บทที่ 561 หลิงฮ่องเต้กระอักเลือด + บทที่ 562 ไม่มีข้าวเที่ยงให้

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 561 หลิงฮ่องเต้กระอักเลือด

ณ เมืองหลิง ชิงจู๋และอู๋โยวกำลังต่อสู้เพื่อปกป้องอาณาเขตภายในเมืองหลวงอยู่ ทั้งสองล้วนเต็มใจสู้เพื่อปกป้องสถานที่แห่งนั้น ส่วนทางด้านเหล่าทหารบริเวณชายแดนที่ได้รับยาแก้พิษไป พวกเขาต่างรู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่ายาแก้พิษนั้นสามารถใช้การได้ ตอนนี้พวกเขารอเพียงคำสั่งจากเฉียวเทียนช่างและพรรคพวกเท่านั้น

หากไม่ได้ล้างแค้นให้สมใจ พวกเขาคงอยู่ไม่สุขแน่

ในวันที่สี่นับจากวันที่นายน้อยผู้ร่ำรวยก่อเหตุวุ่นวายขึ้น ผู้คนที่อยู่ติดกับชายแดนเมืองหลิงต่างก็ต้องหน้าถอดสีไปตามๆ กัน เหตุผลนั้นไม่ใช่ใดอื่น หากแต่เป็นเพราะสายตาอันหิวกระหายที่เมืองเซียวจับจ้องมายังเมืองหลิงของพวกตน มิหนำซ้ำเมืองเฟิงเองก็ยังไม่ยอมพลาดความสนุกในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่เมืองเล็กๆ ที่อยากได้ส่วนแบ่งก็ยังมาเข้าร่วมศึกในครั้งนี้ด้วย นั่นหมายความว่าเมืองหลิงในเวลานี้กำลังถูกศัตรูล้อมจากรอบด้าน

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าคนแรกที่รู้ข่าวจะต้องเป็นหลิงฮ่องเต้ เมื่อเขารู้ว่าเมืองหลิงถูกหลายเมืองล้อมเอาไว้ หลิงฮ่องเต้ก็ถึงกับกระอักเลือดออกมา ใบหน้าของเขาซีดเผือด

“จบกัน… ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว”

“ฝ่าบาท ลองหาช่องทางติดต่อคนจากเหมียวเจียงแล้วขอให้เขามาช่วยไหมพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีที่ยืนอยู่ข้างกายของหลิงฮ่องเต้เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลิงฮ่องเต้ส่ายหน้า “ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมลงมือแน่”

หลิงฮ่องเต้นั้นไม่ใช่คนโง่ เขาโยนความผิดทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องพ่อค้าหลวงให้คนพวกนั้นไปแล้ว ดังนั้น ในเวลานี้พวกเขาคงต้องรู้สึกไม่พอใจอยู่เป็นแน่ และนั่นหมายความว่าความร่วมมือระหว่างเขากับเหมียวเจียงนั้นได้สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าชาวเหมียวเจียงที่เคยอยู่ที่นี่ต่างก็กลับออกไปจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียวแล้วด้วยซ้ำ แล้วเขาจะไปหาคนผู้นั้นได้ที่ไหนกันเล่า เขาจะไปติดต่อพวกเขาได้ที่ไหน

ในเวลานี้ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถช่วยเขาได้ เขามีเรื่องบาดหมางกับเหมียวเจียง และแตกหักกับจวนผู้สำเร็จราชการ เขาคงไม่สามารถสั่งให้ทางจวนผู้สำเร็จราชการนำทหารม้าออกไปสู้ศึกกับทหารนับล้านนายที่ชายแดนได้

ในเวลาเดียวกัน ซ่งลี่ที่อยู่ห่างไกลในเหมียวเจียงก็กำลังนอนตัวสั่นอยู่บนพื้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เบื้องหน้าของนางมีชายในชุดสีขาวสวมหน้ากากยืนอยู่

“ใครอนุญาตให้เจ้าลงมือโดยพละการ” ชายผู้นั้นมองร่างสองสามร่างที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา เสียงของเขาฟัดูเหมือนกำลังข่มกลั้นความโกรธเอาไว้ภายใน

