ภาคที่ 3 ตอนที่ 27 ขโมยแมว

มรรคาสู่สวรรค์

ตำหนักเต๋าด้านหน้าหน้าผา

เจ้าแห่งยอดเขาปี้หูเฉิงโหยวเทียนกำลังพูดคุยอยู่กับผู้อาวุโสสองคน ทันใดนั้นพลันได้ยินลูกศิษย์แจ้งมา จึงตกตะลึงไปทันที

“เดินเล่น?”

ผู้อาวุโสคนนหนึ่งกล่าวเสียงแหบเล็กน้อย “คิดว่ายอดเขาปี้หูของพวกเราเป็นสวนดอกไม้ด้านหลังยอดเขาเสินม่อ อยากจะมาก็มาอย่างนั้นหรือ? นี่มันจะเสียมารยาทเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”

ศิษย์ชิงซานบำเพ็ญพรตอย่างยากลำบาก นอกจากมีธุระแล้ว น้อยครั้งนักที่จะมีศิษย์ไปเดินเล่นชมทิวทัศน์อยู่ในยอดเขาอื่น ยกเว้นก็แต่ศิษย์หญิงของยอดเขาชิงหรงเหล่านั้น

แต่แน่นอนว่าถ้าอยากจะมาเดินเล่นก็ย่อมต้องทำได้ ไม่มีใครจะห้ามเจ้า แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วนั้นมิใช่ศิษย์ธรรมดา โดยเฉพาะเจ้าล่าเยวี่ยนั้นเป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ แต่มิได้ทำเรื่องแจ้งมา กระทั่งบอกกล่าวสักเล็กน้อยก็ไม่มี แล้วจะไปเดินเล่นในยอดเขาอื่น นี่มันออกจะเสียมารยาทไปหน่อยจริงๆ

เฉิงโหยวเทียนมองผู้อาวุโสคนนั้น ก่อนจะกล่าวเสียดสีเล็กน้อย “ศิษย์พี่อยากจะพูดอะไรกันแน่? เพราะเรือนเป๋าซู่ถูกยอดเขาเสินม่อเอาไป ในใจเลยรู้สึกไม่ค่อยดี?”

เมื่อปีก่อนเขาเพิ่งจะบรรลุจากขั้นคเนจรเข้าไปยังขั้นแหวกทะเล เรียกได้ว่าเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในยอดเขาทั้งเก้ารองจากเจ้าล่าเยวี่

ผู้อาวุโสสองคนนั้นบรรลุเข้าสู่ขั้นแหวกทะเลมาตั้งแต่หลายปีก่อน สภาวะสูงส่งกว่าเขา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการถากถางของเขากลับไม่มีตอบสนองใดๆ

ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งยิ้มเจื่อนขึ้นมา กล่าวว่า “เมื่อไม่มีเรือนเป่าซู่คอยส่งของมาให้ การบำเพ็ญเพียรของเหล่าลูกศิษย์ก็ได้รับผลกระทบไม่น้อยจริงๆ ขอเจ้าแห่งยอดเขาอย่าได้โทษที่ศิษย์น้องโมโห”

“ตอนนี้ในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน ยอดเขาปี้หูของพวกเรานี่แหละที่น่าสงสารมากที่สุด แต่จะไปโทษใครได้ล่ะ? ใครใช้ให้เขาไปทำความผิดที่ไม่ควรทำเช่นนั้นกัน?”

เฉิงโหยวเทียนยิ้มเยาะตัวเองพลางกล่าว “ตอนนั้นข้าซึ่งยังบรรลุเพียงขั้นคเนจรก็ถูกสั่งให้มาเป็นเจ้าแห่งยอดเขา เรื่องที่น่าขันเช่นนี้ยังเกิดขึ้นได้ แสดงให้เห็นว่าท่านเจ้าสำนักและกฎกระบี่ต้องการให้พวกเราหุบปาก ต้องการให้พวกเราใช้ชีวิตตามปกติไป ถ้าพวกท่านไม่เห็นด้วย เช่นนั้นก็เข้าไปในยอดเขาซ่อนเร้นเชิญผู้อาวุโสซักคนมาฟ้องร้องพวกเขาเสีย”

ผู้อาวุโสคนนั้นยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเหล่านั้นกลายเป็นกระดูกไปนานแล้ว เชิญออกมาไหว้หรือ?”

