“หนวดมังกร ! เจ้าไปเอาวัตถุดิบที่หายากถึงเพียงนี้มาจากไหน ?”
เมื่อทราบว่าผู้เป็นน้องสาวนำหนวดมังกรมามอบให้ ฉินอี้เฟยก็นิ่งอึ้งไป เขาจ้องมองหนวดมังกรในมือฉินอวี้โม่ตาไม่กะพริบพลางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“พี่ใหญ่ หนวดมังกรนี่มันมีประโยชน์มากเลยหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ถามกลับอย่างใคร่รู้ เมื่อมองดูพี่ชายที่กำลังตกตะลึงแล้ว คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็อดสงสัยในสรรพคุณของมันไม่ได้
“แน่นอน หนวดมังกรนี้หากนำไปผสมกับวัตถุดิบยาอีกสองสามอย่างก็จะสามารถหลอมเป็นโอสถที่เรียกว่า ‘โอสถก่อมายา’ ได้ โอสถชนิดนี้นับว่าล้ำค่ามากเพราะมันมีสรรพคุณวิเศษที่ช่วยให้จอมยุทธ์นภมายาเก้าดาราสามารถทะลวงพลังขึ้นไปยังขอบเขตมายาบรรพชนได้อย่างไร้เงื่อนไข”
ฉินอี้เฟยกล่าว บัดนี้ดวงตาคมแสนจริงใจของผู้หลอมโอสถหนุ่มเปล่งประกายสดใสราวกับเขาเพิ่งได้สุดยอดสมบัติมาครอบครอง
ทักษะการหลอมโอสถของฉินอี้เฟยติดอยู่ในช่วงคอขวดมานานระยะหนึ่งแล้ว และจนถึงตอนนี้ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรเขาก็ยังไม่สามารถก้าวหน้าได้เลยแม้แต่น้อย ทว่าหากเขาสามารถรวบรวมวัตถุดิบเพื่อหลอมเป็นโอสถระดับสูงอย่างโอสถก่อมายาได้ บางทีฝีมือในการหลอมโอสถของเขาอาจจะก้าวข้ามไปสู่ขั้นถัดไปได้
เมื่อได้ฟังคำตอบของพี่ชาย ก็เป็นคราวของฉินอวี้โม่ที่ต้องอึ้งไปบ้าง นางไม่อยากเชื่อเลยว่าโอสถเม็ดหนึ่งจะให้ผลที่น่าอัศจรรย์ได้มากมายขนาดนั้น
ต้องทราบก่อนว่ามีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนในแผ่นดินหวนหลิงที่ติดอยู่ในขอบเขตนภมายาเก้าดารา และก็มีอยู่นับไม่ถ้วนเช่นกันที่ต้องติดอยู่เช่นนั้นไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะทำอย่างไรพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่สามารถก้าวข้ามไปยังขอบเขตถัดไปได้ ถ้าหากมีโอสถวิเศษดังกล่าวอยู่ในโลกจริง ผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินจากทุกสารทิศก็คงจะบุกเข้ามาแย่งชิงมันไปเป็นแน่
ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าการจะทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนนั้นยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด แม้แต่นางที่มีพรสวรรค์ในระดับสัตว์ประหลาดอีกทั้งยังอาศัยความเข้มข้นของพลังในหอคอยวิญญาณชั้นที่หกเป็นตัวช่วยส่งเสริมก็ยังต้องใช้เวลาอยู่นานเกือบหนึ่งเดือนแม้จะไม่หยุดพัก หากสิ่งที่ฉินอี้เฟยกล่าวมาเป็นเรื่องจริง โอสถชนิดนั้นก็ถึงเป็นสิ่งประหลาดมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
“โอสถก่อมายาวิเศษมากก็จริง แต่การจะหลอมมันให้สำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บางทีอาจจะเรียกว่ายากยิ่งกว่ายากเสียด้วยซ้ำ เพราะนอกจากหนวดมังกรแล้วเรายังต้องใช้วัตถุดิบอีกสองอย่างซึ่งก็ล้วนแต่หาได้ยากมากเช่นเดียวกัน
วัตถุดิบอย่างแรกก็คือ*‘ผลไร้ราก’ส่วนอีกอย่างคือ‘บุปผาน้ำแข็ง’* อันที่จริงการตามหาบุปผาน้ำแข็งจะพูดว่ายากก็ยาก จะกล่าวว่าง่ายก็ง่าย ว่ากันว่ามันเป็นพืชพันธุ์ที่เจริญเติบโตในสถานที่ที่เย็นจัด ขอเพียงหาสถานที่เช่นนั้นได้ในแผ่นดินนี้ เจ้าก็มีโอกาสสูงที่จะพบมันได้ แต่…ปัญหามันอยู่ที่ผลไร้ราก”
ยังไม่ทันที่ฉินอวี้โม่จะกล่าวถาม ฉินอี้เฟยก็ชิงอธิบายพร้อมบอกเล่าถึงส่วนผสมที่ต้องใช้ในการหลอมโอสถวิเศษให้นางฟังอย่างเสร็จสรรพ
ฉินอวี้โม่พยักหน้า จากที่ได้ฟังดูเหมือนว่าบุปผาน้ำแข็งจะสามารถหามาได้ไม่ยากมากนัก
“แล้วผลไร้รากมีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?”