ร่างของซ่งลี่สั่นสะท้านในทันที ฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียงได้แต่โกรธอยู่ในใจ ทว่าไม่กล้าโต้ตอบอะไรกลับไป “เรียนท่านราชครู พวกข้ารู้สึกว่าหากทำเช่นนั้นแล้วอาจได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น… เพราะเหตุนั้น…”

“ได้ประโยชน์เพิ่มหรือ ช่างโง่เขลานัก” ราชครูเตะเข้ากลางลำตัวของฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียง ร่างเพรียวๆ ของเขาสามารถเตะร่างกายอันกำยำของฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียงไปได้ไกล ส่งให้ร่างของฮ่องเต้อัดเข้ากับผนัง

ฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียงยกมือขึ้นกุมหน้าอก เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในของตนได้รับความเสียหาย ที่มุมปากของเขามีเลือดติดอยู่

“ท่านราชครู… ข้า ข้ารู้ว่าข้าทำผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” ซ่งลี่หวาดกลัวยิ่งนัก นางเคยคิดว่าฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียงนั้นเป็นบุคคลผู้น่าเคารพยำเกรงที่สุด แต่มาบัดนี้สุดท้ายนางก็เข้าใจแล้วว่าคนที่น่ายำเกรงที่สุดน้ันคือราชครูซึ่งอยู่เบื้องหน้าของตนต่างหาก ฮ่องเต้เทียบเขาไม่ติดฝุ่นเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ท่านปุโรหิตที่เป็นเจ้านายของนางก็ยังเลือกที่จะทอดทิ้งนางเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอยู่นอกเหนือจากที่ซ่งลี่จินตนาการเอาไว้มากนัก

ราชครูมองซ่งลี่ สายตานั้นทำเอาหญิงสาวที่คิดจะคลานไปอยู่ด้านข้างเขาถึงกับต้องหยุดอยู่กับที่

“เจ้าผิดไปแล้วหรือ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าความโง่เขลาของเจ้านั้นได้ทำลายแผนการใหญ่ของข้าลงไปแล้ว เจ้าคิดว่าเพียงเจ้าบอกว่าเจ้าผิดไปแล้ว แล้วจะสามารถคลี่คลายปัญหาลงได้หรือ” ราชครูจ้องซ่งลี่อย่างโกรธเกรี้ยว ท่าทีอันอ่อนโยนในคราแรกนั้นบัดนี้กลับถูกแทนที่ด้วยเพลิงโทสะ แม้แต่คนที่มักจะอยู่ข้างกายเขาในยามปกติเองก็ยังก้าวถอยหลังหลบออกไป ไม่ต้องพูดถึงซ่งลี่ที่ใช้ชีวิตเยี่ยงองค์หญิงมาตลอดทั้งชีวิต

สมัยนางอยู่ในเมืองหลิง นางรู้สึกรังเกียจสิ่งที่ชายแก่พูด แต่ในตอนนี้นางตระหนักแล้วว่าตนนั้นโง่เง่าเพียงใด

จู่ๆ ราชครูก็ย่อตัวลง เขายื่นมือไปคว้าคอของซ่งลี่เอาไว้ ดวงตาของเขาพร่ามัว “บอกข้ามา ใครสั่งให้เจ้าทำเช่นนั้น”

“ข้า… ข้า…”

“อะไรหรือ เพราะปัญหาส่วนตัวของเจ้า เจ้าก็เลยทำลายแผนการของข้างั้นหรือ” ราชครูเหวี่ยงร่างของซ่งลี่ใส่ผนัง นางล้มทับร่างของฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียง

ฮ่องเต้และฮองเฮาที่เดิมทีนั้นเคยทำตัวยโสโอหังและโหดเหี้ยมยามอยู่ในเหมียวเจียง มาบัดนี้กลับยอมรับแต่โดยดีว่าตนนั้นเป็นผู้ผิด หากคนอื่นมาเห็นสภาพต่ำต้อยเช่นนี้เข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะคิดเช่นไร

ราชครูมองทั้งสองอย่างเย็นชา เขาทำท่าคล้ายอยากจะพูดอะไรต่อ ทว่าปุโรหิตกลับเดินเข้ามาเสียก่อน “ท่านราชครู มีปัญหาเกิดขึ้นที่เมืองหลิง เมืองเล็กๆ จำนวนหนึ่งนำโดยเมืองเซียวกับเมืองเฟิงกำลังปิดล้อมเมืองหลิงอยู่ หากพวกเราไม่ลงมือล่ะก็…”

