บทที่ 563 ในไม่ช้าเขาจะต้องมา
เดิมทีซ่งลี่มีความหวังว่าตนจะได้รับการรักษา แต่หลังจากได้ยินคำพูดของราชครู นางก็รู้สึกงุนงนจับตันชนปลายไม่ถูก นางมองชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าของตนอย่างไม่อยากเชื่อ “ท่าน.. ท่าน…”
ปุโรหิตนิ่วหน้าขณะมองซ่งลี่ จากนั้นเขาจึงหันไปมองราชครู “ท่านราชครู ได้โปรดช่วยนางด้วยเถิด เห็นแก่ที่นางเป็นลูกศิษย์ของข้า”
ราชครูเดินกลับไปยังที่นั่งของตนก่อนหย่อนกายลงนั่ง เขายกมือขึ้นเท้าคางและมองนางพร้อมรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้ม สายตาของเขามีประกายดูถูก “ข้าไม่สามารถแก้พิษนี้ได้ กู่พิษจะตื่นขึ้นทันทีที่มีการพยายามถอนพิษออกจากร่าง และมันจะไปกระตุ้นพิษที่อยู่ในร่างของนางในทันที เจ้าทำได้เพียงอดทนต่อความทรมานนี้จนกว่าเจ้าจะตาย แน่นอนว่ามีทางออกอีกทางอยู่ นั่นคือการให้นางฆ่าตัวตายเสีย”
คำพูดของราชครูนั้นราวกับคำสาปที่ทำให้สายตาของซ่งลี่นั้นหม่นหมองลง แต่กลับกัน ฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียงที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกลับจ้องมองไปยังซ่งลี่ ในดวงตาของเขามีความตื่นตระหนกฉายชัดอยู่ หากนั่นเป็นกู่พิษและยาพิษที่เจ้าเด็กจากตระกูลหนานเป็นผู้ฝังไว้เองกับมือแล้วล่ะก็ คงไม่จำเป็นต้องนึกภาพเลยว่าความเกลียดชังที่เขามีให้กับหญิงผู้นี้นั้นมีมากมายเพียงใด คงเป็นเพราะนางเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการฆ่าล้างตระกูลของเขาในครั้งนั้นแน่ที่ทำให้นางต้องเจอเรื่องเช่นนี้
ปุโรหิตคาดไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ได้ เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่อยู่ แล้วจึงมองซ่งลี่ด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าไปทำอะไรไว้กันแน่ ถึงทำให้อีกฝ่ายเล่นงานเจ้าหนักเพียงนี้” ปุโรหิตถามอย่างหัวเสีย
ซ่งลี่ไม่กล้าพูดอะไรมาก นางเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลิงให้พวกเขาฟัง
หลังจากฟังจบ ราชครูมองซ่งลี่ที่อยู่ตรงหน้าตนด้วยท่าทางเหมือนมีความคิดบางอย่างอยู่ในหัว บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้น ราวกับว่าเขากำลังพอใจกับท่าทางในตอนนี้ของนางยิ่งนัก
“ออกไปซะ แต่เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากวังหลวงของเหมียวเจียง ใครที่ขัดขืนจะต้องตาย” ความตายที่ราชครูเอ่ยถึงนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่การตายอย่างรวดเร็วแน่ ซ่งลี่พยักหน้ารัวเร็ว
หลังจากฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียงและซ่งลี่ออกไป บัดนี้ภายในห้องมีเพียงราชครูและปุโรหิตอยู่กันลำพังสองคนเท่านั้น
ราชครูมองปุโรหิต เขาเงยหน้าขึ้นถามว่า “ท่านปุโรหิต มีเรื่องอันใดอีกหรือ”