คำถามนี้ดังมาจากเสี่ยวโร่ว สาวใช้น้อยตั้งใจฟังบทสนทนาของคุณหนูคุณชายทั้งสองตั้งแต่แรกแล้ว และนางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ในตำราไม่เคยมีการบันทึกไว้เลยว่าผลไร้รากเติบโตในสิ่งแวดล้อมแบบไหน ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีการบันทึกถึงสถานที่ที่ค้นพบมัน ว่ากันว่าคนที่เคยพบเห็นมันก็มีอยู่น้อยนิด หากต้องการจะตามหามันก็มีหนทางเดียวคือควานหาแบบเดาสุ่ม แต่นั่นก็แทบไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลย”
ฉินอี้เฟยส่ายศีรษะอย่างอับจนหนทาง สูตรสำหรับปรุงโอสถเขารู้อยู่แล้ว แต่ตัวเขาที่เป็นผู้หลอมโอสถในระดับนี้ก็ยังไม่เคยได้เห็นโอสถก่อมายาของจริงสักครั้ง ที่สำคัญคือเขาไม่ทราบเลยว่าจะเสาะหาผลไร้รากได้จากสถานที่ใด
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วพยักหน้าพร้อมกัน พวกนางทั้งสองจดจำข้อมูลของผลไร้รากที่ฉินอี้เฟยเล่ามาเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ถ้าหากในอนาคตมีโอกาสได้พบเจอมันเข้า พวกนางทั้งสองก็หมายใจจะรีบเก็บมันมาให้ฉินอี้เฟยทันที ไม่แน่ว่าบางทีพวกนางอาจจะบังเอิญไปพบมันเข้าที่ไหนสักแห่งก็ได้
“ฮ่า ๆ ๆ ว่าแต่พวกเจ้าไปได้หนวดมังกรนี่มาอย่างไรรึ ?”
ฉินอี้เฟยหัวเราะเมื่อเห็นว่าทั้งท่าทางและแววตาของฉินอวี้โม่และสาวน้อยเสี่ยวโร่วเหมือนกันทุกประการราวกับคัดลอกจากนั้นเขาก็เอ่ยคำถามเดิมกับผู้เป็นน้องสาวอีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็ทำการจัดเก็บหนวดมังกรลงในกล่องที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเก็บวัตถุดิบล้ำค่าก่อนที่จะวางกล่องลงไปในแหวนมิติอย่างเบามือ
“พวกเรารับภารกิจจากสมาคมทหารรับจ้างและบังเอิญไปได้มันมาระหว่างทำภารกิจที่พงไพรแห่งฝันร้าย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วกล่าวตอบ
“พี่ใหญ่ ตอนนี้อสูรในพันธสัญญาของพี่เป็นแบบไหนอย่างนั้นหรือ ?”
