ตอนที่ 131 บารมีมังกร

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“เจ้าตัวโต เจ้าอยากจะเป็นอสูรของแม่ข้าหรือไม่ ? อยู่กับท่านแม่ได้อะไรดี ๆ เยอะมาก แล้วก็สนุกมากเลยนะ”

มังกรทองห้าเล็บในร่างเด็กชายจ้องมองมังกรเกล็ดแล้วเอ่ยถาม เจ้าตัวโตนี่แข็งแกร่งไม่น้อยเลย ถ้าหากท่านแม่ได้เจ้าตัวนี้มาอยู่ด้วยก็คงจะดีไม่น้อย

“ข้า…”

ในใจของมังกรเกล็ดปรารถนาจะตอบกลับไปว่ามันไม่อยาก ทว่าร่างกายใหญ่โตและสมองอันปราดเปรื่องกลับดูเหมือนจะไม่เชื่อฟังสักนิด ในท้ายที่สุดมังกรกึ่งงูก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างว่าง่าย

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมังกรแท้จริงที่อยู่ในระดับสูงกว่าตนเช่นนี้ มังกรเกล็ดก็เปลี่ยนกลายเป็นว่านอนสอนง่ายขึ้นทันตา เพราะแรงกดดันอันทรงพลังของอีกฝ่ายกำลังข่มขวัญมันอย่างรุนแรงและถึงแม้จะต้องการขัดขืนมากเท่าไหร่มันก็มิอาจต้านทานได้เลย ดังนั้นมันจึงให้มันได้แต่ยอมจำนนแล้วทำตามแต่โดยดีเท่านั้น

“ท่านแม่ เจ้าตัวโตนี่แข็งแกร่งดีนะท่านรีบจับมันทำพันธสัญญาเถอะ”

มังกรน้อยร้องบอกฉินอวี้โม่อย่างภาคภูมิใจเมื่อเห็นว่าความพยายามในการเจรจาของมันสำเร็จลงอย่างสวยงาม

ฉินอวี้โม่พยักหน้าพลางส่งรอยยิ้มกว้างตอบกลับ มังกรเกล็ดตัวนี้แข็งแกร่งมาก ที่สำคัญยังฉลาดเป็นกรด อสูรตัวนี้จะเป็นผู้ช่วยที่มีประโยชน์อย่างมากมายในภายภาคหน้า

อย่างไรมังกรเกล็ดก็ ‘ยินยอม’ อยู่แล้ว ถึงแม้มันจะไม่ค่อย ‘พร้อมใจ’ นักก็ตาม แต่การทำพันธสัญญากับมันก็ไม่สิ่งใดเสียหาย อีกทั้งจะยังประโยชน์ให้ได้อย่างมหาศาลด้วย

หลังจากเดินเข้ามาใกล้ร่างมังกรเกล็ดอีกครั้ง สตรีผู้ครอบครองกายเทพมายาก็วางมือบางลงบนหัวใหญ่ยักษ์และเริ่มขั้นตอนการทำพันธสัญญา

ในเวลานี้ฉินอวี้โม่นับว่าหลินจิ้งหงเป็นสหายสนิทคนหนึ่ง หากจะให้กล่าวเขาก็คือคนกันเองแล้ว จึงไม่มีเรื่องใดต้องปกปิด ส่วนเสี่ยวโร่วไม่ต้องกล่าวถึง คุณหนูคนงามเห็นนางเป็นคนในครอบครัวอยู่แต่เดิมแล้ว

ใช้ระยะเวลาเพียงไม่นาน การทำพันธสัญญาก็สำเร็จลุล่วง ร่างของทั้งฉินอวี้โม่และมังกรเกล็ดต่างก็ถูกอาบไล้ไปด้วยแสงแห่งการเลื่อนระดับพลัง

หลังจากล่วงเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชน ฉินอวี้โม่ก็ต้องการพลังมายาอย่างมหาศาลสำหรับใช้ในการเลื่อนระดับขึ้นไปในแต่ละขั้นดารา แม้ว่าพลังจากการทำพันธสัญญากับอสูรระดับสูงอย่างมังกรเกล็ดจะไม่ใช่น้อย แต่ก็ยังทำให้นางเลื่อนขั้นขึ้นไปได้เพียงสองดาราและกลายเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนสี่ดาราเท่านั้น

ส่วนการเลื่อนระดับของอสูรมายานั้น ดูเหมือนว่าจะอาศัยพลังที่น้อยกว่ามนุษย์เพราะมังกรเกล็ดจากเดิมที่เป็นอสูรสวรรค์ห้าดารา บัดนี้มันได้เลื่อนขึ้นไปอีกถึงสามดาราและเป็นอสูรสวรรค์ระดับแปดดาราแล้ว

“โอ้ สวรรค์ ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม !”

