เมื่อเห็นภาพนี้ กู้ชิงและเด็กหนุ่มแซ่หยวนสบตากัน ภายในใจครุ่นคิดว่าตัวเองกังวลเกินไปจริงๆ
จิ๋งจิ่วไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวว่า “เล่าให้นางฟัง”
กู้ชิงเข้าใจความหมายของเขา จึงรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ราบหิมะให้ฟัง รวมไปถึงเรื่องที่จิ๋งจิ่วถูกลั่วไหวหนานลอบทำร้าย การใช้ชีวิตอย่างยากลำบากภายในถ้ำหิมะ และหลังจากออกมาได้แล้วจิ๋งจิ่วพูดกับคนอื่นอย่างไร คำถามของฟางจิ่งเทียน กระทั่งเรื่องของถงหลูก็เล่าออกมาจนหมด
เพียงแต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ไป๋เจ่ามาหาจิ๋งจิ่วที่เรือนพำนักของชิงซานเมื่อวันก่อน
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้เหลียวหน้ากลับมา กล่าวว่า “เหตุใดไม่บอกพวกเขาว่าเรื่องที่ลั่วไหวหนานเล่ามาล้วนแต่เป็นเรื่องโกหก? ต่อให้ไม่มีผลอะไรกับพวกเรา แต่หลิ่อสือซุ่ยก็น่าจะใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นหน่อย”
“ข้ากับไป๋เจ่ายังมีชีวิตอยู่ โทษของลั่วไหวหนานก็ไม่ถึงกับต้องตาย การที่พวกเจ้าฆ่าเขามันจะกลายเป็นว่ามีปัญหา โดยเฉพาะหลิ่วสือซุ่ย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ยังมีอีกจุดหนึ่งก็คือเรื่องที่สือซุ่ยทำอยู่ตอนนี้ เขาอาจจะจำเป็นต้องทำให้ตัวเองมีความผิดมากขึ้นอีกหน่อยก็เป็นได้”
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้กล่าวกระไรอีก กู้ชิงเองก็สงบนิ่ง มีเพียงเด็กหนุ่มแซ่หยวนที่ไม่ค่อยสบายใจ
เขาประเดี๋ยวก็มองดูเมฆบนท้องฟ้า ประเดี๋ยวก็มองดูป่าที่อยู่เบื้องล่างหน้าผา สุดท้ายได้แต่ตั้งใจฟังเสียงร้องของวานรที่อยู่ในป่า
ชีวิตปกติบนยอดเขาคือการบำเพ็ญเพียร การพูดคุยเรื่อยเปื่อยเหมือนอย่างวันนี้ความจริงแล้วมีน้อยนัก บรรยากาศของการกลับมารวมตัวอีกครั้งดูผ่อนคลาย เพียงแต่คนที่ไม่ถนัดในการพูดคุยเมื่อมาอยู่ด้วยกันก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรจริงๆ จึงทำให้เกิดการนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
จิ๋งจิ่วคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาหยิบเอาด้วงหิมะตัวนั้นออกมา พลางกล่าวว่า “ข้าเก็บมันมาจากที่ราบหิมะ”
ด้วงหิมะตัวนั้นร่างกายเป็นสีขาว ขาเหมือนไม้ไผ่ รูปร่างน่าเกลียดแต่สะอาดสะอ้าน หากคนปกติมาเห็นมัน จะต้องรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมากแน่
เจ้าล่าเยวี่ยและกู้ชิงเพียงแต่รู้สึกอยากรู้อยากเห็นนิดหน่อย ส่วนเด็กหนุ่มแซ่หยวนนั้นตื่นเต้นจนส่งเสียงตะโกนออกมา
“ตอนที่อยู่บนที่ราบหิมะครั้งนี้ข้าก็เห็นศพพวกมันอยู่บ้าง นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นแบบยังมีชีวิตอยู่!”
“พวกมันคือลูกของหนอนหิมะ แต่ภายหลังไม่รู้ว่าได้รับผลกระทบอะไรเข้า จึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอนนี้ไม่เหมือนกับสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยตัวอื่นแล้ว”
จิ๋งจิ่วพลิกฝ่ามือ ด้วงหิมะตัวนั้นหล่นลงบนพื้น มันรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมที่แปลกไป จึงรู้สึกวิตกกังวล จากนั้นรีบพลิกตัวตามสัญชาติญาณ เปิดเผยร่างกายช่วงท้องออกมาเพื่อแสดงออกว่ายอมจำนน ขาเล็กๆ ที่เหมือนปล้องไม้ไผ่สีขาวทั้งหกสั่นขึ้นมาด้วยความเร็วสูง ส่งเสียงเสียดสีคล้ายดั่งจักจั่น
“น่าสนใจ” เด็กหนุ่มแซ่หยวนยื่นมือไปหยิบมันมาพินิจพิเคราะห์ดู
กู้ชิงกล่าวเตือน “ระวังหน่อย อาจจะมีพิษเย็น”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนคิดในใจว่าหากเป็นพิษอื่นตัวเองอาจจะกลัวอยู่บ้าง แต่พิษเย็นนั้นมิอาจทำอะไรตนได้ จากนั้นหันไปถามจิ๋งจิ่วว่า “อาจารย์อา อย่างนั้นพวกเราต้องเรียกมันว่าอะไรขอรับ?”
