บทที่ 269 ขโมยเสื้อผ้าอีกครั้ง

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ซ่งชูอีเพิ่งจะเดินเข้ามา ก็ถูกเจ้าอี่โหลวลากไปที่มุมกำแพง

นางจ้องตาเขม็ง “ทำอะไรน่ะ?”

“เหตุใดในจวนถึงได้มีผู้ชายแปลกประหลาดตลอดเวลา!” เจ้าอี่โหลวสีหน้าโมโห ถามเสียงกระซิบ

“คือว่า…เขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของข้า” ซ่งชูอีเอ่ย

เจ้าอี่โหลวปล่อยมือที่จับตัวนาง กล่าวอย่างไม่แปลกใจเลยสักนิด “ข้าดูออกแล้ว เจ้าไปดูเองเถิด”

ท้องฟ้ามืดมิด ทว่าซ่งชูอีฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาผิดปกติเล็กน้อย จึงโน้มตัวเข้าหาเขา เมื่อสำรวจอย่างละเอียดก็พบว่าใบหน้าของเข้ามีหูที่แดงก่ำจนน่าสงสัย ลดเสียงลงทันทีด้วยความตื่นเต้น “ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าไปตกเบ็ดสาวใช้ในจวนเข้า?”

เจ้าอี่โหลวพยักหน้า

ซ่งชูอีโก่งตายิ้ม ดึงมือของเขา “ไป พวกเราไปดูกัน”

คนอื่นเขาทำเรื่องประเภทนี้มีอะไรน่าดูกัน? เดิมทีเจ้าอี่โหลวต้องการปฏิเสธ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยเห็นท่าทางเหมือนเด็กที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้มาก่อน จึงตามนางไปแล้ว

ทั้งสองคนเดินย่องไปถึงใต้หน้าต่างของห้องหนึ่งในลานด้านหลัง ได้ยินเสียงครางของเด็กสาวดังมาจากข้างในแผ่วเบา ซ่งชูอีดึงปิ่นที่อยู่บนเครื่องกวนออกมาแล้วใช้ปลายแหลมจิ้มสองรูเบาๆ ที่ผืนผ้าไหมบนหน้าต่าง ส่งสัญญาณว่าแบ่งให้เจ้าอี่โหลวรูหนึ่ง

ในห้องไม่ได้จุดไฟ ทว่าแสงจันทร์สาดส่องอยู่บนเตียงจากหน้าต่างด้านหลัง สามารถเห็นทั้งสองคนนัวเนียกันจนเสื้อผ้ายุ่งเหยิงได้อย่างชัดเจนและดูเหมือนว่าเพิ่งเข้ามาได้ไม่นานเท่าไร

ซ่งชูอีมองดูอย่างสนอกสนใจ เจ้าอี่โหลวที่อยู่ข้างๆ หน้าแดงหูแดง อยากดูแต่ก็ไม่อยากดู ในใจรู้สึกสับสนทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่ละสายตาเลย

เพียงครู่เดียวทั้งคู่ก็ถอดเสื้อผ้าของกันและกันออก โยนเสื้อผ้ากระจัดกระจายเต็มเตียง

“อ๊า!” ทันใดนั้นหญิงสาวก็ร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด

“ยังเป็นสาวบริสุทธิ์รึ?” เว่ยเต้าจื่อพูดพลางปฏิบัติต่อหญิงสาวที่อยู่ใต้ร่างด้วยความอ่อนโยนมากขึ้น

ในสมัยนี้ค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องของการมีสัมพันธ์เช่นนี้ โดยมากจะเป็นเด็กสาวในตระกูลสูงศักดิ์ที่ค่อนข้างเคร่งครัด แต่ก็มีหญิงสาวจำนวนมากที่ทำเรื่องอย่างว่าขณะที่ยังไม่ได้ออกเรือน บุตรสาวของราษฎรทั่วไปกับบ่าวรับใช้ยิ่งไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ ตราบใดที่สองฝ่ายเต็มใจก็สามารถกลายเป็นเรื่องดีได้ แม้ว่าอนาคตต่างคนต่างแต่งงานก็ไม่เป็นอุปสรรคอะไร

