เว่ยเต้าจื่อ สกุลเว่ย มีชื่อว่า “เต้า” เพียงตัวเดียว จื่อเป็นคำเรียกที่แสดงความเคารพ ที่จริงแล้วนี่ไม่นับว่าเป็นชื่อที่จริงจัง ความหมายของทั้งสามคำรวมกันก็คือ “ผู้มีวิชายอดเยี่ยมแห่งสกุลเว่ย”
แต่เขาก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง นิสัยอิสระเสรี มีจิตวิญญาณแห่งสำนักเต๋า เก่งกาจด้านการทหาร เข้าใจร้อยสำนักเมธี ไม่เสียชื่อของตนเลย
“หนิงยา เตรียมอาหารค่ำ” ซ่งชูอีออกคำสั่ง
“เจ้าค่ะ” หนิงยาตอบรับแล้วรีบออกไป อีกทั้งตัดสินใจว่าต่อไปจะต้องอยู่ให้ห่างจากคนหน้าไหว้หลังหลอกผู้นี้
“ข้างลานมีบ่อน้ำร้อน ศิษย์พี่ใหญ่อยากแช่น้ำหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ย
เว่ยเต้าจื่อยิ้มร่า “เยี่ยมนัก! ทว่า…”
“ข้าจะสั่งให้หมี่จีปรนนิบัติท่านอาบน้ำ” ซ่งชูอีรู้จักเว่ยเต้าจื่อดี แม้ว่าเขาบ้ากามแต่จะไม่มีวันบังคับผู้อื่นเด็ดขาด นอกเสียจากว่าหมี่จีจะสมยอมเอง ซ่งชูอีก็ไม่มีความเห็นใด
เว่ยเต้าจื่อเอ่ยด้วยความยินดี “แหม ศิษย์น้องเล็ก เจ้านี่เจ้าเอาอกเอาใจเก่งจริงๆ ศิษย์พี่ใหญ่ยิ่งชอบเจ้าทุกทีแล้ว”
“ไปชอบหญิงงามของท่านเถิด ข้าไม่เหมือนท่าน” ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความรังเกียจ
เว่ยเต้าจื่อลุกขึ้นยืน โน้มตัวเข้าหานางกระซิบเอ่ย “ลักษณะแต่กำเนิดของเจ้าไม่ค่อยดีนัก โตแล้วก็ต้องบ่มเพาะนิสัยให้ดี ในอนาคตจะต้องมีผู้ชายต้องการอย่างแน่นอน”
ซ่งชูอีรู้ว่าการอำพรางตัวของตนหนีไม่พ้นสายตาของเขาที่อ่านผู้หญิงมาแล้วนับไม่ถ้วน เอ่ยอย่างไร้อารมณ์ “ข้าจะจดจำคำของศิษย์พี่ใหญ่ ข้าจะสั่งให้คนพาท่านไปแช่น้ำก่อน แล้วจะให้หมี่จีตามไป”
“เยี่ยม!” เว่ยเต้าจื่อดีใจจนไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว
ซ่งชูอีสั่งให้คนนำทางเว่ยจื่อเต้าไปยังห้องอาบน้ำ จากนั้นก็อธิบายหมี่จีเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้นางคิดว่าตนถูกยกให้เป็นของขวัญผู้อื่นไปแล้ว
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ซ่งชูอีก็เข้าห้องหนังสือไป
พระอาทิตย์ยามอัศดงส่องให้ทั่วทั้งห้องกลายเป็นสีแดง ภายในห้องเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมที่พัดกระทบใบหญ้าและต้นไม้ในลานเท่านั้น
ซ่งชูอีนั่งลงที่ทางเดินในสวนโดยเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อ เหม่อมองกระจุกหญ้า เมื่อครู่มีชั่วอึดใจหนึ่งที่นางเหมือนกับว่าย้อนกลับไปชาติที่แล้วและเกือบจะเสียการควบคุมต่อหน้าเว่ยเต้าจื่อ
ครั้นนึกถึงตอนที่มาเสียนหยางหลังจากกลับมาเกิดใหม่ช่วงแรก นางเคยไปซื้อดาบที่ร้านตีดาบ เมื่อเอ่ยถึงนักดูดวง ชายชราผู้นั้นก็รู้ว่าบิดาของนางได้จากไปแล้ว แม้ว่าข้อมูลจะมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้างแต่ไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติ อีกทั้งร่างที่นางใช้อยู่ในตอนนี้แทบไม่ได้ต่างจากรูปลักษณ์เดิมเท่าไรนัก ทว่าเห็นได้ชัดว่าในแง่ของสถานะและประสบการณ์นั้นไม่ใช่ “ตัวนาง” คนเดิม หากบิดาในชาติที่แล้วยังอยู่ เช่นนั้นตัวนางในชาติที่แล้วจะยังอยู่หรือไม่?
