บทที่ 559 ฝูงชนก่อการจราจล
หนิงเมิ่งเหยาได้ข่าวมาว่าหนานกงเยี่ยนอยู่ที่เหมียวเจียง
ร่างกายของหนานอวี่แข็งเกร็ง และมองหญิงสาวอย่างไม่อยากเชื่อ “พี่สะใภ้ ท่านหมายความว่า…”
“ใช่ ข้าได้รับข่าวมาว่าท่านพ่ออยู่ในเหมียวเจียง ท่านแม่ของข้าก็เช่นกัน หลังจากเรื่องนี้จบลง พวกเราจะไปที่นั่น เพื่อพบกับราชครูคนนั้น”
เรื่องราวทุกอย่างเกิดจากราชครูคนนั้น หญิงสาวจึงต้องการรู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
“พี่สะใภ้ ขอบคุณขอรับ” หนานอวี่พยายามข่มความตื่นเต้นดีใจ และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ไม่เป็นไร ทำงานต่อเถอะ” หนิงเมิ่งเหยาโบกมือพลางเอ่ยตอบ
หลังจากหนานอวี่จากไป ชิงซวงก็เข้ามายืนข้างๆ หญิงสาว “คุณหนูเจ้าคะ…”
“ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว มันไม่ใช่แค่เรื่องของพวกเจ้า แต่มันเกี่ยวกับท่านพ่อท่านแม่ของข้าด้วย” หนิงเมิ่งเหยาพูดขณะมองตรงไปข้างหน้า
ทั้งชิงซวงและหนานอวี่ต่างอยู่เคียงข้างหญิงสาวมาเสมอ ดังนั้นนางจึงต้องดูแลพวกเขา
ชิงซวงยิ้มอย่างแผ่วเบา “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
สามวันต่อมา หนานอวี่เดินทางมาถึงชายแดน และพบกับเฉียวเทียนช่าง ในเวลานั้น ชายแดนของเมืองหลิงกำลังเจอกับวิกฤต
“สถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง” เฉียวเทียนช่างมองหนานอวี่และเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว
“ทุกอย่างปกติดีแล้วขอรับ นายท่าน พี่สะใภ้วานให้ข้านำของมาให้ นอกจากนี้…” หนาอวี่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้นให้ชายหนุ่มฟัง
เฉียวเทียนช่างเคาะโต๊ะด้วยมือข้างหนึ่ง จากนั้นจึงอมยิ้มเล็กน้อย “มีใครกระจายข่าวเรื่องที่พวกเรามียาถอนพิษที่นี่แล้วหรือไม่”
หากปล่อยข่าวนี้ออกไป ผู้คนที่ถูกวางยาพิษจะต้องมุ่งหน้ามาที่ชายแดน และแน่นอนว่าเหล่าทหารจากเมืองหลิงคงไม่ยอมปล่อยพวกเขาออกไป เมื่อถึงเวลานั้น เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางทีอาจจะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดก็เป็นได้
และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เฉียวเทียนช่างคิด หลังจากที่ข่าวแพร่สะพัดไป ก็มีผู้คนมากมายรีบเดินทางมายังชายแดน เพราะเกรงว่าหากมาช้า จะไม่ได้รับยาถอนพิษก็เป็นได้
“พวกเจ้าทุกคนจงกลับไปเสีย” ผู้คนมากมายมารวมตัวกันตรงประตูชายแดนของเมืองหลิง และต่างมองดูเหล่าทหารที่เฝ้าประตูอยู่นั้นอย่างโกรธเคือง
สายตาอันเกรี้ยวกราดเหล่านั้น ราวกับว่าพวกเขาต้องการที่จะกินเลือดกินเนื้อคนตรงหน้าก็ไม่ปาน