จิ๋งจิ่วไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน สำหรับเขาแล้วมันเป็นเพียงแมลงตัวหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเรียกอะไร
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “จักจั่นเหมันต์”
กู้ชิงครุ่นคิดว่าถึงแม้ไม่เหมือน แต่ชื่อนี้กลับไม่เลวเลยทีเดียว
เด็กหนุ่มแซ่หยวนเองก็รู้สึกว่าชื่อนี้มิเลว เมื่อคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาก็รู้สึกเศร้าเสียใจเล็กน้อย เขากล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยว่า “อาจารย์ ที่บอกว่าจะตั้งชื่อให้ข้า ท่านยังคิดไม่ออกหรือขอรับ?”
กู้ชิงยิ้มพลางกล่าว “ชื่อเดิมของเจ้าก็ดีอยู่แล้ว เหตุใดดึงดันจะเปลี่ยนให้ได้?”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนกล่าวว่า “ข้ามักจะรู้สึกว่าชื่อนั้นมันไม่ค่อยเหมาะเท่าไร”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดจับพยัคฆ์[1]กับขี่วาฬ[2] เหมือนจะเป็นการดูหมิ่นจริงๆ ด้วย จึงกล่าวว่า “เปลี่ยนก็ดีเหมือนกัน”
เจ้าล่าเยวี่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ มองดูทะเลเมฆที่อยู่นอกหน้าผา รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของหวีจันทรา รู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง ดีจนรู้สึกอยากจะฮัมเป็นบทเพลงออกมา จึงกล่าวออกมาว่า “หยวนฉวี่”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนคิดในใจ นี่จะตั้งง่ายเกินไปหรือเปล่า?
จิ๋งจิ่วกล่าว “ในอ่อนมีแข็ง ไม่เลว”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนได้ยินเช่นนี้จึงตกตะลึงเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าคำพูดประโยคนี้ของอาจารย์อาคล้ายจะมีความหมายลึกซึ้ง จึงลุกขึ้นคารวะอย่างตั้งใจ ขอบคุณอาจารย์ที่ตั้งชื่อให้
นับแต่นี้เป็นต้นไป เขาจะมีชื่อใหม่ —- หยวนฉวี่
“เอ๋ ทำไมตัวแดงล่ะ?”
กู้ชิงกล่าวอย่างตกใจ
หยวนฉวี่มองดูด้วงหิมะที่ชื่อว่า ‘จักจั่นเหมันต์’ ที่อยู่ในมือตัวนั้น พบว่าขอบเปลือกของมันกลายเป็นสีแดงส้ม คล้ายกุ้งและปูที่ถูกโยนลงไปในน้ำเดือด จึงรู้สึกตกใจเช่นเดียวกัน
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ที่นี่ร้อนเกินไป”
ลมบนยอดเขาเย็นสบาย ยังไงก็ไม่ถึงกับร้อน ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ร้อนกว่าที่ราบหิมะ ก็คงไม่ถึงกับถูกลวกจนสุกหรอกกระมัง?
หยวนฉวี่คิดในใจว่าอย่างนั้นจะทำอย่างไร จึงถามออกไปว่า “แล้วควรจะเลี้ยงอย่างไรขอรับ?”
“ในถ้ำมีตั่งหยกเหมันต์อยู่ตัวหนึ่ง ไปทำรังให้มันที่นั่น”
เจ้าล่าเยวี่ยสั่งกำชับโดยมิได้หันหน้ากลับมา “กู้ชิงไปสั่งพวกวานรหน่อยว่าถ้าเกิดเจอเจ้านี่ก็ให้หลบไปไกลหน่อย จะได้ไม่ถูกพิษเข้า”
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “ไปขอเยื่อน้ำแข็งจากยอดเขาซื่อเยวี่ยมาหน่อย ขวดนึงน่าจะใช้ได้เดือนนึง”
หยวนฉวี่คิดคำนวณ ในใจครุ่นคิดว่าถ้าเลี้ยงแบบนี้ เจ้า ‘จักจั่นเหมันต์’ ตัวนี้ก็ช่างล้ำค่าจริงๆ
กู้ชิงกับเขาออกไปจัดการเรื่องเหล่านี้ ริมผาเหลือเพียงจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเพียงสองคน
“ตอนนั้นทำไมถึงออกมาไม่ได้?”