“ท่านราชครู ข้าจะเดินทางออกนอกเมือง” ดวงตาของปุโรหิตเต็มไปด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ คนที่สามารถนำกู่พิษมาเล่นได้ขนาดนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องเอาตัวคนผู้นั้นมาให้จงได้
ราชครูมองปุโรหิตอย่างใจเย็น “ท่านปุโรหิต ท่านคิดจะออกไปหาตัวทายาทของตระกูลหนานหรือ ในเมื่อฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียงอยู่ที่นี่ ในไม่ช้าเขาจะต้องมาที่นี่แน่ เหตุใดท่านจะต้องตื่นตูมถึงเพียงนั้นด้วยเล่า ดูสิว่าแผนการในเมืองหลิงพังไม่เป็นท่าเพราะพวกท่านไปเสียแล้ว ตอนนี้ได้โปรดทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่ในเหมียวเจียงด้วยเถิด หากข้าพบว่าท่านแอบออกจากเหมียวเจียงขึ้นมา อย่าหาว่าข้าแล้งน้ำใจต่อท่านก็แล้วกัน”
ปุโรหิตยืนดูราชครูหยัดกายขึ้นและเดินออกไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ หมายความว่าอย่างไร คนผู้นี้กล้าขู่เขาจริงๆ หรือ คิดว่าตนเองเก่งกล้านักหรือ
แต่ราชครูนั้นเป็นผู้กุมอำนาจทั้งหมดของเหมียวเจียงอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะขัดใจเขาเลยแม้แต่น้อย
หลังจากกลับมาที่ห้องของตน ราชครูจึงโบกมือบอกให้ข้ารับใช้ออกไป เขายื่นมือไปวางบนชั้นหนังสือ มีเสียงกลไกดังขึ้นเล็กน้อย แล้วชั้นหนังสือก็เคลื่อนออก เผยให้เห็นเส้นทางลับที่ซ่อนอยู่ด้านใน
ราชครูเดินเข้าไปในนั้นอย่างคุ้นเคย หลังจากก้าวลงไปห้องอันงดงามห้องหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
เขามองหญิงผู้หนึ่งที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียง รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราชครู “นางเป็นบุตรสาวของเจ้าจริงๆ วิธีการที่นางใช้นั้นช่างเหมือนกับเจ้าในอดีตนัก ข้ามั่นใจว่าเจ้าคงจะมีความสุขหากได้เห็นนาง ว่าไหม ตอนนี้นางมีทั้งครอบครัวและลูกชาย แต่เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ยอมลืมตาตื่นขึ้นมาเสียทีเล่า”
น้ำเสียงของราชครูนั้นแสนแผ่วเบา ราวกับเขากำลังคุยกับตัวเอง
เขาเล่าสิ่งที่เขารู้ให้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงฟัง เมื่อเห็นว่าคนที่นอนอยู่นั้นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ทำได้เพียงแค่กลับออกไปด้วยท่าทีสิ้นหวัง
เป็นเวลากว่าสิบปีที่นางไม่ได้ดื่มหรือกินสิ่งใด นางคงสิ้นใจไปนานแล้วหากเขาไม่ได้ใช้สมุนไพรแสนล้ำค่าหล่อเลี้ยงชีวิตของนางเอาไว้
แม้ว่าพิษในร่างของนางจะได้รับการรักษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เหตุใดนางจึงยังอยู่ในสภาพเช่นนี้กัน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเฝ้ารอให้นางตื่นขึ้น หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองจะอยู่ที่เหมียวเจียงและไม่กลับไปที่นั่นอีก แต่นางกลับไม่ตื่นขึ้นมาเสียที
ก่อนหน้านี้นางจะลืมตาขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว แต่ปีนี้กลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย นางยังคงมีสภาพเหมือนคนตายทั้งเป็นอยู่เช่นเดิม