หลังจากการทำพันธสัญญาเสร็จสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่เลื่อนระดับขึ้นไปเท่านั้น แต่อาการบาดเจ็บทั้งหมดของมันก็ยังหายเป็นปลิดทิ้ง เรื่องนี้ทำให้เจ้ามังกรมีเกล็ดประหลาดใจอย่างมาก

มันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าอสูรมายาจะได้รับประโยชน์จากการทำพันธสัญญากับมนุษย์ เดิมทีมังกรเกล็ดรู้สึกหดหู่มากเมื่อรู้ว่าตนต้องกลายเป็นอสูรในพันธสัญญาของมนุษย์ ทว่าเมื่อได้รับผลประโยชน์เช่นนี้ความรู้สึกในด้านลบของมันก็ลดน้อยลงในฉับพลัน

“เห็นหรือยังว่าทำไมใคร ๆ ก็อยากทำพันธสัญญากับท่านแม่ข้า”

เมื่อได้ยินเสียงอุทานของมังกรเกล็ด มังกรทองห้าเล็บน้อยในร่างเด็กชายมนุษย์ตัวจ้อยก็เชิดหน้ามองเพื่อนตัวโตด้วยสีหน้าแสนภาคภูมิ หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป เจ้าตัวน้อยก็จินตนาการไม่ออกว่าจะมีอสูรมายามากเพียงใดที่จะแห่มาขอผูกพันธสัญญากับมารดาของมัน

หลังจากทำพันธสัญญากับฉินอวี้โม่สำเร็จ ถึงแม้แรงกดดันอันเกิดจากพลังอำนาจของมังกรทองห้าเล็บจะยังคงมีอยู่แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลต่อเจ้ามังกรเกล็ดจนเกินต้านทานอีกแล้ว ขณะเดียวกันหัวใจที่เคยอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกย่ำแย่จากการถูกมังกรเด็กน้อยตรงหน้าบีบบังคับของมันก็ดีขึ้นตามไปด้วย

“นี่เจ้าตัวน้อย เจ้าน่ะเป็นมังกรชนิดไหนรึ ? เหตุใดตัวเจ้าถึงมีแรงกดดันที่รุนแรงแบบนั้นได้ ?”

มังกรเกล็ดยืดตัวขึ้นก่อนจะจ้องมองเด็กชายมังกรพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“มังกรทองห้าเล็บ”

เสียงที่ตอบกลับมันไปไม่ใช่เสียงเล็ก ๆ ของเด็กน้อย ทว่าเป็นเสียงองอาจของอสรพิษเก้าเศียรเสี่ยวจิ่ว

“มังกรทองห้าเล็บ !”

ทันทีที่ได้ยินคำตอบ มังกรเกล็ดก็ชะงักกึก มันตื่นตะลึงและหวาดกลัวจนแทบจะกล่าวสิ่งใดไม่ออก

ในบรรดาเผ่าพันธุ์มังกร มังกรที่ทรงพลังมากที่สุดก็คือมังกรทองเก้าเล็บในตำนาน รองลงมาจากมังกรทองเก้าเล็บก็คือมังกรทองห้าเล็บซึ่งก็เป็นอสูรในตำนานเช่นกัน ที่กล่าวว่าในตำนานนั้นเพราะมันหาได้ยากอย่างยิ่งจนกล่าวกันว่าตัวจริงของมันมีแต่เพียงในตำนานเท่านั้น เจ้าหนูน้อยนี่ที่แท้ก็เป็นถึงมังกรทองห้าเล็บในตำนาน ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดพลังอำนาจของมันจึงมีแรงกดดันต่ออสูรสายพันธุ์อื่น ๆ ที่รุนแรงขนาดนั้น