ฮ่องเต้ให้คำอธิบายกับเรื่องนี้เช่นไรกัน เขาคือคนที่คัดเลือกพ่อค้าหลวงด้วยตนเอง และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นในตอนนี้ เขากลับบอกว่าตนเองไม่เกี่ยวข้อง และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นนั้นหรือ
เขาคิดว่าประชาชนเป็นคนโง่เขลาหรืออย่างไร
แม้ว่าผู้คนยังไม่ได้ก่อการจราจลใดๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่คิดหาวิธีอื่นๆ และหลังจากที่ได้ยินว่าเมืองเซียวมียาถอนพิษ ตอนนี้ทุกคนต่างก็รีบมุ่งหน้ามาที่นี่ในทันที
ผู้คนที่มาถึงส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวที่มีอายุประมาณยี่สิบถึงสามสิบปี พวกเขาต่างต้องการที่จะมีชีวิตต่อ เพราะยังไม่อยากตาย
“ขณะนี้ กองทัพของทั้งสองเมืองกำลังต่อสู้กัน พวกเจ้าทุกคนจะเอาแต่ใจเช่นนี้หรือ” เจ้าหน้าที่ทหารที่ทำหน้าที่ปกป้องเมืองพูดอย่างฉุนเฉียว ขณะมองหนุ่มสาวเหล่านั้นอย่างไม่พอใจ
เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างเย้ยหยัน “นายน้อยผู้นี้ไม่สนใจว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ หากเจ้าไม่ยอมเปิดประตู เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่”
“ไม่มีทาง หากพวกเจ้าทุกคนจงใจก่อจราจลกันเช่นนี้ ก็อย่าโทษว่าพวกเราโหดร้ายเลย” ท่านแม่ทัพที่กำลังรักษาเมืองมีท่าทีเคร่งเครียด เขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทางฝั่งของฮ่องเต้มาบ้างเล็กน้อย และขณะนี้ เมืองหลิงกำลังเผชิญกับความขัดแย้งทั้งจากประชาชนภายในและข้าศึกจากภายนอก ก่อนหน้านี้มันยังไม่ร้ายแรงนัก แต่ทว่าตอนนี้ มันมาถึงจุดแตกหักแล้ว
ชายหนุ่มผู้นั้นมองท่านแม่ทัพที่รักษาเมืองด้วยแววตาอันน่ากลัว “ก็ได้ นายน้อยผู้นี้จะจำเอาไว้ ไปกันเถอะ” หลังจากพูดจบ เขาก็หมุนตัวจากไป และไม่มีท่าทีกระฟัดกระเฟียดเหมือนตอนแรก
หลังจากเห็นชายหนุ่มผู้นั้นจากไป เหล่าทหารที่รักษาเมืองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดีที่ยังไม่ต้องต่อสู้กัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อชายผู้นั้นกลับเข้ามาในโรงเตี๊ยมที่เขาพำนักอยู่ชั่วคราว เขาก็สั่งองครักษ์ของตน “ตามหาท่านแม่ทัพของเมืองเซียวให้เจอ บอกเขาว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาต้องการ ขอเพียงแค่เอายาถอนพิษมาให้ข้าเท่านั้น”
เขากำลังจะตาย แล้วจะปกป้องให้เมืองนี้คงอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เมืองนี้หลอกลวงประชาชนของตนเองเลยด้วยซ้ำ
“ขอรับ นายน้อย”
เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นในห้องพักมากมายของโรงเตี๊ยมแต่ละแห่ง
คืนนั้น เฉียวเทียนช่างพบเจอผู้คนจำนวนมาก และพวกเขาต่างมีความตั้งใจเหมือนกันคือต้องการยาถอนพิษ และพร้อมที่จะช่วยเหลือชายหนุ่มเปิดประตูเมือง