เข้าป่าไปคราวนี้คุณหนูสี่ตระกูลฉินได้จับอสูรระดับสูงมาเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่านางอยากจะมอบให้พี่ชายสักตัว อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องเอ่ยถามความต้องการของเขาก่อน
ฉินอี้เฟยยิ้มและเรียกอสูรของตัวเองออกมา
อสูรในพันธสัญญาของคุณชายใหญ่ตระกูลฉินนั้นเป็นสิงโตที่มีปีกขนาดใหญ่คู่หนึ่งอยู่บนหลัง รูปลักษณ์ของมันดูน่าเกรงขามและสง่างามไม่น้อย ฉินอี้เฟยกล่าวว่ามันคือ*‘ราชสีห์เพลิงฉาน’* เวลานี้มันก้าวขึ้นเป็นอสูรสวรรค์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสิงโตตัวนี้ยังนับว่าเป็นอสูรที่มีศักยภาพสูงมากตัวหนึ่ง
เมื่อเห็นอสูรสวรรค์ของฉินอี้เฟย ฉินอวี้โม่ก็รู้แล้วว่าไม่จำเป็นต้องนำอสูรมายาในแหวนมิติของนางมอบให้พี่ชายแต่อย่างใด เพราะราชสีห์เพลิงฉานตนนี้มีศักยภาพที่เหนือกว่าอสูรมากมายที่นางจับมาทั้งหมด
“อสูรสวรรค์ของพี่ใหญ่แข็งแกร่งจริง ๆ แข็งแกร่งยิ่งกว่าอสูรของคนอื่น ๆ ที่ข้าเคยเห็นมาหมดทุกตัวเลยด้วยซ้ำ”
ฉินอวี้โม่กล่าวชื่นชมด้วยรอยยิ้ม
ทว่าในทันทีที่สิ้นประโยค เสียงประท้วงโหวกเหวกก็ดังขึ้นมาในห้วงจิต เสียงนั้นดังมาจากมิติเชื่อมอสูรของนาง
‘นายหญิง หมายความว่าพวกเราไม่ดีพออย่างนั้นหรือ ?’
เสี่ยวเฮยกล่าวประท้วงดังลั่นด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ขณะที่ตัวอื่น ๆ ก็ส่งเสียงโห่ร้องตาม ๆ กันมา
‘ไม่มีทาง เจ้าสิงโตหน้าโง่นั่น มันจะเหนือกว่าพวกเราได้ยังไง ?’
คณะอสูรของฉินอวี้โม่เริ่มแข่งกันอาละวาดอยู่ภายในมิติเชื่อมอสูร ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่นางกล่าวชื่นชมอสูรตัวอื่นการตอบสนองของพวกมันจะดูรุนแรงดุเดือดขนาดนี้
‘ไม่หรอก พวกเจ้ายอดเยี่ยมที่สุดแล้ว เมื่อครู่ข้าคงกล่าวผิดไป’
ฉินอวี้โม่ได้แต่ลอบกลอกตาและถอนหายใจ นายหญิงผู้ครอบครองอสูรมายาขนาดเท่ากองกำลังย่อม ๆ ได้แต่เอ่ยปลอบพวกมันด้วยการสื่อสารทางจิต เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าบางครั้งพวกมันก็ราวกับกองทัพอสูรมายาที่แข็งแกร่งแต่บางทีมันก็ไม่ต่างจาก ‘เด็กอนุบาลจอมซ่าแห่งห้องช้างน้อย’ เหมือนในโลกที่นางจากมา และวันนี้วีรกรรมล่าสุดคือเมื่อมีคนใดคนหนึ่งร้องก็จะร้องขึ้นพร้อมกันทั้งหมด แถมยังเป็นเรื่องเล็ก ๆ อย่าง *‘คุณครูไม่รักหนู’*เช่นนี้อีก และถ้าหากว่าตอนนี้นางไม่รีบปรามไว้ก่อนล่ะก็ พวกมันคงจะได้อาละวาดกันหนักจนต้องปวดหัวปวดหูไปมากกว่านี้แน่
“พี่ใหญ่ พวกเราต้องขอตัวไปสมาคมทหารรับจ้างก่อน เพราะเรายังต้องไปส่งมอบของในภารกิจก่อนกลับจวนด้วย”
หลังจากคุณครูอนุบาลจำเป็นสยบขบวนการประท้วงย่อม ๆ ลงได้แล้ว ฉินอวี้โม่ก็กล่าวลาฉินอี้เฟยก่อนจะเดินทางไปสมาคมทหารรับจ้างพร้อมกับเสี่ยวโร่ว
เนื่องจากหลินจิ้งหงขอตัวล่วงหน้ากลับไปก่อนเพราะจะต้องนำเรื่องไปแจ้งแก่ผู้มอบภารกิจให้รับทราบ ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วจึงถือโอกาสนั้นแวะไปหาฉินอี้เฟยที่สมาคมโอสถก่อนจะกลับไปยังสมาคมทหารรับจ้าง
เมื่อมาถึงที่ตั้งสมาคมทหารรับจ้าง สตรีทั้งสองก็มองเห็นหลินจิ้งหงยืนอยู่หน้าประตูราวกับกำลังรอคอยพวกนางอยู่
“ในที่สุดพวกเจ้าก็มาเสียที ตอนนี้ผู้อาวุโสคอยพวกเจ้าอยู่ข้างในมาได้สักพักแล้ว”