ฉินอวี้โม่เองก็ยังประหลาดใจ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดมังกรเกล็ดที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยินยอมส่งสาหร่ายให้นางถึงได้เปลี่ยนกลายเป็นยอมอย่างง่ายดายเพียงแค่ได้ฟังวาจาของมังกรเด็กตนหนึ่งเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นอสูรหยิ่งทะนงและรักศักดิ์ศรีตนนี้ยังตกลงเป็นอสูรมายาของนางในทันทีที่เจ้าตัวเล็กเอ่ยปาก

“นายหญิง ท่านไม่ต้องสับสนไปหรอก เป็นธรรมดาที่อสูรอย่างพวกเราจะถูกอสูรที่มีระดับสูงกว่ากดดัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ตัวที่อ่อนแอก็จะถูกตัวที่แข็งแกร่งกว่ามันกดดันได้ง่ายมาก ถ้าหากนับมังกรเกล็ดเป็นมังกร มันก็อยู่ในระดับต่ำสุดของเผ่าพันธุ์มังกร ขณะที่มังกรทองห้าเล็บเป็นมังกรระดับตำนานและอยู่ในจุดที่เกือบจะสูงที่สุดในสายพันธุ์ ด้วยเหตุนี้ทำให้เจ้ามังกรเกล็ดนั่นยำเกรงบารมีของเจ้าตัวเล็ก อีกอย่างพวกมังกรน่ะ เป็นสิ่งมีชีวิตที่จะมีแรงกดดันเฉพาะตัวมาตั้งแต่กำเนิด เราเรียกมันว่า*‘บารมีมังกร’*  ยิ่งเป็นมังกรที่อยู่ในสายพันธุ์ระดับสูงขึ้น บารมีมังกรที่ว่าก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้น ที่สำคัญบารมีมังกรนี้จะข่มขวัญให้มังกรในสายพันธุ์ระดับต่ำกว่าทั้งหมดรู้สึกหวั่นเกรงอย่างมิอาจต้านทานมันได้”

ม่อเสียอธิบายให้ฉินอวี้โม่ฟัง นี่เป็นเรื่องเฉพาะของอสูรมายา มีมนุษย์จำนวนน้อยมากที่รู้และเข้าใจเรื่องนี้ และที่นายหญิงของมันสงสัยก็ไม่แปลกนัก เพราะตามความรู้สึกของมนุษย์แล้ว มังกรเกล็ดเป็นถึงอสูรสวรรค์ห้าดารา แม้ว่าฝ่ายที่ต่อกรกับมันจะเป็นมังกรทองผู้มีสายเลือดที่สูงส่งกว่าก็ตาม แต่มันก็ไม่ควรจะหวาดกลัวจนหัวหดถึงเพียงนั้น

ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับรู้ นางเข้าใจเรื่องราวที่เกิดมากขึ้นแล้ว

“ท่านแม่ ข้ายังไม่มีชื่อเลย ท่านตั้งให้ข้าบ้างได้ไหม ?”

มังกรทองห้าเล็บมองฉินอวี้โม่ตาใสแจ๋วแล้วเอ่ยถามอย่างออดอ้อน

ฉินอวี้โม่ใช้มือจับคางพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เรียกเจ้าว่า*‘หานอวี้’*เป็นอย่างไร ?”

เนื่องจากเด็กชายมังกรจ้ำม่ำเรียกขานนางเป็นมารดา ฉะนั้นนางจึงอยากให้ในอนาคตมันเรียกหานโม่ฉือเป็นบิดาด้วย อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูผู้คิดเองเออเองจึงให้ ‘บุตรชายต่างเผ่าพันธุ์’ใช้แซ่หาน ส่วนชื่อของมันก็เป็นคำว่าอวี้ที่เป็นคำหนึ่งในชื่อของนาง

“ตกลง ข้าชอบชื่อหานอวี้”

มังกรทองห้าเล็บในร่างเด็กสามขวบพยักหน้า ใบหน้าเล็ก ๆ ปรากฏรอยยิ้มกว้างจนตาหยี ดูเหมือนมันจะชอบชื่อนี้และมีความสุขมากจริง ๆ

“ห้าว~”

“ท่านแม่ข้าง่วงแล้ว ขอไปนอนก่อนได้หรือไม่ ?”