ชายชราในร้านตีดาบผู้นั้นกลับมิได้สงสัยในสถานะของนาง อาจเป็นเพราะไม่ได้ยินข่าวโดยละเอียดจากสหายเก่าหลายสิบปีแล้วหรือไม่ก็เพราะรู้ว่าเขามีลูก ทว่าตามคำพูดของชายชราผู้นั้นซ่งชูอีมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นอย่างแรก
ซ่งชูอีเคยคิดถึงปัญหาเหล่านี้มาก่อน ทว่านางไม่ต้องการหมกมุ่นอยู่กับการสืบหาอดีต เพียงแต่การปรากฏตัวของเว่ยเต้าจื่อในวันนี้ทำให้นางสับสนอีกครั้ง ไม่รู้ว่าผีเสื้อฝันถึงนางหรือนางฝันถึงผีเสื้อกันแน่
“ท่านขอรับ” เสียงของเจียนดังขึ้นด้านนอก
ซ่งชูอีหันไป “เข้ามาเถิด”
เจียนสวมชุดสีดำที่มีชีวิตชีวา เนื่องจากยังไม่ได้สวมกวน ผมดกดำดุจผ้าแพรถูกถักเป็นเปียแล้วมัดเป็นช่อที่ด้านหลังของศีรษะ เผยให้เห็นใบหน้าที่เล็กเพียงฝ่ามือ รวมทั้งหูที่ใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย
ซ่งชูอีจึงนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้จะต้องพาเจียนไปฝากตัวเป็นศิษย์ “หนิงยาเป็นคนจัดการเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมให้รึ?”
“ขอรับ” เจียนค้อมตัวเอ่ย
“มีชีวิตชีวาดี” ซ่งชูอีลุกขึ้นตบๆ หลังของเขา “ตัวตรง!”
เจียนยืดตัวตรงทันใดเหมือนเสาไม้ตรงเด่ ซ่งชูอีลูบๆ ศีรษะของเขา “ไปกันเถิด”
“ท่านขอรับ…” เจียนไม่ขยับ ดวงตาดำขลับเหลือบมองนางอย่างรวดเร็ว “บ่าวต้องการอยู่กับท่าน”
ซ่งชูอียื่นมืออกไปหาเขา
เจียนอึ้งไป ซ่งชูอีคว้ามือเล็กๆ ที่ดำคล้ำ จูงมือเขาเดินออกไปข้างนอก “เรียนวิชาให้สำเร็จ เป็นชายชาตรีที่สง่าผ่าเผย หากวันหน้ายังจดจำข้าได้ ข้ายินดีต้อนรับเจ้ากลับมาทุกเมื่อ”
หมอกพร่ามัวก่อตัวขึ้นในดวงตาสีเข้มของเจียน มองมือที่จูงเขา รู้สึกว่าวันนี้ท่านอบอุ่นมากและโดดเดี่ยวมากเช่นกัน
เยียนหลีมีทุกที่เป็นบ้าน คราวนี้เพราะคุ้มกันขบวนพ่อบ้านมายังเสียนหยาง มีเหล่าพ่อค้าจัดหาที่พักชั่วคราวให้ วันนั้นซ่งชูอีได้ให้คนส่งเทียบไปและได้รับการตอบรับแล้ว จึงได้ให้หมี่จีจัดเตรียมของขวัญ เนื่องจากไม่อาจปล่อยเวลาให้เสียเปล่า จึงต้องไปในคราวนี้แล้ว
รถม้าจอดลงตรงหน้าลานห่างไกลแห่งหนึ่ง ซ่งชูอีลงจากรถม้า เดินไปเคาะประตูด้วยตัวเอง
“ใครน่ะ!” เสียงชัดเจนของผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากในลาน ทว่าไม่หยาบโลนเหมือนที่จินตนาการไว้
“ข้าน้อยซ่งหวยจิน วันก่อนส่งเทียบมา วันนี้ตั้งใจมาแวะคารวะท่านผู้กล้า” ซ่งชูอีกล่าวเสียงดัง
เงียบไปไม่กี่ลมหายใจ ไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้า ประตูใหญ่ก็เปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด เผยให้เห็นหนุ่มวัยกลางคนท่าทางสง่างามและสูงส่งผู้หนึ่ง สวมเสื้อสีเขียวแขนกว้างสะอาดสะอ้าน หนวดเคราเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้มิได้หล่อเหล่าเท่าใดทว่ามีบุคลิกที่ดียิ่ง
อีกฝ่ายราวกับคิดไม่ถึงว่าซ่งชูอีจะอ่อนเยาว์เพียงนี้ เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง กำหมัดคำนับ เอ่ยว่า “กั่วเว่ยมาไกลข้าน้อยมิได้ต้อนรับ เสียมารยาทแล้ว”
ซ่งชูอีคำนับกลับ “เพราะว่าข้าน้อยรบกวนในเวลาค่ำ เป็นฝ่ายเสียมารยาทมากกว่า ท่านผู้กล้าหลีอย่าได้ถือสา”
“กั๋วเว่ยกล่าวเกินไปแล้ว เชิญเข้ามา” เยี่ยนหลีเบี่ยงตัวให้ซ่งชูอีเข้าไปข้างใน
ทั้งสองหลีกทางให้กันจนมานั่งที่จวนหลังหลัก กล่าวคำเกรงใจสองสามคำ
ซ่งชูอีรู้สึกเวลานี้ก็ค่ำแล้วจึงไม่พูดมากอีก สถานการณ์ก็เขียนไว้ในเทียบทักทายอย่างชัดเจนแล้ว จึงเข้าประเด็น หันไปกล่าวว่า “เจียน มาคารวะท่านผู้กล้าหลีสิ”
“คารวะท่านผู้กล้าหลี” เจียนกำหมัดคารวะ
เยี่ยนหลีสำรวจเจียนสองสามรอบ ลุกขึ้นเดินไปคว้าข้อมือของเขา ตรวจชีพจรครู่หนึ่ง จากนั้นก็สำรวจเส้นเลือดและกระดูกทั่งทั้งร่างกายอีกครั้ง รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ยอดเยี่ยม”
เขากลับไปนั่งที่เดิม ถามด้วยท่าทางเคร่งขรึม “เจ้าจะยอมรับข้าเป็นอาจารย์รึ?”
