ตอนที่ 294 เยี่ยมเยียน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

กูที่สิบเจ็ดตะลึงงันอยู่ตรงนั้น ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา

กระทั่งเมื่อได้สติคืนกลับมา ก็อดไม่ได้หัวเราะคิกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

ตระกูลกู้เป็นตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยมั่งคั่ง คนหลายต่อหลายรุ่นล้วนอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด ลูกหลานที่เติบโตขึ้นมาจากตระกูลเช่นนี้ มักจะรู้จักการสำรวจสีหน้าของผู้คนมาตั้งแต่เล็กๆ เวลาจะพูดหรือกระทำอะไรก็ต้องยั้งเอาไว้ส่วนหนึ่ง ญาติพี่น้องที่อยู่รอบข้าง มิตรสหายที่คบค้าสมาคมด้วย หรือผู้คนที่ไปมาหาสู่กันนั้น ต่อให้ลับหลังจะเกลียดชังกันจนแทบอยากจะแทงด้วยมีดแต่ต่อหน้าล้วนต้องนำสุราออกมาต้อนรับขับสู้และเรียกขานกันว่าพี่น้อง นางไหนเลยจะเคยพบเห็นคนที่จริงใจและตรงไปตรงเช่นโจวเสาจิ่น การแสดงออกของโจวเสาจิ่นจริงจัง สีหน้าก็จริงใจ ทำให้ต่อให้เจ้าอยากจะโกรธก็ไม่รู้ว่าควรจะโกรธใครดี อยากจะจับผิดก็ไม่มีเหตุผลอะไรมาจับผิดได้

นี่คงเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า ‘ทำให้ทหารยอมจำนนโดยที่ยังไม่ได้ต่อสู้’ นั่นกระมัง

กูที่สิบเจ็ดหัวเราะจนควบคุมตัวเองไม่ได้

โจวเสาจิ่นงุนงง กล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยสบายใจว่า “ข้าพูดอะไรผิดไปใช่หรือไม่”

“เปล่าๆ” กูที่สิบเจ็ดหัวเราะพลางจับไหล่ของโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “เจ้ากล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก” กล่าวอีกว่า “ถ้าหากว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับท่านอาสี่อนุญาตแล้ว เจ้าจะต้องเล่าให้ข้าฟังว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาด้วยเรื่องอะไร ตกลงหรือไม่”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ

บางทีอาจจะเป็นเพราะนางยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ทำให้กูที่สิบเจ็ดรู้สึกว่านางน่าเชื่อถือและพึ่งพาได้ ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกปรารถนาจะระบายความในใจกับนางขึ้นมา รอยยิ้มค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้าดูสถานที่ที่ข้าพักอาศัยอยู่นี้ก็คงจะรู้แล้ว ถึงแม้ว่าภายนอกตระกูลกู้จะมีชื่อเสียงมาก ทว่าความเป็นอยู่ในแต่ละวันกลับจำกัดจำเขี่ยยิ่งนัก แต่ก็มิใช่เป็นเพราะตระกูลกู้ไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะตระกูลกู้มีกฎระเบียบว่า เงินของคลังกองกลางนั้นจะหยิบออกมาให้แต่ละจวนได้เพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น บิดาของข้าเป็นบุตรลำดับที่ห้าของตระกูล อายุมากกว่ายี่สิบเจ็ดปีแล้วกว่าจะสอบได้ซิ่วไฉ พี่น้องร่วมสกุลของตระกูลที่เรียนหนังสือจะได้รับเงินจากกองกลาง ทว่าเบี้ยรายเดือนกลับเป็นจำนวนที่ตายตัว กล่าวคือ ซิ่วไฉได้สิบเหลี่ยง จวี่เหรินได้สี่สิบเหลี่ยง และจิ้นซื่อได้แปดสิบเหลี่ยง หากเป็นคนตัวเปล่าเล่าเปลือยไร้ตำแหน่ง ก่อนแต่งงานจะได้เพียงหนึ่งเหลี่ยง ส่วนหลังแต่งงานแล้วจะได้เพียงสองเหลี่ยงเท่านั้น”

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ปากอ้าตาค้าง

ในหนึ่งเดือนพ่อบ้านแม่บ้านที่มีความสามารถข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่างก็ได้รับเบี้ยรายเดือนเป็นเงินสองเหลี่ยงแล้ว…