เจ้าล่าเยวี่ยถาม
สำหรับนางแล้ว เรื่องราวที่กู้ชิงเล่าให้ฟังยังมีหลายจุดที่นางไม่เข้าใจ
จิ๋งจิ่วกล่าว “ราชินีหิมะรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของข้า จึงจับตาดูข้าไม่คลาดสายตา”
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง จากนั้นกล่าวว่า “แต่เจ้าก็สามารถใช้ตราประทับหมื่นลี้หนีออกมาได้ ลั่วไหวหนานก็ออกมาแล้วมิใช่หรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่อาจแย่งชิงสิ่งของของหญิงสาวได้”
คำตอบนี้ดีมาก
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูเมฆที่ลอยเอื่อยด้านนอกหน้าผา พลางกล่าวว่า “ตอนแรกสุด เหตุใดเจ้าต้องเข้าไปช่วยลั่วไหวหนานกับไป๋เจ่า?”
นี่มิใช่การหึงหวง เป็นเพียงแค่ความสงสัยและการสอบถาม เพราะนางรู้ว่าจิ๋งจิ่วมิใช่คนแบบนั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือนี่มิใช่วิถีที่เขายึดถือ
“มนุษย์คือสัตว์สังคม มีทั้งความต้องการทางด้านจิตใจและการถูกต้องการ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ผู้บำเพ็ญพรตมิใช่คนธรรมดา ดังนั้นต้องก้าวข้ามความต้องการแบบนี้”
เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจ นี่ต่างหากถึงจะเป็นวิถีของเขา
จิ๋งจิ่วกล่าว “ความคิดที่ช่วยเหลือโลกนี้ของลั่วไหวหนานและเจ้า แล้วก็กั้วหนานซาน ล้วนแต่เป็นความต้องการทางด้านจิตใจ นี่มิใช่เรื่องเลวร้าย ในตอนที่ใจแห่งเต๋าของพวกเจ้าไม่สามารถรักษาความมั่นคงได้ด้วยตัวเอง มันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวพวกเจ้าอย่างมาก คล้ายกับเรือสำเภาที่ล่องอยู่ท่ามกลางพายุ ที่ต้องการหางเสือ แล้วก็ต้องการหินอับเฉา”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “แต่เจ้าไม่ต้องการ เหตุใดถึงยังอยู่ที่นั่น?”
นี่กลับไปยังคำถามในตอนแรกสุด
จิ๋งจิ่วกล่าว “นางมีใจช่วยข้า ข้าย่อมต้องตอบแทน ใจแห่งเต๋าจะได้สมบูรณ์”
เจ้าล่าเยวี่ย “นี่คือสิ่งที่วัดกั่วเฉิงเรียกว่ากรรม?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “แสวงหาธรรมวิถี จำเป็นต้องตัดให้หมดสิ้น”
คำพูดนี้เรียบง่ายและชัดเจน
เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่ กล่าวว่า “เช่นนั้นพวกข้าล่ะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่รู้ เมื่อก่อนไม่เคยมี”
เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจความหมายของเขา
ปกติผู้อาวุโสในโลกบำเพ็ญพรตมักจะรับศิษย์ในตอนที่ตัวเองอายุมากแล้ว แม้แต่คู่รักบำเพ็ญพรตก็จะมีลูกในตอนที่ตัวเองอายุมากเช่นเดียวกัน
คำกล่าวนี้ฟังดูลึกล้ำมหัศจรรย์ แต่ความจริงแล้วล้วนแต่มาจากแนวคิดนี้
จะบรรลุกลายเป็นเซียนได้ ก็ต่อเมื่อตัดขาดความยึดมั่นถือมั่นได้ทั้งหมด
จิ๋งจิ่วเก็บหวี มองดูเปียสีดำ บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มพึงพอใจ
เจ้าล่าเยวี่ยหมุนตัวกลับมา มองดูดวงตาเขาพลางกล่าว “เรื่องราวครั้งนี้ ได้ทำให้ความคิดของเจ้าเปลี่ยนบ้างไหม?”
“ไม่มี” จิ๋งจิ่วกล่าว”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ตอนแรกข้าไม่ควรบอกให้เจ้าไป”
จิ๋งจิ่วลูบศีรษะนาง กล่าวว่า “ข้าอยากไปเอง”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เจ้าหาคนคนนั้นเจอแล้วหรือยัง?”
จิ๋งจิ่วลูบใบหูของนาง กล่าวว่า “ยัง แต่เขาน่าจะถูกข้าหลอกแล้ว”
สายตาเจ้าล่าเยวี่ยมองไปที่หูของเขา
จิ๋งจิ่วมีใบหูที่กาง
แต่เวลาที่ทุกคนมองเขา มักจะมองเห็นแต่ใบหน้าของเขา น้อยคนที่จะสังเกตเห็นใบหูของเขา
…………………………………………….
[1]จับพยัคฆ์คือความหมายของชื่อเดิมของเด็กหนุ่มแซ่หยวน
[2]ขี่วาฬ คือความหมายของชื่อหยวนฉีจิง (เจ้าแห่งยอดเขาซั่งเต๋อ)