บทที่ 31 หน้าไม่อาย แล้วแต่ท่านเถิด (1) Ink Stone_Romance
ฉู่อี้อันหลับตาลง ลุกขึ้นกล่าวว่า “ฉีเฟิง เจ้าไปกับข้า”
เมื่อพูดจบก็เดินออกประตูไปทันที
ฉู่ฉีเฟิงมองฉู่สวินหยางอย่างลังเลใจอยู่หลายส่วน ไม่ทันได้พูดอันใดก็ได้แต่รีบก้าวตามฉู่อี้อันออกไป
หลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว ฉู่สวินหยางจึงมองเหยียนหลิงจวินด้วยความหนักใจ
มุมปากของเหยียนหลิงจวินโค้งขึ้นทีหนึ่ง เขายักไหล่และส่ายหน้าให้กับนาง พูดว่า “ข้าไม่รู้”
ฉู่สวินหยางหน้าตาตื่น ไม่ทันได้รู้ตัวว่าคิ้วเริ่มขมวดมุ่น นางเดินขึ้นมาอีกก้าวหนึ่ง มองคนแซ่ฟางที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงนั้นทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ข้าลดปริมาณโอสถที่ใช้น้อยลง นางคงต้องนอนไม่ได้สติไปอีกหลายวัน” เหยียนหลิงจวินกล่าวแล้วเดินไปยืนเคียงเทียบไหล่กับนาง พลางมองด้วยหางตา กล่าวว่า “ในวัง…“
“ไม่รู้สิ” ฉู่สวินหยางส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้พิษที่ท่านตรวจพบในเทียบเชิญนั้นอยู่ในวังโซ่วคัง ข้าจึงผลักดันไปอีกแรงหนึ่ง”
เรื่องหลัวฮองเฮาถือเป็นสิ่งที่ได้รู้มาอย่างเหนือความคาดหมาย หากมองตามรูปการณ์ก่อนหน้านี้แล้วนั้น ฮ่องเต้ส่งนางไปอยู่ในวังเหมันต์นับว่าเป็นความอดทนถึงขีดสุดแล้ว ทว่าฮูหยินรองหลัวได้ตายลง ต่อมายังตรวจพบยาพิษอีก…
เรื่องเหล่านี้หากบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญคงไม่ถูกต้องนัก เพราะมีความเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน
เหตุการณ์ทั้งหมดย่อมมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังเป็นแน่
เมื่อเกิดเหตุขึ้น คนแรกที่ฉู่สวินหยางนึกถึงคือเหยียนหลิงจวิน แต่ต่อมาได้ตัดความคิดนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว…
แม้ในจวนหลัวกั๋วกงนั้นง่ายดายต่อการลงมือ แต่กับวังโซ่วคังนั้นไม่ง่ายเลยต่อการวางแผนทำเรื่องร้าย
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะจบลงแล้ว นางและฉู่ฉีเฟิงเป็นผู้ได้ประโยชน์มหาศาล แต่หากว่ามีการตรวจสอบอย่างละเอียดขึ้นมา กลับมีเรื่องราวซับซ้อนทำให้ผู้คนไม่กล้ามองข้าม
เหยียนหลิงจวินเม้มปาก มองคนแซ่ฟางที่อยู่นอนอยู่บนเตียง พิจารณาอยู่นานจึงค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า
“ข้างกายพระชายารองแซ่ฟาง…ยังมีคนที่สามารถใช้สอยได้อีกหรือไม่?”
นางดื่มยาพิษด้วยตนเอง จุดนี้ไม่มีข้อสงสัยอื่นใด
และจุดประสงค์ของนางล้วนชี้ไปที่หลัวฮองเฮา ดูชัดเจนยิ่งนัก
สตรีสองคนนี้ หลายปีมานี้ราวกับเป็นศัตรูคู่แค้นก็ไม่ปาน ไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร และยามนี้หลัวฮองเฮาถูกพระราชทานโทษถึงแก่ชีวิต ครั้งนั้นระหว่างนางและคนแซ่ฟางเกิดเรื่องอันใดขึ้นไม่มีผู้ใดรู้สาเหตุที่แท้จริง หากจะกล่าวว่าเพราะความขัดแย้งที่มีมานานหลายปีมาปะทุขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เกิดเหตุการณ์วางยาพิษอันเหลือเชื่อนี้ขึ้นก็คงกล่าวไม่เกินไปนัก
เรื่องนี้…ในยามนี้คงได้ข้อสรุปเช่นนี้แล้ว
ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วมองดูคนแซ่ฟาง ทว่าในใจกลับว้าวุ่นยิ่งนัก คิดใคร่ครวญแล้วเอ่ยว่า “เจี๋ยหงและเฉี่ยนลวี่เล่า? เป็นอย่างไรบ้าง?”
