เจ้าล่าเยวี่ยอุ้มไป๋กุ่ยเอาไว้ เดินตามจิ๋งจิ่วเข้าไปในตำหนัก
ภายในตำหนักกว้างขาง พื้นก่อขึ้นมาจากหยกเขียว ไม่รู้ว่าใช้วิธีการอะไรถึงได้แกะสลักลวดลายที่มีความซับซ้อนละเอียดขนาดนั้นออกมาได้ เปล่งประกายระยับระยิบ แผ่กลิ่นอายของข่ายพลังออกมาบางๆ
รอบนอกพื้นหยกข่ายพลังมีแท่นสูงประมาณครึ่งตัวคนวางอยู่แถวหนึ่ง ซึ่งก็ทำขึ้นมาจากหยกเขียวเช่นเดียวกัน พื้นผิวเรียบลื่นเป็นมันวาว ด้านบนมีขวดหยดรูปร่างต่างๆ วางอยู่
เจ้าล่าเยวี่ยเดาได้ว่าขวดหยกเหล่านี้น่าจะเป็นวัตถุดิบที่ใช้พลังสายฟ้าในการเลี้ยงดูขึ้นมา ผ่านไปช่วงหนึ่งก็จะถูกส่งไปยังยอดเขาซื่อเยวี่ยเพื่อใช้ทำยาวิเศษชนิดต่างๆ
หากเป็นเวลาปกตินางคงจะเดินไปดูป้ายบนขวกหยกเหล่านั้นเหมือนอย่างจิ๋งจิ่ว แต่ตอนนี้สมาธิทั้งหมดของนางล้วนแต่อยู่ที่หน้าอกของตัวเอง
หากใช้คำพูดที่นางเคยพูดกับจิ๋งจิ่วประโยคนั้นมาอธิบาย นางดุร้ายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนต่างรู้ว่านางใจกล้าอย่างมาก แต่ในเวลานี้นางกลับกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก
แมวขาวที่ถูกนางกอดเอาไว้ในอ้อมอกไม่ขยับ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนกำลังอุ้มภูเขาทั้งลูก แล้วก็เหมือนกำลังอุ้มควันสายหนึ่งอยู่
หากจะนิยามให้ตรงมากกว่านั้นก็น่าจะเป็น — นางเหมือนกำลังอุ้มป้ายวิญญาณของบูรพาจารย์ของสำนักชิงซานอยู่
แขนทั้งสองข้างของนางแข็งเกร็ง ฝีเท้าหนักอึ้ง สายตามองดูจิ๋งจิ่วพลางถามว่า “พวกเรามาที่นี่ทำไม?”
ไป๋กุ่ยลืมตามองดูนาง ในใจครุ่นคิดว่าชิงซานนี่แย่ลงทุกวันจริงๆ ดูเผินๆ แล้วยอดเยี่ยม แต่ทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้?”
“ในเมื่อจะอุ้มมันไป ก็ย่อมต้องเอาไม้วิญญาณอัศนีไปด้วย”
จิ๋งจิ่วกล่าวจบ ก็เดินไปตรงกลางของพื้นหยกสีเขียว
พื้นหยกข่ายพลังเกิดการตอบสนอง เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมาด้วยตัวเอง พื้นค่อยๆ ยกขึ้นมา มีแท่นหินสี่เหลี่ยมแท่นหนึ่งปรากฏขึ้นมา
บนแท่นหินมีจานกระเบื้องวางอยู่สามสี่ใบ ภายในจานกระเบื้องมีวัตถุสีดำเมื่อมวางอยู่หลายท่อน จากลวดลายที่พอจะมองเห็นลางๆ ทำให้รู้ว่ามันน่าจะเป็นท่อนไม้
นี่คือไม้วิญญาณอัศนีที่ล้ำค่าที่สุดของชิงซาน
ไม้วิญญาณอัศนีฝังอยู่ในใจกลางไม้โบราณที่จมอยู่ในส่วนลึกของน้ำวนยักษ์ ถูกแช่อยู่ในน้ำทะเลเป็นเวลายาวนาน แล้วก็ถูกแรงกดดันของน้ำวนยักษ์ชะล้างเป็นเวลายาวนาน จากนั้นถูกยอดฝีมือขั้นทะลวงสวรรค์ของสำนักชิงซานเก็บขึ้นมา เพื่อมารับพลังสายฟ้าอยู่บนยอดเขาปี้หู หลังจากนั้นอีกห้าร้อยปีถึงจะสุกงอม กลายเป็นไม้วิญญาณอัศนีที่เล่าลือกัน
สำนักชิงซานก่อตั้งสำนักมาเป็นหมื่นปี จำนวนของไม้วิญญาณอัศนีเองก็มีจำกัด กระจัดกระจายไปจำนวนหนึ่ง ก่อนหน้านี้หลายปีก็มาถูกขโมยไปอีกสองท่อน เวลานี้เหลือเพียงแค่หกท่อน ในนั้นมีอยู่ท่อนหนึ่งยังไม่สุกงอม จำเป็นต้องทิ้งเอาไว้ที่นี่เพื่อรับพลังสายฟ้าต่อ