บทที่ 562 ไม่มีข้าวเที่ยงให้

ราชครูมองปุโรหิตที่เข้ามาอย่างเย็นชา เขาเอาเรื่องเมืองหลิงมาพูดเพื่อบังหน้า แต่แท้จริงแล้วเขาทำเพื่อช่วยซ่งลี่

เขาต้องการเปลี่ยนประเด็นเพื่อมอบโอกาสให้กับซ่งลี่ แต่ชายผู้นี้ดูถูกราชครูเช่นเขายิ่งนัก คิดหรือว่าเรื่องจะจบลงง่ายๆ เช่นนี้

“พอ ข้ามีแผนการของตัวเองสำหรับเรื่องนี้อยู่แล้ว” ราชครูตัดบทสนทนาของปุโรหิต เขาเบนสายตากลับไปหาซ่งลี่ที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นปุโรหิตก้าวเข้ามา

ซ่งลี่ขนลุกหลังจากสัมผัสได้ถึงสายตาอันมุ่งร้ายที่มองมายังตน นางรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที

นางไม่เคยสัมผัสความรู้สึกเยียบเย็นราวกับน้ำแข็งเช่นนี้ได้จากผู้ใดมาก่อน นางรู้สึกราวกับว่าตนคงถูกบุรุษตรงหน้าบีบให้ตายคามือภายในไม่กี่อึดใจนี้แน่ ความรู้สึกเช่นนี้ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก

ปุโรหิตใจหายวาบ เขารู้ว่าตนยังอธิบายสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาได้ไม่หมด เขาจึงรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ท่านราชครู ลี่ลี่ยังเด็กและหารู้ความไม่ ได้โปรดให้โอกาสนางอีกสักครั้งเถิด”

ซ่งลี่เงยหน้าขึ้นมองนายท่านของตน ดวงตาของนางดูไม่เชื่อ นายท่านผู้แสนอวดดีของนางกำลังก้มหัวให้กับบุรุษผู้นี้เพื่อนาง “นายท่าน…”

ปุโรหิตมองซ่งลี่ แต่สายตาคู่นั้นทำให้ความรู้สึกสำนึกบุญคุณภายในหัวใจของซ่งลี่มลายหายไปจนแทบไม่เหลือร่องรอย

เพราะความเย็นชาภายในสายตาคู่นั้นไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าสายตาของราชครูแต่อย่างใด

ราชครูเดินไปนั่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มขณะมองปุโรหิต “ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ หรอกนะ ข้าสงสัยยิ่งนักว่าท่านปุโรหิตคิดจะใช้อะไรมาแลกหรือ”

“เรื่องนี้…” ปุโรหิตพลันรู้สึกลังเล เขารู้ว่าราชครูต้องการสื่อถึงสิ่งใด แต่เขาได้ของสิ่งนั้นมาด้วยความยากลำบากยิ่งนัก

เขามองซ่งลี่แล้วขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่ตั้งใจ ดูเหมือนเขาจะไม่อยากเอาของสิ่งนั้นออกมา

แม้ราชครูจะไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่เขาสามารถรู้ได้เมื่อเห็นสีหน้าของปุโรหิต มุมปากของเขาโค้งขึ้น เสียงของเขาเต็มไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “น่าสงสารยิ่งนัก ดูท่านางคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป พวกเจ้า…”

“ไม่นะ นายท่านเจ้าคะ ได้โปรดช่วยข้าด้วย” ดวงตาของซ่งลี่เบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว นางนึกภาพไม่ออกเลยว่าเส้นทางที่เกือบจะได้ก้าวไปถึงจุดสูงสุดของนางนั้นกลับกลายไปเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

นางไม่รู้ว่าท่านราชครูต้องการสิ่งใดจากนายท่าน แต่เมื่อเห็นนายท่านของตนมีท่าทีเช่นนั้น ของสิ่งนั้นจะต้องเป็นของที่มีความสำคัญมาก ดังนั้นนางจึงไม่แน่ใจว่าเขาจะยอมช่วยนางหรือไม่