ซ่งชูอีเห็นว่าคนบนเตียงทั้งสองคนค่อยๆ เข้าด้ายเข้าเข็มก็แสยะยิ้ม ย่องไปที่ประตูแผ่วเบา เอื้อมมือผลักเบาๆ ก็พบว่ามันถูกลงกลอนจากข้างใน

เจ้าอี่โหลวที่เคยเห็นฉากเหล่านี้แล้วกำลังดูอย่างจริงจัง ไม่ได้สังเกตการกระทำของซ่งชูอี

นางใช้ปิ่นเสียบผ่านรอยแยกของประตู ปลดกลอนช้าๆ นางทำเรื่องเช่นนี้ตั้งแต่หกเจ็ดขวบจนถึงสิบกว่าปี ชำนาญเป็นอย่างยิ่ง มันง่ายดายเหมือนปอกกล้วย

คนสองคนที่กำลังมีเพศสัมพันธ์กันอยู่ในห้องจะมีกะใจสนใจเสียงเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างไร ด้วยความบังเอิญ ซ่งชูอีคลำทางไปตามความมืด ทันทีที่คลานเข้าไปใต้โต๊ะแล้วยื่นศีรษะออกมา เสียงเอี๊ยดอ๊าดบนเตียงก็หยุดลงกะทันหัน ทว่าซ่งชูอีมีสติกว่าคนธรรมดาทั่วไป ยื่นมือคลำเสื้อตัวหนึ่งแล้วคลุมศีรษะของตัวเองที่โผล่ออกมาด้วยความใจเย็น

เงียบไปสักพัก ขาบอบบางคู่หนึ่งก็หยุดอยู่ข้างใบหน้าทั้งสองข้างของนาง ซ่งชูอีค่อยๆ เปิดผ้าคลุมออก โผล่ตาข้างหนึ่งออกมา เห็นว่าหญิงสาวผู้นี้กำลังกางขาออกพอดี โก้งโค้งอยู่บนโต๊ะ หน้าอกขาวเหมือนซาลาเปาห้อยต่องแต่งอยู่ตรงหน้า

“อืม” หญิงสาวส่งเสียงอู้อี้ ตัวพุ่งพรวดไปข้างหน้า ลำตัวท่อนบนนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ ศีรษะของซ่งชูอีอยู่ระหว่างขาของหญิงสาวคนนั้น จู่ๆ ซาลาเปาขาวๆ ก็หายไป ทว่ากลับเห็นตำแหน่งนั้นที่สำคัญกว่าเข้าพอดี…

แม้ว่าแสงสลัวมาก แต่ก็สามารถมองเห็นภาพรวมได้อย่างคลุมเครือ

นี่…นี่มันกำไรชัดๆ! ซ่งชูอีลอบอุทานหายใจ โผล่ดวงตาทั้งคู่ออกมา

เจ้าอี่โหลวเห็นทั้งคู่อยู่ในท่านั้นท่านี้ ตัวก็เริ่มร้อนผ่าวอย่างช่วยไม่ได้ บังคับให้ตัวเองละสายตา ครั้นหันมาก็พบว่าซ่งชูอีหายไปแล้ว! เขามองไปรอบทิศ เมื่อเห็นว่าประตูห้องถูกเปิดอยู่ก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ รีบมองเข้าไปข้างในผ่านรูบนหน้าต่างอย่างละเอียดอีกครั้ง

ในห้องนอกเหนือจากแสงจันทร์ที่ส่องอยู่บนเตียงแล้ว พื้นที่ส่วนอื่นก็อึมครึม ทว่าผู้ที่ฝึกวิชาป้องกันตัวมีสายตาเป็นเลิศ กวาดสายตาทั่วห้องรอบหนึ่งก็พบว่ามีขาคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากใต้โต๊ะ…

เจ้าอี่โหลวตื่นตระหนกเล็กน้อย ลังเลอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งก็แอบเข้าไปเงียบๆ เขากระโดดขึ้นไปบนหลังคาจากห้องด้านนอกเบาๆ คลำทางเข้ามาในห้องจากด้านบน นั่งยองๆ อยู่เหนือโต๊ะเพื่อดูสถานการณ์เบื้องล่างด้วยความตื่นเต้นและเป็นกังวล