อย่างไร มังกรน้อยหานอวี้ก็ยังเล็กอยู่มาก ถ้าเทียบกับมนุษย์แล้วก็เป็นเพียงเด็กน้อยสามสี่ขวบ แน่นอนว่ามันต้องการพักผ่อนมากกว่าอสูรมายาตัวอื่น ๆ

“เจ้าพักได้ตามสบาย”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าอย่างอ่อนโยนแล้วส่งหานอวี้เข้าไปนอนกลางวันในมิติเชื่ออสูรของตนทันที

“ม่อเสีย เจ้ารู้หรือไม่ว่าซิวเป็นอสูรมายาประเภทหรือเผ่าพันธุ์ไหน ?”

ฉินอวี้โม่มองม่อเสียแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้ากระหายใคร่รู้ จากเหตุการณ์ที่ซิวเข้าช่วยเหลือนางที่ผ่าน ๆ มา ดูเหมือนว่าแรงกดดันจากสภาวะพลังของมันจะส่งผลอันใหญ่หลวงต่ออสูรมายาทุกเผ่าพันธุ์ เช่นนั้นแล้วอสูรแห่งโชคชะตาของนางตนนี้จะอยู่ในเผ่าพันธุ์ไหนกัน

สีหน้าของม่อเสียเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถึงแม้ตอนนี้มันกับซิวจะนับว่าเป็นพวกพ้อง ทว่าเมื่อใดก็ตามที่ได้อยู่ใกล้ซิว หมีดำอย่างมันก็ยังคงสัมผัสถึงแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นอยู่ดี อสูรผู้น่ายำเกรงตนนี้เป็นอสูรที่น่ากลัวจนเกินไป

หมีเสียยังคงจดจำภาพเหตุการณ์ที่เมืองเยว่กวางครานั้นได้ดี แรงกดดันที่มันได้รับเข้มข้นและทรงอำนาจจนมิอาจต่อต้าน ส่วนเปลวเพลิงของซิวนั้นก็รุนแรงราวกับจะเผาผลาญทั้งสวรรค์ให้มอดไหม้ เวลานั้นมันหวาดกลัวอย่างแท้จริงและเป็นความกลัวที่กินลึกลงถึงก้นบึ้งของหัวใจ

ฉินอวี้โม่มองไปที่อสูรมายาตัวอื่น ๆ ในคณะอสูรของตนคล้ายต้องการจะถาม ทว่าพวกมันทั้งหมดต่างพากันส่ายหน้าโดยพร้อมเพรียง ใบหน้าของทุกตัวเหลอหลาด้วยความไม่รู้ ดู ๆ ไปแล้วก็เป็นภาพที่น่าขำอยู่บ้าง

อย่างไรก็ตามไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีอสูรมายาตัวไหนเลยที่รู้เรื่องราวของซิว อย่าว่าแต่รู้จักเผ่าพันธุ์เพราะแม้แต่รูปลักษณ์ก็ยังไม่มีพวกมันตัวใดเลยที่เคยเห็น

ส่วนมังกรเกล็ดนั้นได้แต่ทำหน้างุนงงเพราะมันไม่รู้จักซิว

“ข้าจะบอกเจ้าว่า มังกรน้อยห้าเล็บน่ะไม่ใช่อสูรมายาแห่งโชคชะตาของนายหญิงหรอก เพราะตำแหน่งนั้นน่ะมีผู้ยิ่งใหญ่จองไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่แค่กำลังเก็บตัวอยู่ เขาผู้นั้นมีชื่อว่า ‘ซิว’ และแข็งแกร่งกว่ามังกรทองห้าเล็บมาก แรงกดดันที่พวกเรารู้สึกได้นั้นก็ทรงพลังกว่าของเจ้าตัวเล็กนั่นเป็นไหน ๆ ถ้าเขาอยู่ที่นี่ แค่เปลวเพลิงหย่อมเดียวก็สามารถเผาเจ้าเป็นเถ้าถ่านได้แล้ว”