“บรรพบุรุษของพวกท่านตั้งกฎเช่นนี้ขึ้นมา คงเพราะต้องการกระตุ้นให้บุตรหลานตั้งใจเล่าเรียนหนังสือกระมัง” นางกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้

กูที่สิบเจ็ดพยักหน้า กล่าวขึ้นว่า “อยู่ด้านนอกตระกูลกู้มีชื่อเสียงมากนัก ด้วยเหตุนี้สตรีของตระกูลกู้จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปหารายได้อย่างเปิดเผยได้ ดังนั้นก่อนหน้านี้รายจ่ายของบ้านข้าจึงอาศัยสินเดิมของมารดาข้า ต่อมาก็อาศัยความอนุเคราะห์จากตระกูลฝั่งมารดาของข้า โชคดีที่เมื่อถึงเวลาเป็นผู้ใหญ่แล้วพี่น้องในตระกูลต่างก็ได้ย้ายออกไปตามลำดับ ไม่อย่างนั้นต่อให้ได้รับความอนุเคราะห์จากตระกูลฝั่งมารดาของข้า พวกข้าพี่น้องต่อให้อยากจะซื้อดอกไม้มาประดับสักชิ้นก็เกรงว่าคงจะไม่มีเงินซื้อ”

ค่าใช้จ่ายประจำวันกับค่าเสื้อผ้าทั้งสี่ฤดูของตระกูลกู้คงจะได้รับการแบ่งสันปันส่วนมาจากคลังกองกลางกระมัง

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นการแบ่งสันปันส่วนมาจากคลังกองกลาง เช่นนั้นคงไม่มีทางเลือกอะไรมากมายเป็นแน่ อย่างมากก็ให้เจ้าได้กินอิ่มและไม่หนาวตายก็เท่านั้น

แต่คนที่ไปมาหาสู่กับตระกูลกู้ล้วนเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลโตของเมืองจินหลิงทั้งนั้น จึงพอจะจินตนาการได้ว่าชีวิตของกูที่สิบเจ็ดเป็นอย่างไรบ้าง

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “หากพี่สาวไม่รังเกียจ ข้ายังมีผ้าดีๆ อีกหลายพับ วันหน้าจะให้คนส่งมาให้พี่สาวเอาไว้ตัดชุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วง”

เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง กูที่สิบเจ็ดก็น่าจะออกจากการไว้ทุกข์แล้ว

นางกล่าวขึ้นอีกอย่างอดไม่ได้ว่า “พี่สาวหมั้นหมายหรือยังเจ้าคะ”

กูที่สิบเจ็ดผู้ตรงไปตรงมาหน้าแดงขึ้นมาอย่างที่น้อยครั้งนักที่จะได้เห็น กล่าวขึ้นว่า “ยังหรอก!”

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นหัวเราะ

จะได้ตัดชุดสักสองสามชุดเอาไว้สำหรับดูตัว

กูที่สิบเจ็ดกลับยิ้มอย่างขื่นขมพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “มีตระกูลใหญ่ในเมืองจินหลิงตระกูลใดบ้างที่ไม่ทราบกฎข้อนี้ของตระกูลกู้ของพวกข้า ต่อให้ข้าสวมชุดที่ทำจากผ้าไหมชั้นดีผู้อื่นก็ไม่มองข้าเป็นกูที่ยี่สิบได้หรอก”

กูที่ยี่สิบของตระกูลกู้คือบุตรสาวของนายท่านรองของตระกูลกู้

นายท่านรองของตระกูลกู้สอบเป็นจวี่เหรินได้ตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ดปี อีกทั้งยังได้แต่งงานกับบุตรสาวของตระกูลผู้ดีในเมืองจินหลิง ในปีนั้นเพียงแค่สินติดตัวก็มีมากถึงหนึ่งร้อยยี่สิบสี่คนหาม

โจวเสาจิ่นเองก็ไม่รู้ว่าควรจะปลอบโยนนางอย่างไรดี

แต่กูที่สิบเจ็ดกลับเป็นคนที่ร่าเริงอยู่เสมอ เป็นคนสบายๆ กว่าโจวเสาจิ่นมากนัก กล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องของข้าปล่อยให้เป็นเรื่องของสวรรค์กำหนดครึ่งหนึ่งและโชคชะตาอีกครึ่งหนึ่งเถิด เจ้าก็อย่าได้ฟังข้าพูดเช่นนี้แล้วเก็บมากังวลใจแทนข้าเลย ถึงแม้ว่าพวกเราพี่น้องจะเข้ากันได้ดี แต่บางเรื่องก็ไม่อาจเล่าให้กันฟังได้ วันนี้ได้ระบายกับเจ้าเช่นนี้ ข้ารู้สึกสบายใจขึ้นมาก”

โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ถ้าหากว่าต่อไปพี่สาวมีเรื่องไม่สบายใจอีก ก็ให้มาคุยกับข้าก็แล้วกัน”

กูที่สิบเจ็ดกล่าวขึ้นว่า “ไม่กลัวว่าจะทำให้เจ้าไม่สบายใจไปด้วยหรือ”

“ไม่เจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะอย่างขัดเขิน

กูที่สิบเจ็ดจึงเชิญให้นางชิมขนมเปี๊ยะไส้ดอกเถิงหลัว กล่าวขึ้นว่า “ข้าเองก็ทำเป็นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าทำได้ไม่อร่อยเท่าน้องสาวสิบแปดเท่านั้น หากเจ้าชื่นชอบ ประเดี๋ยวข้าจะขอจากนางให้เจ้านำกลับไปด้วยสักเล็กน้อย”

กลัวแต่ว่ารับน้ำใจของกูที่สิบแปดมาแล้ว เมื่อถึงเวลากูที่สิบเจ็ดจะต้องใช้สิ่งของอย่างอื่นตอบแทนน้ำใจในครั้งนี้

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็เพียงรู้สึกแปลกใหม่เท่านั้น ข้าชอบกินอะไรที่นุ่มๆ มากกว่าเจ้าค่ะ”

กูที่สิบเจ็ดได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “พอเจ้าพูดถึงเรื่องนี้ ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง คราวก่อนไปเป็นแขกที่ซอยจิ่วหรู โรงครัวของพวกเจ้าทำขนมถั่วลันเตาเหลืองกวนได้อร่อยยิ่งนัก เจ้าช่วยนำความไปบอกเฉิงเจีย ให้นางส่งขนมมาให้ข้าสักสองสามกล่องในนามของนางได้หรือไม่ หลังจากที่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของข้าได้กินแล้วกลับมาก็ชมไม่ขาดปาก ข้าพิจารณาดูแล้วอีกไม่กี่วันก็จะวนมาถึงคราวของข้าต้องพูดคุยเรื่องแต่งงานแล้ว อยากจะเอาใจขอความโปรดปรานจากนาง เพื่อที่นางจะได้ช่วยดูให้ข้าดีๆ สักหน่อย”

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ได้แต่รู้สึกปวดแปลบใจ รู้ว่าจวนห้าอาจจะไม่ค่อยมีสถานะอะไรในตระกูลกู้ หากกูที่สิบเจ็ดปรารถนาจะแต่งงานกับตระกูลดีๆ สักตระกูลหนึ่ง ก็ต้องขอให้ฮูหยินใหญ่ของตระกูลกู้ออกหน้าไปช่วยดูตัวกับตระกูลฝ่ายชายให้

นางรีบกล่าวขึ้นว่า “นอกจากขนมถั่วลันเตาเหลืองกวนแล้ว ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของท่านยังชอบกินอะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่ หรือไม่ ข้าจะบอกพี่สาวเจีย ให้บรรจุขนมทุกอย่างมาอย่างละนิดอย่างละหน่อย ทำเป็นกล่องขนมรวมมิตรส่งมาให้หนึ่งกล่อง ทั้งดูดีด้วยแล้วก็ดูให้เกียรติด้วย”

“อย่างไรก็ได้!” กูที่สิบเจ็ดกล่าวยิ้มๆ “ข้าเพียงอยากจะขอใช้อำนาจของตระกูลเฉิงเท่านั้น ไม่ได้อยากจะได้ขนมของตระกูลเฉิงจริงๆ”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ ครุ่นคิดว่าเมื่อกลับไปแล้วจะไปหารือกับท่านน้าฉือสักหน่อย แทนที่จะส่งมาให้ในนามของเฉิงเจีย ไม่สู้ส่งมาให้ในนามของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจากจวนหลักจะดีกว่า ด้วยนิสัยของฮูหยินผู้เฒ่ากัว เมื่อทราบความตั้งใจอันเอาใจใส่นี้ของกูที่สิบเจ็ดแล้ว จะต้องให้ความช่วยเหลืออย่างแน่นอน