เด็กสาวคนนี้ไม่รู้ประสาอีกทั้งเขินอายเล็กน้อย จึงหลับตาอยู่ตลอดเวลา หากนางเขยิบตัวไปข้างหน้าอีกนิด แล้วลืมตาขึ้นก็จะสามารถเห็นซ่งชูอีได้ทันที

ซ่งชูอีเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วพบว่าทั้งสองยิ่งร้อนแรงขึ้นทุกที เสียงของเด็กสาวยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ก็คลานไปข้างหน้าช้าๆ

ขณะที่พวกเขากำลังเข้าถึงจุดสำคัญ ในหัวก็ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ต่อให้รู้สึกถึงความผิดปกติก็ไม่มีทางที่จะเต็มใจหยุด หลังจากซ่งชูอีคลานออกมาแล้วก็เก็บเสื้อผ้าทุกตัวบนเตียงมากอดไว้ในอ้อมแขนอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งออกไปราวกับสายลม

หลังจากที่ทั้งสองคนในห้องเสร็จกิจแล้ว กลับเห็นเพียงแผ่นหลังคลุมเครือพุ่งออกไป

“ฮี่ฮี่” ซ่งชูอีแอบหัวเราะ แขวนเสื้อของทั้งสองคนไว้ที่ทางเดินฝั่งตรงข้าม หลังจากเข้าแอบในที่มืดแล้วจึงพบว่าไม่รู้เจ้าอี่โหลวหายไปไหน รู้สึกเสียใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่ช้าประตูห้องก็เปิดออกตามคาด เว่ยเต้าจื่อที่อยู่ข้างในโผล่ศีรษะออกมา ครั้นเห็นว่าในลานไม่มีคนก็พุ่งตัวออกมาเก็บเสื้อผ้าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ครั้งนั้นที่เว่ยเต้าจื่ออยู่ในป่า ไม่รู้ว่าถูกชาวบ้านที่ผ่านมาขโมยเสื้อไปหรือว่าถูกลมพัดปลิวไป เคยมีประสบการณ์เปลือยกายในยามราตรีมาแล้วครั้งหนึ่ง ทว่าสุดท้ายแล้วนั่นคือป่าเขาที่ร้างผู้คน ต่อให้วิ่งสักสิบลี้ก็ไม่มีใครเห็น แต่ว่าครั้งนี้มันบ้าเกินไปแล้ว!

เว่ยเต้าจื่อคิดในใจ อย่าถูกใครเห็นเข้าเชียว! มิฉะนั้นชื่อเสียงที่สั่งสมมาป่นปี้เป็นแน่!

สวรรค์ช่างไม่ให้สมปรารถนา ทันทีที่เขาคิดเช่นนี้ก็ได้ยินเสียงสดใสดังขึ้น “ท่านเจ้าคะ ท่านมหา…”

แสงจันทราสุกใส หนิงยาเพิ่งจะเข้าประตูเล็กมาก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งเปลือยกายอยู่ในลาน ตกตะลึงพรึงเพริดทันใด “เจ้า เจ้า…อ๊า!”

หนิงยายกสองมือปิดตา

เว่ยเต้าจื่อไอทีหนึ่ง สวมเสื้อผ้าอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “นังหนูน้อย เจ้ารู้น้อยเห็นน้อยจึงเห็นเรื่องธรรมดาเป็นเรื่องประหลาด”

จนกระทั่งเว่ยเต้าจื่อกลับเข้าไปในห้อง หนิงยาจึงพุ่งไปยังห้องหนังสือทั้งน้ำตา “ท่านเจ้าคะ…”

ซ่งชูอีตะโกนเรียก “หนิงยา”

“ท่าน?” หนิงยาหยุดเดินทันใด มองไปที่หลังคาใกล้ๆ “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ?”