เสี่ยวเฮยใช้ปีกดำ ๆ ของมันตบปุ ๆ ไปบนลำตัวของมังกรเกล็ดและอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง น้ำเสียงที่พูดนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความยำเกรงที่มีต่อซิวขณะเดียวกันมันก็ทำท่าทางภาคภูมิใจอย่างยิ่งไปด้วย อันที่จริงเจ้าม้าขี้โม้ต้องการจะตบบ่าสหายร่วมคณะตัวใหม่เพียงแต่เพราะมันมีขนาดเล็กกว่าถึงเท่าตัวจึงทำได้เพียงแตะลำตัวที่เต็มไปด้วยเกล็ดของอสูรกึ่งมังกรกึ่งงูเท่านั้น

“ใช่ พี่ซิวสุดยอดยิ่งกว่าใคร ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงพี่ซิวข้าก็รู้สึกยำเกรงจนหาคำบรรยายไม่ได้”

เสี่ยวจินในร่างเหยี่ยวยักษ์เอ่ยสนับสนุนสหายสีดำ น้ำเสียงของมันก็ฟังดูเคารพไม่ต่างกัน

“จริงรึ ข้าไม่อยากเชื่อเลย นายหญิงครอบครองสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามังกรทองห้าเล็บอยู่ด้วยหรือ ช่างเป็นมนุษย์ที่น่ากลัวเกินไปแล้ว”

เมื่อได้ฟังคำพูดของเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจิน มังกรเกล็ดก็เบิกตากว้าง แค่มังกรทองห้าเล็บก็น่ากลัวมากเกินพอแล้ว แต่นี่ถึงกับมีอสูรที่น่ากลัวยิ่งกว่า ในตอนนั้นเองที่เจ้ามังกรมีเกล็ดบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้น …‘นี่ถือว่าข้าโชคดีมากได้กลายเป็นอสูรมายาของนายหญิง มิฉะนั้นชาตินี้ข้าก็คงจะได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในป่าในเขาแบบนี้ไปตลอดและคงไม่มีโอกาสได้ออกไปไหนเป็นแน่’

“นายหญิง ท่านเรียกข้าว่า ‘หลิวหยา’ ก็ได้”

เวลานี้ มังกรเกล็ดยอมรับในตัวฉินอวี้โม่อย่างหมดใจแล้ว มันเอ่ยกับสตรีผู้เป็นนายอย่างนอบน้อม

“ยินดีต้อนรับ หลิวหยา”

ฉินอวี้โม่ต้อนรับสมาชิกใหม่ด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวต่อ

“ถ้ามีอะไรในถ้ำที่เจ้าอยากจะนำออกมาก็ไปเอาให้เรียบร้อย ข้าต้องพาเจ้าไปด้วย ต่อไปนี้เจ้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราแล้ว และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็จะอยู่เคียงข้างกัน”

เมื่อได้ฟังวาจาของสตรีตรงหน้า หลิวหยาก็ยิ่งรู้สึกเคารพนาง นอกจากความน่ายำเกรงนางยังควรค่าแก่การเป็นนายหญิงที่รักของเหล่าอสูรมายา

“เช่นนั้น นายหญิงโปรดรอสักครู่”

หลิวหยารีบดำดิ่งลงไปในบึงน้ำที่อยู่เดิมของมันอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่กี่อึดใจมังกรเกล็ดตัวโตก็โผล่ขึ้นจากน้ำอีกครั้ง ยามนี้ในกรงเล็บขนาดใหญ่ของเต็มไปด้วยสิ่งของน้อยใหญ่จำนวนมาก บ้างก็มีรูปร่างคุ้นเคย บ้างก็ดูแปลกตา ทว่าสิ่งของส่วนมากล้วนแต่มีสีสันสดใสระยิบระยับแพรวพราว

“ปกติแล้วข้าชื่นชอบการรวบรวมสมบัติแปลกประหลาด แต่นอกจากของพวกนี้แล้ว ในถ้ำข้าก็ไม่มีอะไรอีก อันที่จริงของหลาย ๆ อย่างที่รวบรวมมาก็ไม่ค่อยมีประโยชน์กับข้า แต่ถ้าเป็นนายหญิงอาจจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้”

มังกรเกล็ดวางกองของทั้งหมดลงตรงหน้าฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยรอยยิ้มปลื้มปีติ

ฉินอวี้โม่มองดูกองสมบัติระยิบระยับของหลิวหยาที่อยู่บนพื้นด้วยใบหน้าฉงนแต่ไม่นานนักก็เปลี่ยนเป็นอึ้งงัน