นางรีบคลานเข้าไปหาปุโรหิต แล้วคว้าชุดของเขาเอาไว้พลางร้องไห้วิงวอน

แต่เพราะอารมณ์ของนางแปรปรวน จึงเป็นตัวกระตุ้นให้กู่พิษในร่างของนางตื่นขึ้น นางกรีดร้องออกมาทันที

“กรี๊ด นายท่าน ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากตาย” ซ่งลี่นอนดิ้นอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด ดูไม่เหมือนคนแกล้งทำ

ราชครูเลิกคิ้ว เขาก้าวเข้าไปเพียงสองสามก้าวก็ถึงตัวของซ่งลี่ แล้วมองสีหน้าอันบิดเบี้ยวของนางก่อนเอ่ยว่า “น่าสนใจ”

นางได้รับการยอมรับว่าเป็นถึงลูกศิษย์ของปุโรหิต นั่นแสดงว่าพรสวรรค์ของนางนั้นคงจะไม่เลวเลยทีเดียว แต่สุดท้ายนางกลับต้องมามีจุดจบเช่นนี้ เขารู้สึกประหลาดใจเสียจริง

ซ่งลี่เสียวสันหลัง นางอยู่ในสภาพเช่นนี้ แต่บุรุษผู้นี้กลับบอกว่าน่าสนใจหรือ

ปุโรหิตมองซ่งลี่นิ่ง “กู่พิษในร่างของเจ้าไม่สามารถรักษาได้”

“อะไรนะเจ้าคะ เป็นไปไม่ได้ นายท่าน ข้าขอร้องล่ะเจ้าค่ะ ได้โปรดช่วยข้าที” ซ่งลี่ครวญครางออกมาอย่างทรมาน สายตาของนางในยามที่มองปุโรหิตนั้นเต็มไปด้วยความหวาดผวา

สายตาของปุโรหิตขณะมองซ่งลี่พลันมีท่าทีสนใจขึ้นมาเล็กน้อย “ใครฝังกู่พิษไว้ในร่างเจ้า”

ซ่งลี่งอตัวตามสัญชาตญาณ นางกัดฟันแล้วตอบด้วยความเจ็บปวดว่า “คนจากตระกูลหนานเจ้าค่ะ”

ตระกูลหนานหรือ ร่องรอยแห่งความสงสัยฉายวาบขึ้นในดวงตาของปุโรหิต พลันดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น “เจ้ากำลังพูดถึงตระกูลหนานที่ถูกฆ่าล้างตระกูลไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วรึ ยังมีคนรอดชีวิตอยู่อีกหรือ”

“เจ้าค่ะ เด็กคนที่ถูกราชากู่เลือกในตอนนั้น ตอนนี้เขาโตแล้ว… มิหนำซ้ำ ทักษะการใช้กู่ของเขายังบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แล้วอีกด้วย” เมื่อนึกถึงทักษะการใช้กู่ของหนานอวี่ ซ่งลี่ก็ยิ่งรู้สึกทรมาน

เดิมทีนั้นปุโรหิตกำลังคิดว่าหากเขารู้จักคนที่มีความสามารถเช่นนั้นล่ะก็ เขาจะเอาตัวเจ้าหมอนั่นกลับมาแล้วตลบหลังเพื่อหลอกใช้ทักษะการใช้กู่ของเขาเสีย แต่ใครจะรู้เล่าว่าคนผู้นั้นจะเป็นคนจากตระกูลหนาน

ตอนนั้นเด็กตระกูลหนานผู้นั้นอายุได้ราวสิบขวบแล้ว เด็กน้อยอยู่ในวัยที่รู้และเข้าใจสถานการณ์รอบตัวได้ หากเขาคิดจะพาตัวเด็กคนนั้นกลับมาแล้วชิงเอาสิ่งที่เขาต้องการจากปากของเด็กผู้นั้น เขาเกรงว่าจะไม่สามารถทำได้

ราชครูมีสีหน้าเฉยเมยขณะมองปุโรหิตที่กำลังคิดบางสิ่งอยู่ในหัว แล้วรอยยิ้มเย้ยหยันก็พลันปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา “จู่ๆ ข้าก็มีความคิดดีๆ ขึ้นมา ปล่อยให้นางทนอยู่กับความเจ็บปวดอย่างนี้ต่อไปอีกสักพักก็คงไม่แย่เท่าใดนักกระมัง”