เฉิงโหยวเทียนกล่าวว่า “เช่นนั้นยังจะคิดอะไรอีกล่ะ? ก็ทนไปนี่แหละ ทนไปซักร้อยปีแล้วค่อยมาว่ากัน อย่าว่าแต่มาเดินเล่นเลย ต่อให้ทำอะไรข้าก็จะทำเป็นมองไม่เห็นทั้งนั้น”

ผู้อาวุโสคนก่อนหน้าโมโหขึ้นมา “แล้วจะให้ทนไปถึงเมื่อไร? ยิ่งทนยิ่งอ่อนแอ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเราจะแบกรับไหวได้อย่างไร?”

เฉิงโหยวเทียนถอนใจพลางกล่าว “เลี้ยงดูบูรพาจารย์ให้ดีสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ขอเพียงมันยังอยู่ ยังไงท่านเจ้าสำนักก็ต้องไว้หน้ายอดเขาปี้หูของเราบ้าง”

……

……

ยอดเขาปี้หูมีข่ายพลังที่แข็งแกร่งอย่างมากอยู่แห่งหนึ่ง ผิวทะเลสาบดูใสกระจ่าง แต่กลับไม่รู้ว่ามีอันตรายแฝงอยู่มากน้อยเท่าไร

เจ้าล่าเยวี่ยคาดเดาได้ว่าจิ๋งจิ่วจะพาตัวเองไปที่ใด แต่ตำหนักที่อยู่บนเกาะใจกลางทะเลสาบหลังนั้นคือเขตหวงห้ามของชิงซาน แม้นนางจะเป็นเจ้าแห่งยอดเขา แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเช่นกัน

จู่ๆ นางพลันรับรู้ได้ว่าจิ๋งจิ่วเดินไปแล้ว แต่เมื่อหมุนตัวกลับไปมองกลับพบว่าเขายังยืนอยู่ที่เดิม เพียงแต่ไม่มีกลิ่นอายใดๆ หลงเหลืออยู่อีก

กลิ่นอายที่ว่านี้มิใช่แค่เพียงลมหายใจ หากแต่รวมไปถึงการหดขยายของรูขุมขน การไหลเวียนของเลือด

จิ๋งจิ่วคล้ายกลายเป็นก้อนหินที่ไร้ชีวิต

เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่าเขามีความสามารถเช่นนี้อยู่ จึงมิได้รู้สึกแปลกใจอะไร

ในอดีตตอนที่อยู่บนยอดเขากระบี่ ตอนที่จั่วอี้คิดอยากจะสังหารนาง เขาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้ซึ่งซุ่มเสียงเช่นนี้

แต่นางมิได้มีความสามารถเช่นนี้ เช่นนั้นต้องทำอย่างไรจึงจะผ่านข่ายพลังปิดกั้นนี้ไปได้ อีกทั้งยังไม่ทำให้คนที่อยู่บนยอดเขาปี้หูรู้ตัวด้วย?

จิ๋งจิ่วเอาของสิ่งหนึ่งให้นาง

นั่นคือแผ่นป้ายไม้ไผ่สีเขียวมรกตอันหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่ประมาณไพ่นกกระจอก ดูไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีกลิ่นอายพลังใดๆ แผ่กระจายออกมา

ที่มหัศจรรย์ก็คือในตอนที่เจ้าล่าเยวี่ยรับเอาแผ่นป้ายไม้ไผ่นั้นมา ข่ายพลังปิดกั้นที่อยู่รอบทะเลสาบพลันหายไป พูดอีกอย่างก็คือเปิดเป็นทางเส้นหนึ่งขึ้นมาตรงหน้านาง

เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง จึงถามอย่างตกใจว่า “หรือว่านี่จะเป็นป้ายเจ้าสำนัก?”

