เจ้าล่าเยวี่ยถาม “เหตุใดเขาจึงจะถูกหลอก?”
จิ๋งจิ่วกลาว “เพราะเขาสงสัยมากไป”
เมื่อคิดถึงว่าศิษย์พี่จะถูกตัวเองหลอก มุมปากเขายกขึ้นมาเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้ม ดูค่อนข้างภูมิใจ
เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกแปลกใจ เพราะน้อยครั้งนักที่เขาจะแสดงอารมณ์เช่นนี้
ในงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ริมธารสี่เจี้ยน ในงานชุมนุมซื่อเจี้ยน ไปจนถึงงานชุมนุมเหมยฮุ่ยหลังจากนั้น ไม่ว่าจะโดดเด่นเพียงใด เขาก็ล้วนแต่มีท่าทีเฉยเมยมิสนใจ
เจ้าล่าเยวี่ยไม่รู้ว่าเขาอยากจะหลอกอะไรคนผู้นั้น จิ๋งจิ่วเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีความหมายอะไร มันเป็นเพียงความเคยชินในช่วงเวลาหลายร้อยปีมานี้ของเขา เก็บไพ่ตายบางอย่างเอาไว้
นี่เป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้มาจากศิษย์พี่เช่นกัน
ก็เหมือนกับที่เขารู้ว่าในชิงซานมีผี แต่กลับคิดไม่ถึงว่าผีตนนั้นจะเป็นฟางจิ่งเทียน — ผ่านมานานขนาดนี้ เจ้าสี่ยังไม่ลืมอาจารย์ของตัวเอง
เจ้าล่าเยวี่ยถามว่า “ฟางจิ่งเทียนคิดฆ่าเจ้าสองครั้ง เป็นเพราะสงสัยว่าเจ้าสืบพบอะไรหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ตอนนั้นที่จั่วอี้คิดสังหารเจ้าบนยอดเขากระบี่ เป็นเพราะเขารู้มาจากเจวี่ยนเหลียนเหรินว่าเจ้ากำลังสืบยอดเขาปี้หู ฟางจิ่งเทียนไม่รู้ว่าข้าสืบพบอะไร แต่เขารู้ว่าข้ากำลังสืบอยู่ แค่เหตุผลนี้ก็เพียงพอแล้ว”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ คิ้วสีดำของเจ้าล่าเยวี่ยพลันเลิกขึ้นเล็กน้อย มิได้กล่าวกระไร
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับคนสำคัญ หากนางกับจิ๋งจิ่วบีบอีกฝ่ายมากเกินไป ถ้าเกิดอีกฝ่ายโจมตีมา พวกนางจะตอบโต้อย่างไร?
เวลานี้ยอดเขาเสินม่อดูเหมือนจะฉายแสงโดดเด่น แต่ความจริงแล้วกลับอ่อนแอที่สุดในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน นางซึ่งมีสภาวะสูงสุดก็เพิ่งจะบรรลุขั้นคเนจรเท่านั้น แล้วจะไปเป็นคู่ต่อสู้ของคนเหล่านั้นได้อย่างไร?
จิ๋งจิ่วรู้ว่านางกำลังกังวลอะไร ก็เหมือนกับที่เขากังวลหลังจากที่เขาและนางพบศพอินซาน
ช่วงเวลาอันยาวนานที่อยู่ในที่ราบหิมะมิได้เปลี่ยนแปลงความคิดเขา เขายังคงคิดว่าอยู่ที่ชิงซานปลอดภัยที่สุด
อยู่ที่นี่ไม่มีใครทำอะไรได้
ปัญหาอยู่ที่ว่าอีกหลายปีหลังจากนี้ เจ้าสองคนนั้นคงจะออกไปจากชิงซานสักพักหนึ่ง หากผีที่แอบซ่อนอยู่ในยอดเขาเหล่านั้นฉวยโอกาสลงมือจะทำอย่างไร?