ซ่งชูอีเห็นว่าเจียนนิ่งไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเย้า “ยังไม่รีบก้มหัวคำนับอาจารย์อีก!”
เจียนดึงสติกลับมา คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตึง “อาจารย์ได้โปรด…”
ซ่งชูอีสอนเขาแล้วว่าต้องพูดอย่างไร ทว่าพอเอาเข้าจริง เมื่อตื่นเต้นก็ลืมจนสิ้น เพียงโขกศีรษะดังปังปังปังสามที อย่างไรก็ดีท่าทางเงอะงะเช่นนี้กลับทำให้เยี่ยนหลีชอบใจยิ่ง “นิสัยเรียบง่ายจริงใจ เด็กดี”
หลังจากผ่านพิธีคารวะอาจารย์อย่างเรียบง่าย เรื่องนี้ก็เท่ากับเรียบร้อยแล้ว ซ่งชูอีสั่งให้คนนำของขวัญเข้ามามอบให้กับเยี่ยนหลี เป็นของขวัญคารวะอาจารย์
“เดิมทีต้องการให้ซ่งเจียนได้พูดคุยกับกั๋วเว่ยอีกสองสามวัน เพื่อลดความเศร้าโศกที่ต้องลาจาก ทว่าข้าน้อยได้นัดกับชุนเซินจวินไว้ เมื่อฟ้าสางจะต้องเดินทางไปยังรัฐฉู่ทันที คืนนี้ซ่งเจียนก็พักที่นี่ ท่านเห็นว่าเยี่ยงไร?” เยี่ยนหลีเอ่ยขอโทษ
ซ่งชูอีไม่คิดว่าจะด่วนเช่นนี้ ยังไม่ทันจะช่วยเจียนเตรียมพร้อมอย่างถี่ถ้วน หัวใจรู้สึกเบาโหวงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่าบนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มจางๆ “อาจารย์ดุจบิดา ในเมื่อเป็นอาจารย์แล้ว ข้ากับเจียนคุยกันเพียงสองสามคำก็พอ”
“เชิญกั๋วเว่ย” เยี่ยนหลีหลบออกไป
ซ่งชูอีหยิบถุงทองเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดใส่มือของเจียน “มันมีประโยชน์เสมอเมื่ออยู่ข้างนอก” ครุ่นคิดแล้ว นางก็ปลดดาบสั้นออก “ดาบสั้นเล่มนี้อยู่กับข้าก็อับอายเปล่าๆ เจ้าเอาไว้ป้องกันตัวเถิด”
นางไม่ใคร่ใช้ดาบสั้นนัก นี่ยังเป็นครั้งที่สอง หลักๆ ก็ใช้มันซือหม่าหวยอี้คราวก่อน อย่างไรเสียซือหม่าหวยอี้นั่นก็ไม่ใช่คนดี เมื่อต้องฆ่าก็ไม่ได้มีความรู้สึกผิดอะไร ทว่าไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังเป็นสามีในนามของนางในปัจจุบัน การฆ่าสามีเช่นนี้เป็นการขาดซึ่งคุณธรรมจึงเป็นเหตุผลที่นางกล่าวเช่นนี้
เจียนส่ายหน้า “ของสิ่งนี้มีค่าเกินไปแล้ว บ่าวรับไว้ไม่ได้”
“เจ้าก็เป็นคนมีครูบาอาจารย์แล้ว ต้องระวังการแทนตัวเอง!” ซ่งชูอีตักเตือน ยัดดาบใส่มือของเขา “รับไว้เถิด”
ซ่งชูอีขยี้ผมของเขา หัวเราะแล้วหมุนตัวจากไป
เจียนมองดูแผ่นหลังที่อิสระเสรีของนาง กำดาบสั้นในมือแน่น เดินตามออกไป ทว่าซ่งชูอีมิได้หันกลับมามองอีกเลย