จิ๋งจิ่วเก็บไม้วิญญาณอัศนีห้าท่อน จากนั้นเหลียวกลับมามองดูเจ้าล่าเยวี่ย ก่อนจะพบว่าท่าทางในการอุ้มแมวของนางดูแข็งเกร็ง สีหน้าเหมือนกำลังมีกองทัพศัตรูบุกเข้ามา จึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ พลางกล่าวว่า “ผ่อนคลายหน่อย เจ้าลูบๆ มันได้ มันชอบให้ทำแบบนั้น”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวอย่างประหม่าว่า “ข้าไม่เคยเลี้ยงแมว ลูบไม่เป็น”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ก็เหมือนที่ข้าชอบลูบหัวเจ้านั่นแหละ”
เจ้าล่าเยวี่ยงุนงง ก่อนจะหวนนึกถึงความรู้สึกในเวลาปกติ ก่อนจะเอามือไปวางไว้บนตัวมันอย่างระมัดระวัง จากนั้นเริ่มลูบไล้
มือของนางเคลื่อนไหว ดวงตาของไป๋กุ่ยค่อยๆ หรี่ลง พลางส่งเสียงกรนเบาๆ ออกมา
เจ้าล่าเยวี่ยกระวนกระวาย ใช้สายตาถามจิ๋งจิ่วว่านี่เป็นสัญญาณล่วงหน้าว่ากำลังจะโมโหหรือเปล่า
จิ๋งจิ่วกล่าว “มันรู้สึกสบาย”
……
……
เฉิงโหยวเทียนได้รับรายงานจากศิษย์ รู้ว่าจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยได้ขี่กระบี่ออกไปแล้ว จึงถามว่า “พวกเขาทำอะไรบ้าง?”
ลูกศิษย์กล่าวอย่างละอาย “ไม่ได้ตามไป เลยไม่รู้ว่าหลังจากนั้นพวกเขาไปที่ไหนบ้างขอรับ”
เฉิงโหยวเทียนขมวดคิ้วกล่าวว่า “บนยอดเขามีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม?”
ศิษย์ส่ายศีรษะพลางกล่าว “ไม่มีขอรับ”
เฉิงโหยวเทียนรู้สึกแปลกใจอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าคนหนึ่งเพิ่งจะกลับมาจากที่ราบหิมะ อีกคนหนึ่งเพิ่งจะบรรลุสภาวะขั้นคเนจร แต่ในเวลานี้แบบนี้กลับมายังยอดเขาปี้หู นี่คิดจะทำอะไรกันแน่?
ต่อให้รู้สึกว่าที่นี่ทิวทัศน์งดงาม แต่เหตุใดต้องรีบร้อนมาที่นี่ถึงขนาดนี้?
เขาคิดไม่เข้าใจ แล้วก็รู้สึกหงุดหงิด รู้สึกเหมือนพลาดอะไรบางอย่างไป
……
……
กระบี่มิคำนึงบินลงบนยอดเขา ทำให้สีแดงของท้องฟ้ายามเย็นดูจางลง
กู้ชิงและหยวนฉวี่มองแมวสีขาวที่อยู่ในอ้อมอกของเจ้าล่าเยวี่ย รู้สึกค่อนข้างตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าอาจารย์สองท่านนี้ไปอุ้มสัตว์เลี้ยงมาจากไหน?
ในหมู่ยอดเขาของชิงซานมีนกหายากและสัตว์แปลกๆ มากมาย แต่กลับไม่ค่อยได้เห็นสัตว์เลี้ยงธรรมดาอย่างหมาแมวเท่าไรนัก
หยวนฉวี่เดินเข้าไปอย่างอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะมองเห็นแมวขาวตัวนั้นหลับตา ท่าทางดูเชื่อง จึงยื่นมือเข้าไปด้วยคิดอยากจะลูบไล้มันดู
จิ๋งจิ่วมองเขา
หยวนฉวี่รู้สึกหลังมือเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง จึงรีบหดมือกลับ แต่กลับเข้าใจเจตนาของจิ๋งจิ่วผิดไป
กู้ชิงพบปัญหา เพราะท่าทางในการอุ้มแมวของเจ้าล่าเยวี่ยดูแข็งเกร็ง สีหน้าดูวิตกกังวล คล้ายกับเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างไรอย่างนั้น
หากเป็นแมวบ้านธรรมดา นางจะทำสีหน้าเช่นนี้ได้อย่างไร?