เมื่ออยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย ระมัดระวังมากแค่ไหนก็ไม่ถือว่าเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือชิงซานของเขา หากกระทั่งที่นี่ยังเกิดเรื่อง มันก็ออกจะกำเริบเสิบสานเกินไปหน่อยแล้ว
เขาอยากจะเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเสียหน่อย จึงลุกขึ้นพลางกล่าวว่า “ตามข้าไปที่ที่หนึ่ง”
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “ที่ไหน?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ยอดเขาปี้หู”
เจ้าล่าเยวี่ยสีหน้าจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย
ก่อนที่จิ่งหยางจะบรรลุเป็นเซียน ไม้วิญญาณอัศนีบนยอดเขาปี้หูหายไปสองอัน หลายปีก่อนหน้านี้นางคิดอยากจะสืบเรื่องนี้ แต่ถูกจิ๋งจิ่วห้ามเอาไว้
วันนี้เขาจะพาตัวเองไปยังยอดเขาปี้หู หรือว่าเตรียมจะเปิดเผยความจริงของเรื่องนี้
……
……
ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน แต่ละยอดเขาไม่เหมือนกัน
ยอดเขาเสินม่อโดดเดี่ยวที่สุด คล้ายคลึงกับยอดเขากระบี่ เป็นเหมือนกระบี่หินที่ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
แต่ยอดเขาปี้หูเขียวชอุ่ม ดูเหมือนสวนหินที่อยู่ในสวน ป่าอันหนาทึบคล้ายตะไคร่น้ำที่ปกคลุมอยู่ด้านบน ปกปิดทางขึ้นเขาทั้งหมดเอาไว้
มีแต่ต้องเดินอยู่ด้านใน ถึงจะรู้ว่ายอดเขาปี้หูนั้นใหญ่โตขนาดไหน การจะพบใครสักคนที่นี่เป็นเรื่องที่ยากอย่างมาก
เมฆหมอกที่หนาวเย็นเล็กน้อยลอยอยู่ในป่า ทางขึ้นเขาปรากฏให้เห็นลางๆ อยู่ด้านหน้า ดูคล้ายเส้นทางที่มุ่งตรงไปยังดินแดนแห่งเซียนเป็นอย่างมาก ราวกับว่ามันพร้อมจะหายไปได้ทุกเมื่อ
เมื่อมาถึงริมผาแห่งหนึ่ง จิ๋งจิ่วมองไปยังยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปยอดนั้น นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “นับวันข้าก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบความหนาวเย็น”
ในอดีตตอนที่อยู่ในยอดเขานั้น เขาก็ไม่ชอบความหนาวเย็นที่ลอยออกมาจากก้นบ่อ ต่อให้มีหม้อไฟที่เดือดพล่านก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไรนัก
ตอนนี้หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในที่ราบหิมะมาหลายปี ความรู้สึกเช่นนี้มันยิ่งรุนแรงขึ้น
ยอดเขาแห่งนั้นมีผาขาดหลายแห่ง บริเวณหน้าผามีเศษหิมะเกาะอยู่ แต่บนที่สูงกลับมีต้นสนทอดยาวเป็นแนว แผ่ไอเย็นออกมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลขนาดนี้ก็ยังรู้สึกได้
ที่นั่นคือยอดเขาซั่งเต๋อ
สายตาเจ้าล่าเยวี่ยมองไปที่นั่น
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “เมื่อก่อนคนผู้นั้นถูกขังอยู่ในคุกกระบี่ที่อยู่ด้านล่างยอดเขาซั่งเต๋อ”
เจ้าล่าเยวี่ยถึงได้รู้ว่าเหตุใดเขาจึงหยุดเดิน ดูแล้วอีกประเดี๋ยวคงจะได้ฟังเรื่องราว แม้แต่นางก็ยังอดรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
“คุกกระบี่คือประตูแห่งความตายของข่ายพลังชิงซาน ผนึกปิดกั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เขาใช้ทุกวิถีทางก็ยังไม่อาจหนีออกมาได้”
น้ำเสียงของจิ๋งจิ่วมิได้แฝงเอาไว้ด้วยอารมณ์ใดๆ
“จนกระทั่งในปีหนึ่งเขาหาวิธีเอาไม้วิญญาณอัศนีมาได้ท่อนหนึ่ง ตัดสินใจละทิ้งร่างเต๋า ย้ายวิญญาณเข้าไปอยู่ในร่างศิษย์เผ่าหมิงผู้หนึ่ง จนสุดท้ายหลบหนีออกไปได้สำเร็จ”
ในเวลานั้น สายตาของยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานไปจนถึงทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนต่างจับจ้องไปยังยอดเขาเสินม่อ ช่างเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด
เจ่าล่าเยวี่ยคิดถึงศพที่อยู่นอกเมืองอวิ๋นจี๋ศพนั้น นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “แต่แบบนี้ยังปลอดภัยไม่พอ ดังนั้นเขาจึงยืมกระบี่ของอาจารย์เมิ่งมาแสร้งสังหารตนเองแล้วหนีไป ตัดขาดเบาะแสทั้งหมด”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เจวี่ยนเหลียนเหรินพูดไว้ไม่ผิด อาจารย์เมิ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ ด้วย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เขาอาจจะไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด แต่จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน แบบนี้ยอดเขาซั่งเต๋อถึงจะสืบยอดเขาปี้หูได้”
เจ้าล่าเยวี่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “แต่อาจารย์เมิ่งบำเพ็ญเพียรเพื่อจะบรรลุสภาวะขั้นคเนจรอยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อตลอด”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เก็บตัวก็คือถูกขัง”
เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจ หลังนิ่งเงียบไปครู่จึงกล่าวว่า “เหลยพั่วอวิ๋นอดีตเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูถูกขังเพราะเหตุนี้ เหตุใดภายหลังจึงหนีออกมาได้?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ย่อมต้องถูกคนปล่อยออกมา”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “พรรคพวกอยากจะช่วยเขา?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “อาจจะเพื่อปิดปาก เพราะยอดเขาซั่งเต๋อไม่มีทางฆ่าเขา”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูยอดเขาอันหนาวเย็นที่อยู่ไกลออกไปยอดนั้น กล่าวว่า “เจ้าสืบเรื่องไม้วิญญาณอัศนีก็เพื่อต้องการสืบคนที่หนีไปผู้นั้น มิใช่เพราะเรื่องที่ปรมาจารย์อาจิ่งหยางบรรลุเป็นเซียน?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข่ายพลังบรรลุเป็นเซียนไม่จำเป็นต้องใช้ไม้วิญญาณอัศนี”
เจ้าล่าเยวี่ยดึงสายตากลับมา มองดูเขาแล้วถามว่า “อย่างนั้นไม้วิญญาณอัศนีอีกท่อนหนึ่งอยู่ที่ไหน?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ย่อมต้องมีทางใช้”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ก่อนกล่าวว่า “อย่างนั้นวันนี้พวกเรามายอดเขาปี้หูทำไม?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “นี่เป็นสิ่งที่เจ้าต้องการสืบ ยังไงก็ต้องให้เจ้ามาเห็นด้วยตาตัวเอง แล้วก็พาเจ้ามาเจอเพื่อนคนหนึ่งด้วย”
ครั้นพูดจบประโยคนี้ เขาก็ยกเท้าก้าวเดินต่อไป เจ้าล่าเยวี่ยเดินตามอยู่ด้านหลังเขา
ทางขึ้นเขาค่อยๆ ชันขึ้น ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร หมอกบางพลันแหวกออก ความชื้นถาโถมเข้ามา สามารถมองเห็นตำหนักเต๋าที่ตั้งเรียงรายอยู่ตรงริมผาได้ไกลๆ
เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่าด้านหลังผานั้นก็คือทะเลสาบแห่งนั้น
“นั่นใคร?”
เจตน์กระบี่เย็นยะเยือกปรากฏขึ้นมา ศิษย์สองคนเผยกาย พลางมองพวกเขาอย่างระแวดระวัง
ยอดเขาเสินม่อมีทางขึ้นไปยังยอดเขาเพียงแค่ทางเดียว ไม่มีศิษย์คอยเฝ้า มีแต่ข่ายพลังปิดผนึกเอาไว้
แต่ยอดเขาปี้หูนั้นไม่เหมือนกัน อย่างน้อยๆ ก็มีทางขึ้นเขาสิบกว่าเส้นที่จะตรงไปยังยอดเขา ข่ายพลังก็วางเอาไว้ตรงด้านหน้าหน้าผาบนยอดเขา ทั้งวันมีลูกศิษย์คอยเฝ้าอยู่
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยยังไม่ทันกล่าวอะไร ศิษย์ยอดเขาปี้หูสองคนนั้นมองเห็นใบหน้าพวกเขา สีหน้าพลันเปลี่ยนเล็กน้อย รีบคารวะพลางกล่าว “คารวะท่านเจ้าแห่งยอดเขา คารวะอาจารย์อาจิ๋ง”
ศิษย์ยอดเขาปี้หูสองคนนั้นตกใจเป็นอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าเหตุใดอาจารย์ทั้งสองจึงมาที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้ขี่กระบี่ตรงไปยังยอดเขา พวกเขาให้การต้อนรับอย่างเคารพ ขณะเดียวกันก็เตรียมแจ้งผู้เป็นอาจารย์
“ข้าไม่ได้กลับมานานแล้ว เลยอยากจะมาเดินเล่นหน่อย ไม่ต้องแจ้งไป แล้วก็ไม่ต้องสนใจข้า”
จิ๋งจิ่วพาเจ้าล่าเยวี่ยเดินต่อไปข้างหน้า
ไม่นานนัก ทั้งสองคนก็มาถึงยอดเขา ตรงหน้าคือทะเลสาบที่กว้างใหญ่เหมือนทะเล นกนางนวลโผบิน
ไกลออกไปมีเกาะเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง บนเกาะคล้ายจะมองเห็นตำหนักอยู่หลังหนึ่ง
…………………………………