“ข้าต้องปรึกษาเรื่องนี้กับคนอื่นๆ ด้วย แต่ระหว่างนี้ พวกเจ้าทุกคนรับยาไปหนึ่งเม็ดก่อนก็แล้วกัน”
บทที่ 560 โคแก่กินหญ้าอ่อน
เฉียวเทียนช่างมองหนานอวี่ที่อยู่ด้านข้าง อีกฝ่ายผงกศีรษะเป็นเชิงรับคำสั่ง ก่อนจะมอบยาให้กับผู้คนเหล่านั้นคนละเม็ด
ผู้คนต่างไม่คาดคิดว่าตนเองจะได้รับยา แม้ว่าจะมีเพียงเม็ดเดียว แต่พวกเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้น
“ท่านแม่ทัพเฉียว ถ้าเช่นนั้น พวกเราขอตัวกลับก่อน และจะรอฟังคำตอบจากท่านขอรับ หากท่านแม่ทัพเฉียวยินดีที่จะร่วมมือด้วย ก็จุดไฟแท่งนี้ได้เลยขอรับ” หนึ่งในคนเหล่านั้นเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง พร้อมกับยื่นคบเพลิงให้
หลังพวกเขาจากไป เฉียวเทียนช่างก็ยืนมองเมืองหลิงด้วยแววตาเยือกเย็น อีกไม่เกินสามวัน เหล่าทหารจากเมืองเฟิงก็จะตามมาสมทบ และเมื่อพวกเขามาถึง ฝ่ายของเฉียวเทียนช่างก็จะลงมือโจมตีทันที
หนานอวี่มองผู้คนที่จากไป พลางขมวดคิ้ว “นายท่านขอรับ พวกเขาจะกลับคำหรือไม่ขอรับ”
“ไม่หรอก นายท่านของพวกเขาเป็นคนร่ำรวยและมีอำนาจ พวกเขาย่อมรู้ถึงผลลัพธ์ของยาชนิดนี้ดี” หากมีคนคิดไม่ซื่อในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกอย่างก็คงจะไร้ความหมาย
“ไปตามเหลยอันมา”
“ขอรับ”
หลังจากผ่านไปสองก้านธูป เหล่าพลทหารแม่ทัพจากเมืองเซียวก็เข้ามารวมตัวในกระโจมของเฉียวเทียนช่าง เมื่อพวกเขาได้ยินแผนการของชายหนุ่ม ต่างก็พูดไม่ออก ‘มันจะง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ’
อย่างไรก็ตาม เฉียวเทียนช่างก็กล่าวขึ้นมาว่า “ไม่ว่าตอนนี้เมืองหลิงจะเกิดเรื่องโกลาหลเพียงใด แต่พวกเขาก็ยังมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับเหมียวเจียงอยู่ ดังนั้นพวกเราจึงต้องระมัดระวังตัวให้ดี”
“รับทราบขอรับท่านแม่ทัพ”
ชายหนุ่มผงกศีรษะ ก่อนจะออกคำสั่งเรื่องอื่นๆ จากนั้นจึงโบกมือให้พวกเขาออกไป เขาขมวดคิ้วและดูเหนื่อยล้าอย่างมาก
เฉียวเทียนช่างนอนบนเตียงและมองกระโจมด้านบนอย่างเหม่อลอย เขาไม่ได้พบหน้าภรรยาและลูกน้อยมานานแล้ว แต่ก็ต้องข่มความรู้สึกของตนเองด้วยภาระงานที่มากมาย มิเช่นนั้นเขาก็คงจะคิดถึงคนรักและลูกชายมากจนเกินไป
ชายหนุ่มบีบนวดขมับของตน ครั้งนี้เขาไม่รู้เลยว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะได้กลับไปหาครอบครัวของตน
เขาเพียงแค่หวังว่าเรื่องราวจะจบลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้เหลยอันเองก็กังวลใจ และอยากจะกลับไปเช่นกัน
หนิงเมิ่งเหยายิ้มอย่างอดไม่ได้หลังจากได้ยินข่าวจากชายแดน เขาคือเทียนช่างตัวจริงที่นางสามารถคาดเดาความคิดได้
“คุณหนู ฝั่งนั้นเริ่มลงมือแล้ว ถ้าเช่นนั้น ทางด้านของเรา…”
“ยึดร้านค้าทั้งหมดจากพ่อค้าหลวงในเมืองหลิง” หญิงสาวยิ้มมุมปากขณะพูดกับชิงจู๋
