่งไป

หลังจากที่ตู้ชิงซีเชือดคอของมู่หลงเว่ย นางก็ไม่ได้แยแสอีก กระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือของนางยังไม่ได้ลดความเร็วลงขณะที่แทงไปยังฉางปิน

“เจ้ากล้าดีอย่างไร!?” ฉางปินสังเกตเห็นบางสิ่งผิดปกติ เมื่อเขาเห็นตู้ชิงซีลงมือจึงรีบล่าถอยในทันที แต่ปราณแท้ของเขาถูกปิดผนึกไว้นาน ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแรง ความเร็วในการล่าถอยจึงเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง

ต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลินที่อยู่ด้านข้างเหมือนจะเข้าใจโดยปริยาย จึงรีบเคลื่อนตัวจากทางซ้ายและทางขวาเพื่อประกบฉางปินดั่งก้ามปู ปิดกั้นเส้นทางล่าถอยได้อย่างสมบูรณ์

“พวกเจ้า…”

ฉัวะ!

เสียงเงียบลงในทันที ฉางปินกุมคอตัวเองล้มลงกับพื้นและเสียชีวิตไป ดวงตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ตู้ชิงซีอย่างเคียดแค้น ดูเหมือนจะไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าหญิงสาวที่เย็นชาและเงียบขรึมอยู่เสมอจะกลายเป็นคนโหดเหี้ยมไร้ความปรานีเช่นนี้

ตู้ชิงซีฆ่ามู่หลงเว่ยและฉางปินติดต่อกันด้วยการตวัดฟันเพียงสองครั้ง สะกดให้อีกสามคนที่เหลืออยู่ในความหวาดผวา สามคนนี้ก็ติดตามซูเจียวเข้าสู่ดินแดนนรกร้างใต้พิภพเช่นกัน อันที่จริง ต้องถือว่าพวกเขาเป็นศัตรูกันด้วยซ้ำ ในตอนนี้ พวกเขาต่างกังวลว่าจะถูกตู้ชิงซีลงมือฆ่าคนปิดปาก

“เซวี่ยจิง โม่หาน ตี้หงถู่ วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า จงกลับไปบอกซูเจียว ตระกูลของมู่หลงเว่ยและฉางปินว่าเป็นข้าที่เป็นคนฆ่าพวกมัน ถ้าหากพวกมันต้องการแก้แค้นก็จงมาหาข้า!” ตู้ชิงซีจ้องมองทั้งสามอย่างเย็นชาขณะที่นางกล่าวทีละคำ น้ำเสียงของนางเยือกเย็น ชัดเจน และทรงพลัง

“นับข้าเข้าไปด้วย”

“ข้าก็เช่นกัน”

ต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลินได้กล่าวอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นจึงยิ้มให้แก่กัน

เฉินซีตกตะลึง เขามองทั้งสามอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ขอบคุณ”

เขารู้ดีว่าเพราะเหตุใดพวกตู้ชิงซีถึงทำเยี่ยงนี้ เป็นเพราะพวกเขาต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองกับเฉินซี และต้องการใช้การกระทำที่แน่วแน่เช่นนี้แบ่งเบาแรงกดดันจากขุมพลังที่อยู่เบื้องหลังของคนเหล่านั้นที่จะชักนำปัญหามาสู่เขาในภายหลัง

“ข้านึกว่าเจ้าจะตกตะลึงกว่านี้ แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยังคงสงบนิ่งกว่าที่ข้าคาดไว้” ตู้ชิงซียิ้มในขณะที่นางกล่าว จากนั้นเช็ดคราบเลือดบนกระบี่ไผ่ทองคำนิล ก่อนจะยื่นคืนแก่เฉินซี

“ในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว ยังมีเรื่องอะไรให้ต้องตกใจอีก” เฉินซีรับกระบี่ทองคำนิลและจ้องมองไปที่คนทั้งสามขณะที่เขากล่าวช้า ๆ ว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้ฆ่าไฉ่เล่อเทียนและอวี้ฮ่าวไป๋เมื่อไม่กี่วันก่อน ดังนั้นข้าจึงไม่มีอะไรจะต้องกลัวอีกต่อไป”

“สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ข้าทำให้เจ้าผิดหวังนักในอดีต แต่ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังอีกในอนาคต เจ้าปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงน้องชาย หากข้าต้วนมู่เจ๋อ ทำให้พี่ชายของข้าต้องผิดหวังอีกครั้ง ข้าก็เลวกว่าหมูหมาแล้ว”

“ยอดเยี่ยม! ข้าอยากจะฆ่าพวกมันมาตั้งนานแล้ว!”

“พวกมันตายแล้ว? สิ่งใดที่กระทำไปแล้วก็แล้วไปเถอะ เราจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งด้วยกัน”

หลังจากกล่าวกันออกมาเช่นนี้ พวกเขาทั้งสามก็เหลือบมองซึ่งกันและกัน และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

“พวกเราไปกันเถอะ” ภายในหัวใจของเฉินซีรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าการช่วยเหลือพวกตู้ชิงซีครั้งนี้นับเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด มันไม่เพียงชดเชยความรู้สึกผิดในใจของเขาเท่านั้น แต่ยังได้มิตรภาพกลับคืนมาอีกด้วย ทั้งยังได้รับความเคารพและความไว้ใจจากคนเหล่านี้เช่นกัน

ความรู้สึกเช่นนี้น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่เขายังเยาว์วัย นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีได้สัมผัสกับความสุขของมิตรภาพ

เขาไม่มีสหายและอยู่โดดเดี่ยวมานานมาก อีกทั้งมักถูกคนรอบข้างเหยียดหยาม ดังนั้นเขาจึงโหยหาความรู้สึกเช่นนี้ยิ่งนัก

ในขณะนี้ เฉินซีรู้สึกยินดียิ่งนัก แต่เขาเป็นคนแสดงออกได้ไม่เก่ง ดังนั้นจึงทำได้เพียงจดจำและเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจเงียบ ๆ

ในขณะที่เฉินซีและคนอื่น ๆ กำลังจะจากไป ราชาเต่าเฒ่าและราชาจิ้งจอกเก้าหางก็มาถึงเสียก่อน ราชาเต่าเฒ่ายิ้มและประสานมือพร้อมกล่าวว่า “น้องชายเฉินซี ข้ามีนามว่าเสวียนจิง ส่วนอสูรตนนี้คือสหายของข้ามีนามว่าชิงชิว พวกเรามาเพื่อพบพวกเจ้า เหล่าสหายเต๋า” น้ำเสียงของเขาเป็นมิตรยิ่งไร้ซึ่งการเสแสร้งใด ๆ