เมื่อเห็นสหายสาวทั้งสองมาถึง หลินจิ้งหงก็ตรงเข้ามาหาอย่างเร่งร้อน
จากนั้นเขาก็รีบพาสตรีทั้งคู่ขึ้นไปยังห้องส่วนตัวห้องหนึ่งบนชั้นสองของอาคาร
ภายในห้องแห่งนั้นมีบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะกว้างกลางห้องอย่างรอคอย เขาเป็นบุรุษวัยกลางคนผู้มีหน้าตาคมคายหล่อเหลาท่าทางภูมิฐาน ในตอนนี้คนผู้นั้นกำลังนั่งทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าสง่างามประดับรอยยิ้มน้อย ๆ ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“ขออภัยด้วยที่ทำให้ผู้อาวุโสต้องรอนาน”
เมื่อฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเข้ามาถึงก็รีบกล่าวขอโทษเป็นอันดับแรก
เพียงแค่ได้เห็น ไม่ต้องบอกกล่าวก็ทราบว่าบุรุษวัยกลางคนผู้อยู่ตรงหน้าแข็งแกร่งมาก แม้เขาจะนั่งอยู่ใกล้ ๆ เช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็ยังไม่อาจสัมผัสถึงกลิ่นอายหรือสภาวะพลังใด ๆ จากตัวเขาเลยสักนิด ดูราวกับว่าเขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน …ยอดฝีมือที่สามารถซ่อนเร้นอำพรางสภาวะพลังได้อย่างหมดจดเช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่ายอดฝีมือที่แท้จริง
“ไม่เป็นไรมิได้”
บุรุษวัยกลางคนตอบรับแล้วเผยรอยยิ้มบาง ท่าทีของเขาบ่งชี้ว่าไม่ได้ถือสาเรื่องนี้แต่อย่างใด
“ผู้อาวุโส นี่คือสมุนไพรที่ท่านต้องการ”
หลินจิ้งหงนำหนวดมังกรออกมาและส่งมันให้ผู้มีอาวุโสสูงกว่าที่นั่งรออยู่
บุรุษวัยกลางคนรับวัตถุดิบปรุงโอสถเส้นยาวคล้ายสาหร่ายนั้นมาอย่างเบามือก่อนจะยกมันขึ้นส่องกับแสงแดดที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา เขาพลิกกลับไปมาช้า ๆ พลางพินิจพิเคราะห์มันโดยละเอียด ยิ่งได้มองแววแห่งความตื่นเต้นก็ยิ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ทว่าเพียงชั่ววูบเดียวเขาก็รีบดึงสีหน้ากลับมาเป็นปกติ
“ขอบคุณมาก ลำบากพวกเจ้าแล้วจริง ๆ สมุนไพรนี่สำคัญสำหรับข้ามาก ข้าไม่รู้ว่าจะขอบคุณพวกเจ้าอย่างไรดี”
คณะผู้ร่วมภารกิจทั้งสามหันมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็มีรอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้า
“ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราเพียงทำตามหน้าที่และเพื่อเงินรางวัลอันมีค่าของภารกิจนี้เท่านั้น ดังนั้นท่านผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องขอบคุณพวกเราเลย”
ฉินอวี้โม่กล่าวออกไปตามตรง ที่นางรับทำภารกิจนี้เหตุผลข้อแรกคือต้องการจับอสูรมายาในพงไพรแห่งฝันร้ายเพื่อส่งเข้าร่วมประมูลหารายได้ ข้อสองคือเพราะภารกิจนี้เป็นภารกิจที่มีความยากระดับสูงสุดรางวัลที่จะได้รับก็ควรจะมีมูลค่าสูงมาก แน่นอนว่าอดีตนักฆ่าสาวก็หวังในรางวัลดังกล่าว ส่วนอีกข้อหนึ่งนั้นเป็นเพียงความหวังเล็ก ๆ ส่วนตัวของนาง นั่นก็คือนางเห็นว่านี่เป็นภารกิจที่ผู้มอบหมายเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตทูตสวรรค์ คุณหนูตระกูลฉินจึงอยากจะได้พบเจอตัวจริงของจอมยุทธ์ระดับนี้ดูสักครั้ง