อู๋โยวได้ยินดังนั้นก็หนังตากระตุก “เจ้าคงไม่คิดที่จะยึดครองกิจการทั้งหมดของพ่อค้าหลวงหรอกใช่ไหม” ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เมื่อผนวกกับกองกำลังของทงเป่าไจแล้วล่ะก็ นางจะกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในเมืองหลิง
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า “มันดีกว่าให้คนอื่นได้เปรียบ ข้าจึงต้องฉกฉวยโอกาสนี้เอาไว้เอง เจ้าไม่เห็นด้วยหรือ”
อู๋โยวไม่อาจโต้เถียงเหตุผลของหนิงเมิ่งเหยาได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่เฝ้าดูอย่างเงียบๆ ลึกๆ แล้วเขาเองก็เห็นด้วยกับแผนการของนาง
“ข้าเกรงว่าครั้งนี้ หลิงฮ่องเต้คงจะต้องร่ำไห้เป็นแน่” อู๋โยวพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
หนิงเมิ่งเหยามองชายหนุ่มจากด้านข้าง “แล้วเจ้าไม่ดีใจหรือ”
“ข้าเพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น” อู๋โยวยักไหล่และทำทีท่าใสซื่อ
“ช่างเถอะ ข้าไม่พูดเรื่องนี้กับเจ้าต่อแล้ว เจ้าติดตามชิงจู๋เพื่อช่วยดูแลเรื่องนี้เถอะ แต่อย่าลืมแต่งหน้าเสียบ้าง”
“เจ้าไม่รู้จักคำว่ารักษาน้ำใจหรืออย่างไรกัน” อู๋โยวพูดอย่างเคร่งขรึม จริงๆ แล้วเขาก็คิดที่จะยึดธุรกิจที่เขาเคยบริหารจัดการมาเช่นกัน แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะคิด ถึงกระนั้น หญิงสาวผู้นี้กลับทำให้เขาสามารถทำมันได้จริง
หนิงเมิ่งเหยามองอู๋โยวอย่างสุขุม ดวงตาของนางนั้นราวกับกำลังขู่ ‘เจ้าไม่กล้าที่จะไปหรือ’
อู๋โยวสำลัก และลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปหาชิงจู๋ และลากตัวนางออกไป “ไปกันเถอะ”
เมื่อชิงจู๋ถูกลากตัวออกไปอย่างงุนงง นางก็รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก และทำได้เพียงมองชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะหันกลับมามองหญิงสาวที่อยู่ด้านหลัง
ชิงซวงเดินมาหาหนิงเมิ่งเหยา ก่อนจะพูดพึมพำอย่างไม่พอใจ “โคแก่กินหญ้าอ่อน เขาคิดจะจีบชิงจู๋ของเราจริงๆ “
ในตอนแรก หนิงเมิ่งเหยารู้สึกตลกขบขัน แต่เมื่อได้ยินคำพูดของชิงซวง นางก็รู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย
“อะไรกัน เจ้าไม่ต้องการให้ชิงจู๋แต่งงานมีครอบครัวหรือ” หญิงสาวอดที่จะถามไม่ได้
“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น” ชิงซวงเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
นางเพียงรู้สึกว่าชิงจู๋เป็นน้องสาวคนเล็กของพวกเขา แล้วจะปล่อยให้ถูกคนอื่นหลอกลวงได้อย่างไรกัน
หนิงเมิ่งเหยายื่นมือไปตบไหล่ชิงซวง “ชิงจู๋มีความคิดเป็นของตัวเอง เราทำได้เพียงแค่ให้คำแนะนำแก่นาง แต่ไม่อาจเข้าไปบงการอะไรได้”