“แค่ก เมื่อครู่ข้าผ่านมา เห็นศิษย์พี่ใหญ่กำลังอาบแสงจันทร์ จึงมิได้รบกวน หาข้ามีเรื่องอะไร?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

อาบแสงจันทร์? ในใจของหนิงยาเต็มไปด้วยคำถาม แต่เมื่อได้ยินซ่งชูอีถามถึงธุระแล้ว ก็หยิบกระบอกไผ่อันหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายส่งคนให้นำข่าวมาให้ท่านเจ้าค่ะ”

ซ่งชูอีเคยขอให้จางอี๋เตรียมข่าวทางรัฐเว่ยให้นางด้วย เมื่อเช้าเขาเพิ่งจะฝากข่าวมาทางชูหลี่จี๋ครั้งหนึ่ง กลางคืนก็ตั้งใจสั่งคนส่งมาให้อีกครั้งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ามีข่าวบางอย่างที่สำคัญ!

เมื่อระลึกได้ดังนี้ ซ่งชูอีก็ทิ้งการเล่นซุกซนเมื่อครู่ทิ้งไป กลับไปยังห้องหนังสือด้วยความเร่งรีบ

“จุดไฟ” ซ่งชูอีเอ่ย

หนิงยาจุดไฟสองสามดวงในห้องที่อยู่ใกล้โต๊ะที่สุดก่อนด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็ค่อยๆ จุดดวงอื่น

ซ่งชูอีหยิบหนังสือผ้าไหมออกมาจากกระบอกไผ่ อ่านโดยละเอียดรอบหนึ่ง

ในจดหมายกล่าวถึงองค์ชายซื่อ ต้นตระกูลมารดาขององค์ชายท่านนี้ไม่เทียบเท่าองค์รัชทายาท ทว่าเขาฉลาดมากที่ปฏิบัติตัวดีต่อองค์รัชทายาทคนก่อน ทำให้ได้รับความเอ็นดูไม่น้อย สิ่งสำคัญที่สุดคือเขามีความเห็นแตกคอกับซิ่นหลิงจวินเล็กน้อยในงานเลี้ยงเมื่อเร็วๆ นี้

ในฐานะที่ซิ่นหลิงจวินเว่ยอู๋จี้เป็นผู้นำองค์ชายทั้งสี่แห่งจั้นกั๋ว เขาไม่เพียงเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ อีกทั้งยกย่องผู้มีปัญญา เลี้ยงแขกที่ปรึกษานับร้อยในต้าเหลียงเป็นกองกำลังของตัวเอง เว่ยอ๋องหวาดกลัวทว่าเขาก็ให้ความสำคัญต่อความสามารถของซิ่นหลิงจวินเป็นพิเศษ ทั้งยังมอบหมายงานใหญ่ให้เขาทำมากมาย

สำหรับรัฐฉินแล้ว ซิ่นหลิงจวินเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ในการพัฒนาไปทางตะวันออกของรัฐฉิน จะต้องคิดหาทางกำจัด

แน่นอนว่าไม่สามารถกระทำการลอบฆ่าได้โดยตรง ต่อให้โชคดีประสบความสำเร็จ แขกที่ปรึกษาเหล่านั้นจะไม่ต่อสู้กลับอย่างดุเดือดหรือ? ในโลกนี้มีคนทำเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ไม่น้อย ทว่าผู้ที่ให้ความสำคัญกับคุณธรรมก็มีมากเช่นกัน

ซ่งชูอีวางหนังสือผ้าไหมลง ยกตะเกียงขึ้นเพื่อไปดูแผนที่ขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนกำแพง สายตาหยุดอยู่ที่ “หลีสือ” สองคำนี้ ตรงนั้นคือจุดอันตรายระหว่างรัฐฉิน อวี้ฉวี และรัฐเว่ย บัดนี้มันเป็นอาณาเขตของรัฐฉิน

ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ซ่งชูอีก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยชื่อหนึ่งออกมาเชื่องช้า “สวีจ่างหนิง”

คราวก่อนในโรงสุรา ซ่งชูอีใช้โอกาสในการโต้วาทีกับเขาเพื่อสร้างชื่อเสียงให้เจินอวี๋ ไม่รู้ว่าบุคคลนี้ยังอยู่ในเสียนหยางหรือไม่…

“หวยจิน”

ซ่งชูอีหมุนตัวมา เห็นคนหนึ่งในชุดคลุมแขนกว้างสีขาวขุ่นปักลายไหมรูปสัตว์สีเงิน ในความอบอุ่นนั้นซ่อนไว้ซึ่งความหยาบคาย ผมสีดำที่เปียกชื้นเล็กน้อยถูกมัดไว้ด้านหลัง ใบหน้าหล่อเหลาแดงระเรื่อจากการแช่น้ำร้อน