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้เองที่ทำให้อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูตกลงทำภารกิจนี้อย่างเต็มใจและยินดี ในเมื่อทำเพื่อแลกผลประโยชน์อย่างมหาศาลเช่นนี้ หากจะรับคำขอบคุณอย่างจริงใจจากผู้ใด ฉินอวี้โม่ก็เกรงว่าจะน่าละอายมากเกินไป
“ฮ่า ๆ ๆ เป็นดรุณีที่ตรงไปตรงมาจริง ๆ”
บุรุษวัยกลางคนหัวเราะชอบใจ ก่อนจะกล่าวต่อ “เอาล่ะ นี่คือรางวัลของภารกิจนี้ ภายในแหวนวงนั้นมีแผ่นป้ายอยู่แผ่นหนึ่ง ถ้าหากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยก็แค่ทำลายป้ายแผ่นนี้ ข้าจะรีบมาช่วยพวกเจ้าเพื่อเป็นการตอบแทนพวกเจ้าในทันที”
ยอดฝีมือผู้สูงส่ง ส่งมอบแหวนมิติให้แก่ฉินอวี้โม่ก่อนที่เขาจะหายตัวไปจากห้องนี้ในฉับพลัน
แม้แต่ฉินอวี้โม่เองก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเศษเสี้ยวพลังใด ๆ ได้เลย นางไม่รู้สึกถึงสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ เมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าผู้อาวุโสฝีมือสูงส่งผู้นั้นไม่ได้อยู่ภายในห้องแล้ว เสมือนว่าเขาสามารถหายตัวไปในอากาศได้ !
“ข้าเกรงว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะไม่ใช่แค่ผู้ที่อยู่ในขอบเขตทูตสวรรค์ธรรมดาเสียแล้ว ดูแล้วเขาน่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่านั้นอีก”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับสหาย นางมั่นใจในเรื่องนี้มาก
“จริงอย่างที่เจ้าว่า ข้ารู้สึกว่าพลังของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าโม่ฉือเลย”
หลินจิ้งหงพยักหน้าเห็นด้วยกับวาจาของคุณหนูตระกูลฉิน
“หลินจิ้งหง สมาคมของเจ้ารับภารกิจมา เจ้ารู้ชื่อของคนผู้นั้นบ้างหรือไม่ ?”
หลังจากนึกบางอย่างขึ้นได้ ฉินอวี้โม่ก็หันไปถามหลินจิ้งหงด้วยความใคร่รู้ ในเมื่อยอดฝีมือผู้นั้นเป็นผู้ส่งมอบภารกิจให้สมาคมทหารรับจ้าง เช่นนั้นนายน้อยของสมาคมอย่างหลินจิ้งหงก็ควรจะทราบข้อมูลของเขาบ้าง
“ข้าไม่รู้”
ทว่าหลินจิ้งหงกับส่ายศีรษะปฏิเสธ ในความเป็นจริงแล้ว เพื่อกุมความลับของผู้มาติดต่อใช้บริการของสมาคม ในตอนที่มามอบภารกิจ ผู้ส่งมอบไม่จำเป็นต้องแจ้งหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวแต่อย่างใด เพียงแค่บอกวิธีติดต่อกลับเอาไว้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เมื่อเห็นคุณชายตระกูลหลินส่ายหน้า คุณหนูตระกูลฉินก็พยักหน้าเข้าใจ ในเมื่อไม่อาจทราบถึงข้อมูลของคนผู้นั้นได้ ฉินอวี้โม่จึงเปลี่ยนมาสนใจสิ่งที่อยู่ในมือแทน คุณหนูคนงามเปิดแหวนมิติที่ได้รับมาจากคนผู้นั้นออกดู
ภายในแหวนมิติมีรางวัลของภารกิจอยู่จริง ๆ หนึ่งในนั้นมีตั๋วเงินที่มีมูลค่าเท่ากับหมื่นเหรียญทองอยู่หนึ่งใบ นอกจากนั้นก็ยังมีแผ่นป้ายที่ทำจากหยกอีกแผ่นหนึ่ง
น่าประหลาดที่ฉินอวี้โม่มองข้ามตั๋วเงินหมื่นเหรียญทองและเอาแต่จ้องมองป้ายหยดแผ่นนั้นแทน
แผ่นป้ายแผ่นนี้ทำจากหยกเนื้อละเอียด เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์แล้วก็ดูงดงามเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อลองสัมผัสมันกลับให้ความรู้สึกอันอบอุ่นแสนสบาย บนป้ายหยกนี้มีตัวอักษรคำว่า ‘เหยียน’ สลักอยู่อย่างเด่นชัด
ทันทีที่ได้เห็นอักษรดังกล่าว สีหน้าของหลินจิ้งหงก็เปลี่ยนไปอย่างราวเร็ว
“หรือว่าผู้อาวุโสผู้นั้นจะเป็นบุคคลในตำนานคนนั้น ?”