เจ้าล่าเยวี่ยอุ้มแมวเดินเข้าไปในถ้ำ
กู้ชิงถามขึ้นมาอย่างกระวนกระวาย “อาจารย์ นี่คือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ห้ามพูดออกไป”
เวลาหยวนฉวี่ถึงได้รู้ว่าความเป็นมาของแมวตัวนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน จึงรีบรับคำอย่างจริงจัง
จิ๋งจิ่วจึงได้บอกเล่าสถานะที่แท้จริงของแมวขาวออกมา
กู้ชิงตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก หยวนฉวี่ใช้มือปิดปากตัวเองเอาไว้แน่น ถึงได้ไม่ส่งเสียงอุทานตกใจออกมา
อาจารย์ทั้งสองคนอุ้มท่านผู้พิทักษ์กลับมาอย่างนั้นหรือนี่
ถ้าอาจารย์ในยอดเขาต่างๆ ของชิงซานล่วงรู้เรื่องนี้เข้า ไม่รู้ว่าจะเกิดความวุ่นวายขนาดไหนขึ้น
กู้ชิงพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย รีบวิ่งเข้าไปในถ้ำ
หยวนฉวี่เองก็คิดขึ้นมาได้ จึงส่งเสียงร้องอุทานขึ้นมาแล้วรีบวิ่งตามเข้าไป
……
……
ภายในส่วนลึกของถ้ำไม่มีภาพเหตุการณ์นองเลือดอย่างที่พวกเขากังวล
แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ก็ค่อนข้างแปลกเช่นเดียวกัน
เจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่ข้างตั่ง ดวงตาเบิกโต
แมวขาวนอนฟุบอยู่บนตั่ง ดวงตาปิดสนิท นอนหลับอย่างสบาย
ไม่รู้ว่าทำไมด้วงหิมะที่ชื่อว่า ‘จักจั่นเหมันต์’ ถึงไปเกาะอยู่บนหัวของมัน เนื้อตัวสั่นเทา หวาดกลัวจนใกล้จะตาย
จักจั่นเหมันต์ไม่กล้าเกาะขนแมวเอาไว้ ขาแข็งเกร็ง จากนั้นครู่หนึ่งก็ไหลตกลงมาคล้ายก้อนหินก้อนหนึ่ง
แมวขาวยื่นอุ้งเท้าที่มีขนปุยๆ เกี่ยวมันขึ้นมา ก่อนจะเอามันวางไว้บนศีรษะ กระทั่งดวงตาก็มิได้ลืมขึ้นมา
นี่หมายความว่าอย่างไร? มันคิดจะเอาสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยตัวนี้มาทำเป็นโบอย่างนั้นหรือ?
……
……
“ท่านผู้พิทักษ์นอนอยู่บนตั่งหยกเหมันต์จะหนาวหรือเปล่า?”
“น่าจะไม่เป็นอะไร ที่สำคัญคือมันแข็งไปหน่อย”
“นั่นสิ พวกเราควรจะทำรังให้ไหม?”
“สิ่งสำคัญคือท่านผู้พิทักษ์กินอะไร?”
หยวนฉวี่ยังคงจมอยู่ในความตกตะลึง เสียงฟังดูสั่นเครือ กระทั่งกู้ชิงเองก็ดูสีหน้าเหม่อลอย
พวกเขาย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องผู้พิทักษ์ชิงซานมา แต่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้มาเห็นสัตว์เทพของชิงซานในตำนานด้วยตาตัวเองแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากนี้เหมือนว่า…จะได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันด้วย?
ยิ่งไปกว่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าไป๋กุ่ยที่เล่าลือกันว่าลึกลับและน่ากลัวที่สุดกลับเป็นแมวตัวหนึ่ง
นี่มันเหนือไปจากที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้โดยสิ้นเชิง
กู้ชิงถามอย่างไม่มั่นใจ “อาจารย์ ท่านไม่ได้เอามาผิดตัวใช่ไหม?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่ผิด พวกเจ้าเรียกเขาว่าหลิวอาต้าก็ได้”
กู้ชิงกับหยวนฉวี่สบตากัน ในใจครุ่นคิดพวกข้าไม่กล้าเรียกท่านผู้พิทักษ์เช่นนี้หรอก
นอกจากนี้ ชื่อที่ฟังดูบ้านนอกอย่างหลิวอาต้านี้ได้มาแต่ใดกัน?
“ท่านไป๋กุ่ย[1]มิใช่ผี แต่กลับเป็นแมว อย่างนั้นหรือท่านอินเฟิ่ง[2]จะมิใช่นกเฟิ่งหวง[3]เช่นกัน?”
หยวนฉวี่ถามขึ้นมาทันที
จิ๋งจิ่วกล่าว “คือไก่น่ะ”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ เจ้าล่าเยวี่ยพลันนึกถึงป้ายไม้ไผ่สีเขียวมรกตชิ้นนั้น สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าหรือเจ้าเรียกมันว่าเยาจี[4]
หยวนฉวี่รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
กู้ชิงถามออกมาว่า “หรือท่านหยวนกุย[5] จะมีร่างเป็นอย่างอื่นเช่นกัน?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เอ่อ มันเป็นแค่เต่าแก่ๆ ตัวหนึ่งนั่นแหละ”
……………………………………………………………
[1]ไป๋กุ่ย แปลว่า ผีสีขาว
[2]อินเฟิ่ง แปลว่า หงส์จันทรา
[3]นกเฟิ่งหวง คือ หงส์ซึ่งเป็นสัตว์เทพในตำนานของจีน
[4]เยาจี แปลว่า ไก่ปีศาจ
[5]หยวนกุย แปลว่า เต่าต้นกำเนิด