หากไม่ใช่เพราะหัวใจในอกของนางยังเต้นอยู่ เขาคงคิดว่านางได้จากเขาไปนานแล้ว นางสูญเสียความเป็นตัวเองไปจนหมดสิ้นแล้วจริงๆ หรือ
บทที่ 564 สองตัวเลือก
ราชครูมองหญิงสาวที่อยู่บนเตียงด้วยสายตาลึกล้ำ เขาก้มหน้าลงก่อนหมุนตัวกลับไป หลังจากห้องลับค่อยๆ มืดลง ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่ามือของหญิงผู้นั้นขยับเล็กน้อยและดวงตาที่ปิดสนิทของนางก็สั่นสะท้าน ราวกับว่านางต้องการลืมตาขึ้นแต่ถูกอะไรบางอย่างขวางเอาไว้
หลิงฮ่องเต้ยืนอยู่ในท้องพระโรงขณะมองเหล่าเสนาบดีที่ตัวสั่นงันงกเบื้องล่าง “พวกเจ้ามีกันทั้งหลายคน แต่กลับไม่มีความคิดดีๆ เลยหรือ เจ้าพวกขยะ”
มีหลายตระกูลในเมืองหลิงที่ตัดสินใจหันหลังให้เขา ตระกูลเหล่านั้นล้วนแต่ให้ความช่วยเหลือเมืองเซียวกับเมืองเฟิงให้มาจัดการกับเขา นับว่าเป็นความอัปยศอดสูสำหรับเขายิ่งนัก
“ฝ่าบาท เรื่องนี้…”
“นี่มันอะไรกัน ข้าเรียกพวกเจ้ามารวมตัวกันที่นี่เพียงเพราะต้องการวิธีหรือความคิดดีๆ สักอย่าง แต่พวกเจ้าทุกคนกลับเอาแต่พร่ำบ่นและพูดเรื่องไร้สาระเหล่านั้น” หลิงฮ่องเต้โมโหมากเสียจนอยากทุ่มบัลลังก์ของตัวเองใส่คนพวกนั้นเสีย เจ้าพวกนี้มีแต่พวกขยะ เพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกมันก็ยังไม่สามารถจัดการกันได้ ในเวลาปกติพวกมันมักจะพูดดีกลับยังกล่าวว่าเรื่องนี้มันช่างง่ายแสนง่ายนัก ทำตัวราวกับว่ารู้ทุกอย่างดี
แต่ในเวลาสำคัญเช่นนี้ พวกเขากลับใช้การไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่พอใจยิ่งนัก
เสนาบดีเบื้องล่างขมวดคิ้วอย่างอดไม่ไหว พวกเขาพยายามอย่างสุดความสามารถ ก็ยังสรรหาความคิดดีๆ ออกมาไม่ได้ แต่กลับโดนคนที่อยู่เบื้องบนตวาดเข้าอีก พวกเขาต่างรู้สึกอึดอัดใจอยู่ภายใน จนมีคนผู้หนึ่งพึมพำขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “ท่านเป็นคนสร้างปัญหาเองแท้ๆ”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“กระหม่อมไม่ได้พูดอะไรพ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นรีบส่ายหน้า เขายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ดังนั้นเขาจะไม่พูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมาตรงๆ แน่ นั่นไม่ใช่การรนหาที่ตายหรือ
เขาตวัดสายตาไปหาเสนาบดีผู้นั้น ในเมื่อเขาไม่ยอมรับก็คงจะทำอะไรไม่ได้ เขาจึงทำให้เพียงจ้องเขม็งไปยังผู้พูดอย่างกรุ่นโกรธแทน
“ทูลฝ่าบาท มีสาส์นด่วนจากกองทัพที่อยู่ห่างออกไปแปดร้อยลี้ส่งมาพ่ะย่ะค่ะ” คนผู้หนึ่งพลันวิ่งเข้ามา ในมือของเขามีรายงานการศึกอยู่
หลังจากที่หลิงฮ่องเต้อ่านจบ ดวงตาของเขาพลันดำมืด และเป็นลมกลางท้องพระโรงไป
หัวหน้าขันทีที่อยู่ข้างกายหลิงฮ่องเต้รีบส่งคนไปตามหมอหลวงมา เขาเหลือบตามองสาส์นนั้น ในนั้นเขียนว่าเมืองหลิงสูญเสียเมืองไปห้าเมืองภายในวันเดียว