หลินจิ้งหงกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตะลึงไม่อยากเชื่อ
“คนไหนหรือ ?”
เมื่อเห็นท่าทางแปลกประหลาดของสหายตระกูลหลิน ฉินอวี้โม่ก็เกิดความสงสัย
“ยอดฝีมือในตำนานที่ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน พลังของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวอารามหรือประมุขของวิหารแห่งความมิด เขาคือผู้ที่เชี่ยวชาญทั้งด้านการใช้พลังมายาอีกทั้งทักษะการใช้อาวุธก็โดดเด่นมาก นามของเขาก็คือ–หลินเหยียน !”
หลินจิ้งหงเอ่ยนามนั้นออกมาด้วยความยำเกรง
ผู้คนส่วนมากในแผ่นดินนี้ล้วนแต่เคยได้ยินนามหลินเหยียนมาแล้วทั้งสิ้น ทว่าก็ไม่เคยมีใครเห็นหรือเคยพบเจอตัวจริงของเขามาก่อน บนป้ายแผ่นนี้มีอักษรคำว่า*‘เหยียน’*สลักอยู่ และเมื่อลองพิจารณาร่วมกับความแข็งแกร่งที่ไม่อาจหยั่งถึงได้ของเขาเมื่อครู่ เช่นนั้นผู้มอบภารกิจชิงหนวดมังกรเกล็ดในครั้งนี้ก็ต้องเป็นหลินเหยียนไม่ผิดแน่
เมื่อได้ยินนามดังกล่าวจากปากของหลินจิ้งหง ฉินอวี้โม่ก็ตกตะลึง
แน่นอนว่านางย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงและความแข็งแกร่งอันเป็นที่โจษขานของหลินเหยียนเช่นกัน
หนึ่งในบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน เขาคือตัวตนที่ลึกลับมากผู้หนึ่ง …ว่ากันว่าเขาอยู่ในขอบเขตทูตสวรรค์ระดับสูงสุดแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่เป็นรองจ้าวอารามหรือประมุขของวิหารแห่งความมืดแม้แต่น้อย..