ต้องบอกเลยว่ามังกรเกล็ดตัวนี้เป็น ‘นักสะสมตัวยง’ อย่างแท้จริง ในกองสมบัตินี้มีทองคำอยู่ไม่น้อย นอกจากนั้นก็ยังมีผลึกแร่ที่ส่องประกายระยิบระยับ ลูกแก้วหลากขนาดและยังมีวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถที่หายากรวมอยู่อีกด้วย

เสี่ยวเฮยและอสูรตัวอื่น ๆ หันมองหน้ากันก่อนจะหันไปตบเบา ๆ บนลำตัวของมังกรเกล็ดสหายร่วมคณะตัวใหม่ด้วยรอยยิ้ม บัดนี้พวกมันทั้งหมดเป็นพวกพ้องกันแล้ว และศึกการต่อสู้ ณ บึงน้ำในพงไพรชื่อประหลาดก็สิ้นสุดลง พวกมันทั้งหมดจึงพากันเข้าไปพักในมิติเชื่อมอสูรของนายหญิง มังกรเกล็ดมองฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มอีกครั้งก่อนจะหายตัวเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรของนางตามเหล่าสหายไปเช่นกัน

“เสี่ยวโร่วเจ้าช่วยเก็บของพวกนี้เอาไว้ทีนะ”

เมื่อฉินอวี้โม่ดึงสติกลับมาได้จากอาการตกตะลึงเพราะกองสมบัติของหลิวหยาแล้ว นางก็ขอให้เสี่ยวโร่วช่วยเก็บสมบัติทั้งหมดเอาไว้

เมื่อได้ยินเสียงเรียกของคุณหนู เสี่ยวโร่วก็รีบตรงเข้ามาก่อนจะเก็บรวบรวมสิ่งของที่กองอยู่บนพื้นเข้าไปในแหวนมิติ สาวใช้น้อยจะทำการคัดแยกมันหลังจากกลับไปถึงจวนตระกูลฉินแล้ว

“อวี้โม่ สารภาพมาซะดี ๆ เจ้าใช่มนุษย์จริงรึ ? หรือเป็นสัตว์ประหลาดจากดินแดนไหนกันแน่ ? แค่เจ้าคนเดียว ข้าก็รู้สึกว่าแปลกประหลาดเกินมนุษย์ปกติแล้ว นี่อสูรของเจ้ายังแปลกประหลาดเกินอสูรยิ่งกว่าอีก เฮ้อ ! รู้หรือไม่เจ้ากำลังทำให้คนธรรมดาแต่หล่อฟ้าประทานอย่างข้าต้องปวดใจอยู่นะ”

หลินจิ้งหงกล่าวติดตลก เพราะคณะอสูรของฉินอวี้โม่แต่ละตัวมีระดับพลังและอำนาจที่ไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย นางครอบครองแม้กระทั่งมังกรทองห้าเล็บในตำนาน แล้วยังมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นเก็บตัวอยู่อีก

แม้ว่านายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างจะถูกกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะเช่นกัน ทว่าเขาก็ยังคิดว่าตนเองห่างไกลจากความแข็งแกร่งอันผิดธรรมชาติของสตรีตรงหน้ามาก

“เฮ้อ~ คงมีแค่หานโม่ฉือคนเดียวที่เป็นสัตว์ประหลาดเหมือนกับเจ้าสินะ”

หลินจิ้งหงถอนหายใจออกมา ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ที่แท้สวรรค์คงจะกำหนดให้ฉินอวี้โม่กับหานโม่ฉือก็เกิดมาเป็นคู่กัน คนทั้งคู่เป็นเสมือนสัตว์ประหลาดที่เกิดมาเพื่ออยู่เหนือกว่าผู้คนทั้งใต้หล้า

ฉินอวี้โม่ไม่ได้สนใจวาจาของสหายตระกูลหลิน นางเพียงแต่หยิบสาหร่ายที่มังกรเกล็ดให้ขึ้นมาพิจารณา

เมื่อตรวจสอบดูอย่างละเอียดแล้ว คุณหนูคนงามก็พบว่าสมุนไพรเส้นยาวเหล่านี้สามารถปลดปล่อยไอเย็นอย่างอ่อน ๆ ออกมาได้ ซึ่งไอเย็นดังกล่าวก็กัดกร่อนผิวหนังที่ฝ่ามือของนางไปเล็กน้อยแล้ว ทว่าน่าประหลาดที่ฉินอวี้โม่ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกตินี้เลยสักนิด มีเพียงพลังมายาที่อัดแน่นอยู่อย่างเต็มเปี่ยมภายในลำต้นลื่น ๆ ของมันเท่านั้นที่นางสัมผัสได้

“นี่มันหนวดมังกร !”