หากดูจากความเร็วในตอนนี้ วันที่เมืองหลิงจะถูกแบ่งเป็นสองด้วยฝีมือเมืองเซียวกับเมืองเฟิงคงอยู่ไม่ไกลนัก ยิ่งกว่านั้น ทั้งสองเมืองยังมีการสมรสเชื่อมสัมพันธไมตรีกันอยู่ คงเรียกได้ว่าทั้งสองเมืองนับเป็นมดจากสายเดียวกัน
หัวหน้าขันทีขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นเมื่อเห็นสาส์นนั้น แล้วจึงแอบเก็บมันขึ้นตอนที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เขายืนอยู่ด้านข้าง และมองหลิงฮ่องเต้ที่หมดสติไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล
หลังจากผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม หลิงฮ่องเต้จึงค่อยๆ ได้สติ เสนาบดีเหล่านั้นกลับไปกันหมดแล้ว
หลังจากตื่นขึ้น เขามองหาขันทีที่อยู่ด้านข้าง “ส่งคนไปเรียกตัวองค์ชายมา”
ตั้งแต่มีเรื่องเกิดขึ้นกับหนานกงเยว่ในเมืองเซียว แม้ว่าหลิงฮ่องเต้จะไม่ได้ถอดตำแหน่งองค์ชายของเขาไป แต่ก็ไม่ได้สนใจเขาอีก
เขารู้สึกดีใจที่ครั้งนั้นตัวเองไม่ได้ทำอะไรเกินเลย มิฉะนั้นคงไม่มีผู้ใดช่วยเขาคิดหาทางออกในครั้งนี้แน่
หนานกงเยว่มองขันทีเบื้องหน้าตนเงียบๆ หลังจากที่ขันทีผู้นั้นพูดจบ เขาก็โบกมือบอกให้คนผู้นั้นถอยออกไป “ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังจากคนผู้นั้นกลับไป หนานกงเยว่จึงโยนหนังสือในมือไปด้านข้าง มุมปากของเขามีรอยยิ้มเยาะหยันปรากฏขึ้น เป็นไปตามที่นางว่าไว้ เมื่อหลิงฮ่องเต้ถูกต้อนจนเข้าตาจน ฮ่องเต้จะต้องมาหาเขาแน่ การคาดเดาของนางนั้นถูกต้อง
ไม่ใช่ว่ามาเพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้หรือ พอเมืองเซียวและเมืองเฟิงรุดเข้ามาใกล้ ฮ่องเต้ก็มาหาเขาจริงๆ
หนานกงเยว่ยืนขึ้น ยื่นมือไปปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงออกจากตัว แล้วจึงมุ่งหน้าไปยังห้องทรงพระอักษรด้วยสีหน้าเย็นชา
เมื่อเห็นว่าหนานกงเยว่มาช้า หลิงฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “เจ้าทำอะไรอยู่ เหตุใดจึงมาช้านัก”
“หากท่านพ่อไม่พอพระทัย เช่นนั้นลูกจะออกไปเสีย” เขาหันหลังแล้วทำท่าจะออกไปเมื่อพูดจบ
หลิงฮ่องเต้ไอและกระอักเลือดออกมา เขามองหนานกงเยว่อย่างหัวเสีย ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า “หยุดอยู่ตรงนั้น”
หนานกงเยว่หยุดอยู่ที่เดิมอย่างเชื่อฟัง แล้วจึงหันกลับไปมองหลิงฮ่องเต้ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย บนใบหน้ามีความสงสัย “ข้าสงสัยว่าท่านเรียกข้ามาด้วยเหตุอันใด”
เมื่อเห็นโอรสที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ความรู้สึกในอกของหลิงฮ่องเต้ก็ทับซ้อนกันจนไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้ “สถานการณ์ปัจจุบันของเมืองหลิงนั้นเลวร้ายยิ่งนัก ข้าควรทำเช่นใดดี” เขารีบเล่าสาส์นจากกองทัพที่อยู่ห่างออกไปแปดร้อยลี้ให้หนานกงเยว่ฟัง
“มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ เราจะรอให้พวกเขากลืนกินเมืองหลิงไปทีละเมือง หรือจะยอมจำนนต่อพวกเขา”