นอกจากป้ายเจ้าสำนักแล้วยังมีอะไรที่ทำให้ข่ายพลังปิดกั้นในชิงซานหายไปได้?

จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่ใช่”

เจ้าล่าเยวี่ยพลิกดูแผ่นป้ายไม้ไผ่เล็กๆ ที่เป็นสีเขียวมรกต พบว่ามีรูปไก่ฟ้าอยู่ตัวหนึ่ง

นางถามอย่างใครรู้ว่า “นี่คืออะไร?”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เยาจี[2]”

เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกว่าคุ้นหู ชื่อนี้คล้ายเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

……

……

พระอาทิตย์ร้อนแรงลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า ทะเลสาบสงบนิ่งไร้คลื่นลม

น้ำทะเลสาบอันใสกระจ่างพลันเอ่อขึ้นมา ไหลท่วมหาดทรายที่เป็นสีเงิน ก่อนจะถอยกลับไป

จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเดินขึ้นมาจากในทะเลสาบ ร่างกายมีไอน้ำสีขาวปรากฏขึ้นมา เดินไปไม่กี่ก้าว เสื้อผ้าก็แห้งสนิท

ปลายยอดเขาปี้หูอยู่ตรงกับดวงตาวิญญาณแห่งหนึ่งของข่ายพลังชิงซาน เมฆฝนมักจะมารวมตัวอยู่บ่อยครั้ง สายฟ้าฟาดลงมาไม่ขาดสาย น้อยครั้งนักที่จะมีสภาพอากาศอย่างในเวลานี้

เหล่าแมวป่าต่างมุดออกมาจากในป่าและในตำหนัก นอนอาบแดดอยู่บนหาดทรายริมทะเลสาบ ดูแล้วช่างยิ่งใหญ่ตระการตา

จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเดินไปทางตำหนัก แมวป่าเหล่านั้นหรี่ตา แล้วก็มิได้สนใจพวกเขา

เจ้าล่าเยวี่ยสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แผ่มาจากด้านหน้า ในใจครุ่นคิดถึงคำร่ำลือ รู้สึกตื่นเต้น

ยิ่งเข้าใกล้ตำหนัก แรงกดดันสายนั้นก็ยิ่งชัดเจน

เพียงแต่แรงกดดันสายนี้มาจากที่ใดกันแน่

จิ๋งจิ่วเดินไปนั่งลงบนบันไดหินหน้าตำหนัก

แมวสีขาวตัวหนึ่งฟุบหมอบอยู่ที่นั่น บนขนสีขาวอันยุ่งเหยิงล้วนเต็มไปด้วยเศษฝุ่น

เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ หรือนี่ก็คือท่านผู้นั้น?

เจ้าล่าเยวี่ยมองดูขนสกปรกของแมวขาว พลางคิดถึงผมของตัวเองเมื่อในอดีต อารมณ์ตื่นเต้นหายไปเล็กน้อย จากนั้นเดินเข้าไป มองดูจิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วส่งสายตาบอกนางว่าไม่ต้องกลัว เขากล่าวกับแมวขาวตัวนั้นว่า “นางคือเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อในตอนนี้ ชื่อเจ้าล่าเยวี่ย”

แมวขาวมิได้ลืมตา มันยังคงฟุบหมอบอย่างเกียจคร้านอยู่

จิ๋งจิ่วกล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยว่า “ไป๋กุ่ยผู้พิทักษ์แห่งชิงซาน หรือเจ้าจะเรียกมันว่าหลิวอาต้า[1]ก็ได้”

เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ เป็นเช่นนี้นี่เอง สีหน้านางพลันสงบนิ่ง ก่อนจะคารวะอย่างตั้งใจ

ความอาวุโสของผู้พิทักษ์แห่งชิงซานสูงส่งกว่าเจ้าสำนักมากนัก เรียกได้ว่าเป็นรากฐานที่ทำให้ชิงซานสงบสุขมาได้เป็นหมื่นปี