หลินจิ้งหงอุทานเสียงดัง หลังจากได้เห็นมันชัด ๆ กับตา เวลานี้เองที่เขาได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้ว สิ่งที่เจ้าของภารกิจนี้ต้องการก็คือหนวดมังกรไม่ใช่สาหร่ายหรือสมุนไพรใต้น้ำธรรมดา ๆ อย่างที่พวกเขาคิด

“หนวดมังกร ? มันมีประโยชน์มากเลยหรือ ?”

“เรื่องนั้นมันแน่นอน ประโยชน์ของมันมีอย่างมหาศาลในทางโอสถ แต่ก็ข้าไม่รู้รายละเอียดมากนักหรอกนะ”

หลินจิ้งหงพิจารณาหนวดมังกรในมือสหายอย่างถี่ถ้วนแล้วพยักหน้า

“ภารกิจนี้บอกไว้ว่าให้เก็บเจ้านี่ไปอันเดียว ข้าว่าเราเอาที่เหลือมาแบ่งกันเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มแย้ม ใบหน้านวลมีแววตื่นเต้นยินดี แม้ว่านางจะไม่ทราบว่าหนวดมังกรมันมีประโยชน์อย่างไร ทว่านางก็ตัดสินใจแล้วว่าจะแบ่งหนวดมังกรที่ได้มาให้หลินจิ้งหงและเสี่ยวโร่ว

“อย่าเลย ให้ข้าก็เสียของเปล่า ๆ”

หลินจิ้งหงส่ายหน้าปฏิเสธ

หลังจากหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็กล่าวต่อ “หนวดมังกรมีคุณค่าทางยาที่มหาศาล มันจึงถือเป็นวัตถุดิบในการหลอมโอสถที่ล้ำค่ามาก ถ้าหากผู้หลอมโอสถสามารถนำมันไปปรุงเป็นโอสถดี ๆ ได้ ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเอามามอบให้ข้ามาก ข้าจำได้ว่าพี่ชายของเจ้าก็เป็นผู้หลอมโอสถระดับสูง เจ้านำมันไปให้เขาดีกว่า ถ้าเขาหลอมยาดี ๆ ขึ้นมาได้ก็ค่อยเอาแบ่งให้ข้าก็แล้วกัน จะได้เป็นการตอบแทนน้ำใจข้าไปด้วย”

หลินจิ้งหงเคยเห็นมันอยู่ภายในตำรามาบ้าง ทว่าเขาก็ไม่ได้อ่านมันละเอียดนักจึงไม่รู้วิธีใช้ ดังนั้นคุณชายตระกูลหลินจึงกล่าวปฏิเสธ ทว่าเขาก็มิวายพูดเองเออเองอย่างเย่อหยิ่งในตอนท้ายอยู่ดี

ฉินอวี้โม่จึงได้แต่ส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างระอา

“ข้าเองก็คิดเหมือนคุณชายหลิน”

เสี่ยวโร่วกล่าวขึ้นบ้าง นางต้องการจะสนับสนุนให้ฉินอวี้โม่นำมันไปมอบให้กับคุณชายใหญ่ คุณชายน่าจะเอาไปทำประโยชน์ได้มากโข และถ้าหากได้มันไป เขาก็คงจะยินดีอย่างมากด้วย

ฉินอวี้โม่พยักหน้ายอมรับความคิดเห็นผู้ร่วมภารกิจทั้งสองของนางและไม่กล่าวสิ่งใดอีก นอกเหนือจากหนึ่งอันที่เก็บไว้สำหรับส่งมอบภารกิจแล้ว ที่เหลืออดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็เก็บแยกเอาไว้เองเพื่อเตรียมจะนำไปมอบให้ฉินอี้เฟยเมื่อกลับถึงจวน

.