จู่ๆ ลมก็พัดเข้ามา มันเป่าให้ดวงไฟในห้องพลันวูบพลันสว่าง ซ่งชูอียกมือขึ้นมาป้องไฟที่อยู่ในมือ พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่พาเขาไปดู “การต่อสู้ที่แท้จริง” แล้วพลัดหลงกับเขา ไอเสียงหนึ่งเอ่ยว่า “เจ้ากลับห้องนอนก่อนเถิด ข้าจะไปอาบน้ำ”

นางเพิ่งมุดอยู่ใต้โต๊ะ ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่น

“อืม” เจ้าอี่โหลวหันหลับไปเงียบๆ แล้วออกจากห้องไป

ซ่งชูอีประหลาดใจยิ่ง การแสดงออกเช่นนี้มันมหัศจรรย์เกินไปแล้ว! หรือว่าเขาจะถูกกระตุ้นจากการดูฉากเมื่อครู่?

“ทั้งๆ ที่มืดเพียงนั้น มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง” ซ่งชูอีบ่นพึมพำ วางตะเกียงลงแล้วไปที่ห้องอาบน้ำ

ต้นฤดูร้อน ซ่งชูอีไม่อยากแช่น้ำ จึงล้างตัวลวกๆ อยู่ในถังน้ำรอบหนึ่ง

“เจ้าหิวหรือไม่?” เมื่อกลับถึงห้องนอน เห็นว่าเจ้าอี่โหลวกำลังอ่านหนังสืออยู่ภายใต้แสงไฟ ซ่งชูอีลูบท้องพร้อมโน้มตัวเข้าไป

เจ้าอี่โหลวพยักหน้า

ซ่งชูอีกล่าวด้วยความดีใจ “พวกเราไปหาของกินในครัวกัน”

ทั้งสองคนเข้าไปในห้องครัวโดยอาศัยแสงสว่างจากดวงจันทร์

หากันอยู่สักพัก เจอเพียงแป้งทอดแห้งๆ สองชิ้น ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ เก็บของไว้ไม่ได้นาน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียของจึงปรุงอาหารแล้วก็กินทันที

พวกเขาถือแป้งทอดนั่งลงบนบันไดหินหน้าประตูห้องครัว แบ่งให้กันและกัน

แสงจันทราสุกใส สายลมยามค่ำคืนเย็นสบาย ดวงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า งดงามเป็นอย่างยิ่ง และมีสองคนกำลังก้มหน้ากัดแป้งทอดอย่างเอร็ดอร่อย

ครั้นกลับถึงห้องนอน เจ้าอี่โหลวรินน้ำชาถ้วยหนึ่ง หันตัวไปเห็นซ่งชูอีกำลังหมอบอยู่ข้างประตู จึงเอียงศีรษะถาม “เจ้ากำลังทำอะไร?”

ซ่งชูอีรีบเอาสายรัดเอวผูกกลอนประตูรอบแล้วรอบเล่า หลังจากมั่นใจว่ามันแน่นแล้วก็ตรวจสอบหน้าต่างอีกครั้ง

เจ้าอี่โหลวนึกถึงตอนที่ซ่งชูอีบุกเข้าไปในห้องของเว่ยเต้าจื่อ ใบหน้าก็แดงก่ำ

“ปลอดภัยแล้ว นอนเถิด” ซ่งชูอีปรบๆ มือ

เจ้าอี่โหลวกลัวว่าซ่งชูอีจะมองเห็นความเขินอาย กลับหลังหันอย่างรวดเร็ว เดินเข้าไปในห้องด้านในก่อน

“เหตุใดวันนี้จึงรีบร้อนนัก?” ซ่งชูอีเข้าใจในทันที จะต้องถูกกระตุ้นเพราะฉากนั้นแน่ๆ ครั้งนี้จึงเป็นผู้ริเริ่มก่อน

ไม่ง่ายเลยนะ! ซ่งชูอีดีใจ วิ่งเข้าไปในห้องด้วยฝีเท้าแผ่วเบาแล้ว