…นอกจากนั้นยังมีบางคนกล่าวว่าเขาเป็นมนุษย์เพียงผู้เดียวที่ท่องไปทั่วทั้งผืนป่าแสงจันทร์ได้โดยที่เสื้อผ้าไร้รอยยับย่น…
…ไม่เพียงเท่านั้นยังมีเรื่องเล่าขานกันอีกว่า เขาคือบุรุษผู้เกิดในตระกูลยิ่งใหญ่ทว่าเป็นเพราะสตรีผู้หนึ่งทำให้เขามีปัญหากับทางตระกูลจนต้องแยกตัวออกมา…
ในแผ่นดินนี้เรื่องราวเล่าขานของหลินเหยียนตำนานผู้มีชีวิตผู้นี้มีอยู่อย่างมากมายนับไม่ถ้วน ทุก ๆ เรื่องเล่าก็ล้วนแต่ดูมหัศจรรย์พันลึก กึ่งจริงกึ่งเติมแต่ง แต่สิ่งที่แน่ชัดคือยังไม่มีผู้ใดสามารถพิสูจน์ความจริงของเรื่องเหล่านี้ได้เลย
หากคนผู้นั้นคือหลินเหยียนจริง การทำให้บุคคลระดับตำนานเป็นหนี้บุญคุณได้ก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจมหาศาล สำหรับฉินอวี้โม่แล้วนับว่ามันเป็นรางวัลที่พิเศษยิ่งกว่ารางวัลใด ๆ ที่นางได้มาในวันนี้
“เก็บป้ายหยกแผ่นนั้นไว้ให้ดี ต่อไปภายหน้าถ้าเจ้ามีปัญหาที่แก้ไม่ได้หรือตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เจ้าก็จะใช้มันเพื่อแก้ปัญหาทั้งปวงได้ ถ้าเขาคือหลิวเหยียนจริง ๆ ต่อให้เป็นจ้าวอารามมาเอง เขาก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้แน่”
หลินจิ้งหงกล่าวย้ำเตือนกับฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขากังวลอยู่ว่าวันข้างหน้าไม่ช้าก็เร็วสหายสาวผู้นี้อาจจะต้องพบเจอกับปัญหาใหญ่เพราะความขัดแย้งกับอาราม ตอนนี้แม้ว่าจะยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือนางยังไม่เป็นอะไรเลยก็จริงแต่สักวันหนึ่งในอนาคต หากจ้าวอารามบุกมาด้วยตัวเองก็คงจะเกิดเรื่องราวที่หนักหนาและน่าหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย
แม้ว่าหานโม่ฉือจะไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องสตรีของเขาได้ ทว่าก็ต้องมีสักช่วงเวลาที่หานโม่ฉือไม่สามารถดูแลนางได้ และเวลานั้นก็จะเป็นช่องโหว่อันใหญ่หลวงที่ศัตรูสามารถหาประโยชน์จากมัน
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ นางเข้าใจในความห่วงใยของสหายผู้นี้ดี
“วันนี้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นบุคคลในตำนานอย่างหลินเหยียนเองกับตา เจ้าคงจะเป็นตัวนำโชคของข้าไม่ผิดแน่ ไว้มีโอกาส วันข้างหน้าเรามาร่วมทำภารกิจกันอีกนะ เจ้าก็ด้วยนะสาวน้อยเสี่ยวโร่ว”
หลินจิ้งหงยิ้มกว้าง จู่ ๆ เขาก็ทำท่าทางยียวนแล้วกล่าวติดตลกออกมาอย่างไม่จริงจัง อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นสหายกันมาจนถึงเวลานี้ ฉินอวี้โม่ก็พอจะเดาได้ว่าสหายคุณชายผู้นี้กำลังต้องการสื่อความหมายโดยใช้วาจาอ้อม ๆ ซึ่งนัยแห่งวาจานั้นก็เพียงแค่จะบอกว่า ‘เขาไม่อยากจะรับรางวัลของภารกิจนี้ ฉะนั้นไม่ต้องมาแบ่งเขา’
ดังนั้นทันทีที่หลินจิ้งหงกล่าวจบ ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มออกมา “อย่ากลัวไปเลย เป็นถึงนายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างคงไม่ร้อนเงินเป็นแน่ ข้ารู้เจ้าร่ำรวยขนาดไหน ดังนั้นข้าสัญญาจะไม่ให้เจ้าเลยแม้แต่เหรียญทองเดียว แล้วข้าก็จะให้คำมั่นด้วยว่า เงินทั้งหมดนี่ข้ากับเสี่ยวโร่วจะนำมันไปใช้อย่างคุ้มค่า”
เมื่อได้ยินคำโต้ตอบของสหายที่รู้ทันเขาไปเสียทุกเรื่อง หลินจิ้งหงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“เสี่ยวโร่ว เราไปที่โรงประมูลกันเถอะ”
เมื่อบอกลาหลินจิ้งหงเสร็จสิ้น ฉินอวี้โม่ก็พาเสี่ยวโร่วตรงไปยังโรงประมูลในทันที
นายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างมองตามแผ่นหลังบางของสหายคนงามของเขาไป กระทั่งเวลานี้บนใบหน้าหล่อเหลาก็ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม
.
.