“พวกนางฟื้นแล้ว คังจวิ้นอ๋องให้พวกนางไปพักผ่อน” เหยียนหลิงจวินตอบ เขาย่อมรู้จุดประสงค์ของนางดี สายตาจึงกวาดมองไปรอบๆ ห้องทีหนึ่ง สุดท้ายไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างที่ไกลออกไปบานหนึ่ง “ข้าได้สอบถามดูแล้ว มีผู้มาเยือนมาเพียงลำพัง เจี๋ยหงและเฉี่ยนลวี่สองคนร่วมมือกัน แต่เมื่อเทียบฝีมือยังด้อยกว่า ประมือกันสิบกว่ากระบวนท่าก็หมดสติล้มลง แต่เขาไม่ได้ทำร้ายคนแสดงว่าไม่อยากให้เกิดเรื่องราวใหญ่โต เมื่อองครักษ์เข้ามาพบ เขาถึงได้กระโดดหนีออกไปทางหน้าต่าง เจี่ยงลิ่วรีบปิดข่าวอย่างรวดเร็ว ต่อมาไท่จื่อกลับมาได้ออกคำสั่งห้ามแพร่งพรายมูลนี้ออกไป ข่าวนี้จึงถูกสยบลงอย่างแน่นอน ย่อมไม่มีทางถูกแพร่งพรายออกไปข้างนอกได้”
ฉะนั้นเป็นคนกลุ่มใดที่เข้าหาคนแซ่ฟาง? ไม่คิดฆ่าคนและไม่ต้องการเกิดเรื่องราวใหญ่โต? เช่นนั้นจุดประสงค์ของคนผู้นั้นคือสิ่งใด?
ฉู่สวินหยางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระจายใจยิ่งนัก หันกลับไปในเรือนแล้วเรียกขึ้น “แม่นมฉาง ท่านเข้ามาเถิด” เพียงชั่วครู่แม่นมฉางก็รีบเร่งเดินเข้ามาจากด้านนอก “ท่านหญิง”
“ก่อนหน้านี้มิใช่มีโจรบุกเข้ามาในจวนหรอกหรือ? ท่านไปดูให้ละเอียดถี่ถ้วน ที่นี่มีสิ่งของมีค่าของท่านแม่หล่นหายไปหรือไม่” ฉู่สวินหยางสั่งการ
“เพคะ” แม่นางฉางพยักหน้ารับ เริ่มตรวจค้นจากโต๊ะแต่งหน้าและสัมภาระที่ขนกลับมา
คนแซ่ฟางนั้นอาศัยอยู่ในวัดมาเป็นเวลานาน เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ล้วนเป็นสีเรียบง่าย เครื่องใช้ส่วนตัวก็เป็นจำพวกของทำความสะอาดเสียส่วนใหญ่ และไม่ได้บรรจงแต่งตัว ที่จริงไม่ใช่ของที่มีราคาค่างวดอันใด
แม่นมฉางตรวจค้นด้วยความตั้งใจอีกครั้ง ส่ายหน้าไปมา “สิ่งของอยู่ครบเพคะ เหมือนกับ…ไม่มีอะไรหายไป”
คิ้วของฉู่สวินหยางขมวดกันแน่นกว่าเดิม เม้มปากแล้วสงบลงอีก
แม่นมฉางเดินผ่านไป ช่วยเหน็บมุมผ้าห่มให้ชายารองสองให้เข้าที่เข้าทางอย่างเป็นระเบียบ พลันก็ร้องขึ้นมา ‘เอ๊ะ’ ขึ้นมา แล้วจึงค้อมตัวลงไปพลิกหมอนดูทั้งสี่ด้าน พูดอย่างประหลาดใจว่า “ไฉนปิ่นระย้าหงส์ทองคำของพระชายารองสองไม่อยู่แล้วเล่า?”
พูดแล้วได้แต่บ่นพึมพำกับตนเองว่า “หรือว่าเมื่อถูกแม่นางเจี๋ยหงอุ้มเข้ามาจึงหล่นหายไป?”
ฉู่สวินหยางและเหยียนหลิงจวินสูดหายใจเข้าลึกพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
เหยียนหลิงจวินเดินเข้าไปหนึ่งก้าว ถามว่า “ เป็นปิ่นระย้าที่มีรูปร่างลักษณะเช่นใดหรือ?”
“แบบธรรมดาสามัญทั่วไป ค่อนข้างเก่าแล้ว เพียงแต่พระชายารองสองเคยบอกว่า นั่นเป็นของที่ท่านอ๋องประทานให้ ดังนั้นหลายปีมานี้จึงไม่เคยเก็บไว้ห่างกายเลย เมื่อเช้าตอนเข้าวัง บ่าวยังขอให้นางเปลี่ยนปิ่นปักผมเสียใหม่ นางก็ไม่ยินยอมเจ้าค่ะ” แม่นมฉางตอบ มีสีหน้ากระวนกระวายใจปรากฏอยู่หลายส่วน “นี่หากรู้ว่าหายไป นางตื่นขึ้นมาคงร้อนใจมาก ท่านหญิงท่านอยู่เป็นเพื่อนนางก่อนนะเพคะ บ่าวจะลองไปหาที่สวนดอกไม้”
“ได้!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า มองตามแม่นมฉางที่กำลังเดินออกไป
เหยียนหลิงจวินยืนอยู่เบื้องหน้านางจึงช่วยอีกแรง ส่งสายตาเป็นคำถามไปให้
“ข้าเหมือนจะเคยเห็น เป็นสิ่งของที่ไม่ดึงดูดสายตาอันใด” ฉู่สวินหยางพูด เรื่องราวทั้งหมดตอนนี้กระจ่างแจ้งแล้ว
หากเป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ ยาพิษที่คนแซ่ฟางพกติดตัวตลอดเวลาน่าจะซ่อนอยู่ในปิ่นระย้าอันนั้น และก่อนเข้าวังนางจงใจที่จะขอกลับมา เพื่อผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ คาดว่าได้เตรียมการสำหรับทำเรื่องเหล่านี้แล้ว
———————————–