นางเพียงแต่รู้สึกว่าชื่อของผู้พิทักษ์ฟังดูบ้านนอกไปหน่อย

ไป๋กุ่ยลืมตา มองดูเจ้าล่าเยวี่ย ในสายตาเต็มไปด้วยความเฉยชาและเกียจคร้าน

ทันใดนั้น ดวงตาของมันพลันเปล่งประกาย จากนั้นเหลือบมองไปทางจิ๋งจิ่ว

—-ผู้สืบทอดที่เจ้าเลือกมาเป็นผู้หญิงหรือนี่ หรือสุดท้ายเข้าใจแล้วว่าการบรรลุเป็นเซียนมันไม่มีอะไรน่าสนใจ อยู่บนโลกมนุษย์สนุกกว่าเยอะ?

จิ๋งจิ่วไม่รู้ว่าในใจมันกำลังคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวว่า “หลังจากนี้ฝากดูแลด้วยนะ”

ไป๋กุ่ยเอาหัวกลับไปวางบนอุ้งเท้านุ่มๆ เกียจคร้านที่จะสนใจเขา ในใจครุ่นว่าคิดครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กนะ

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้ามาเพราะมีธุระ”

ไป๋กุ่ยคิดในใจว่าเหลวไหล ไม่อย่างนั้นเจ้าจะมาทำอะไร

จิ๋งจิ่วกล่าว “ยังไงซะเจ้าก็นอนหลับอยู่ทุกวัน ถ้าไงไปนอนที่ยอดเขาของข้าไหม?”

ไป๋กุ่ยเหลือบมองเขา

บนยอดเขาปี้หูมีสายฟ้า มีดาวตก ทั้งยังมีไม้วิญญาณอัศนี แล้วจะให้ข้าไปอยู่บนยอดเขาที่ไม่มีอะไรนั่นของเจ้า จะให้ข้ากินอะไร? ดื่มอะไร?

“ไม่นาน สั้นๆ ก็สามปี นานหน่อยก็ห้าปี ถ้าเจ้าตกลง เรือนเป่าซู่คืนให้ยอดเขาปี้หูครึ่งหนึ่ง”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ยอดเขาปี้หูรับใช้เจ้ามายาวนานขนาดนี้ เจ้าคงไม่อยากเห็นพวกเขาลำบากเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”

แมวขาวหรี่ตา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

มือของจิ๋งจิ่ววางลงไปบนตัวมัน

ม่านตาของไป๋กุ่ยหดเล็กเหมือนเข็ม ขนเองก็ตั้งชูชันขึ้นมา

เมื่อรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวที่มันแผ่ออกมา เจ้าล่าเยวี่ยพลันตื่นเต้น

สีหน้าจิ๋งจิ่วมิเปลี่ยน ลูบไล้ไปบนตัวมัน

แมวเขาหลับตา ยอมให้เขาลูบไล้

มือของจิ๋งจิ่ววางลงไปบนคอของมัน ทันใดนั้นพลันคว้าจับแล้วยกมันขึ้นมา

ไป๋กุ่ยพลันลืมตา มิอาจทนต่อไปได้อีก มันร้องเมี๊ยวออกมา เตรียมลงมือโจมตี

ทันใดนั้นเอง มันพบว่าตัวเองตกลงไปบนที่ที่อบอุ่น

ในอ้อมอกของเจ้าล่าเยวี่ย

ไป๋กุ่ยลังเลอยู่ครู่ ใช้ใบหน้าถูไถไปมา จากนั้นใช้ขาหน้าเหยียบลงไป

รู้สึกไม่เลว นุ่มเป็นอย่างมาก

มันใจอ่อน รู้สึกว่าที่จิ๋งจิ่วพูดมาก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน

……………………………………………….

[1]หลิวอาต้า แปลว่า เจ้าใหญ่แซ่หลิว

[2]เยาจี แปลว่า ไก่ปีศาจ