ต่อมาทั้งสองคนก็พูดคุยกันถึงเรื่องงานฝีมือต่างๆ โจวเสาจิ่นยังสอนกูที่สิบเจ็ดสานพู่ดอกเหมยชิ้นหนึ่งด้วย ทั้งสองคนต่างเล่นด้วยกันอย่างมีความสุข

ทางด้านของเฉิงฉือมีนายท่านห้าของตระกูลกู้มาอยู่เป็นเพื่อนด้วยทว่ากลับรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย

นายท่านห้าของตระกูลกู้เข้าร่วมการสอบขุนนางมาสิบกว่าปีถึงสอบได้ซิ่วไฉ หลังจากนั้นก็ตรากตรำอยู่ที่การสอบจวี่เหรินมาโดยตลอด เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเฉิงฉือที่ใช้เวลาเพียงสามปีก็สอบได้เป็นถึงจิ้นซื่อในคราวเดียวแล้ว เขาไม่เพียงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเท่านั้น แม้แต่หายใจแรงๆ สักครั้งก็ยังไม่กล้า ได้แต่นั่งตัวลีบพำพึมกล่าวอะไรบ้างก็ไม่อาจทราบได้อยู่ตรงนั้น

เฉิงฉือไม่เพียงต้องเป็นคนหาหัวข้อสนทนามาพูดกับเขาเท่านั้น ยังต้องตั้งใจฟังเป็นอย่างมากถึงจะเข้าใจว่าเขากล่าวอะไรออกมาบ้าง

หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่เนิ่นๆ ไม่สู้ไปดูหินและพลอยต่างๆ ที่กู้จิ่วเนี่ยเก็บสะสมไว้ที่ห้องของเขายังจะดีเสียกว่า

เฉิงฉือพึมพำอยู่ในใจ ในที่สุดกู้จิ่วเนี่ยก็เร่งกลับมา

นายท่านห้าของตระกูลกู้รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง เฉิงฉือเองก็รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่งเช่นกัน

ไม่ต้องดูกู้จิ่วเนี่ยก็รู้ได้ว่าทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกอึดอัดใจมากเพียงใด หลังจากส่งนายท่านห้าของตระกูลกู้ออกไปแล้ว ก็รีบกล่าวอธิบายกับเฉิงฉือ สุดท้ายยังกล่าวยิ้มๆ ว่า “โชคดีที่ลักษณะนิสัยของบุตรชายและบุตรสาวของพี่ชายห้าล้วนไม่เหมือนเขา”

เฉิงฉือได้ยินแล้วกลับรู้สึกสะดุดใจ เอ่ยขึ้นว่า “บุตรสาวของพี่ชายห้าของเจ้าเป็นลำดับที่เท่าไรในหมู่พี่น้องหรือ”

นายท่านห้าของตระกูลกู้เป็นพี่ชายแท้ๆ ของกู้จิ่วเนี่ย

กู้จิ่วเนี่ยกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าถามเรื่องนี้ไปเพื่ออันใด หรือว่าอยากจะเป็นพ่อสื่อให้บุตรสาวของพี่ชายห้าของข้าด้วยอย่างนั้นหรือ”

นับตั้งแต่ที่เฉิงฉือจัดงานแต่งหลังความตายให้เหนียงที่สิบเก้าของตระกูลกู้เป็นต้นมา นายท่านผู้เฒ่าและนายท่านทั้งหลายของตระกูลกู้กับตระกูลกัวต่างยกเอาเรื่องนี้เย้าแหย่เขาอยู่บ่อยๆ

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่แน่ว่าข้าอาจจะเป็นพ่อสื่อให้หลานสาวของเจ้าได้จริงๆ ก็เป็นได้!”

กู้จิ่วเนี่ยรู้ว่าเฉิงฉือไม่ได้โกหก จึงกล่าวเป็นจริงเป็นจังว่า “อย่างมากข้าก็ช่วยสนับสนุนเงินสินเจ้าสาวให้กูที่สิบเจ็ดได้มากสุดเพียงสามร้อยเหลี่ยงเท่านั้น”

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “หลานสาวข้าจะแต่งงาน เจ้ายังกลัวว่านางจะขาดเงินสินเจ้าสาวอีกหรือ”

กู้จิ่วเนี่ยได้ยินแล้วก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก เอ่ยขึ้นอย่างสนอกสนใจว่า “รีบว่ามาเถิด ตกลงเป็นคุณชายของตระกูลใด ผ่านสายตาของเจ้ามาได้ คาดว่าคงไม่เลวเลยทีเดียว”

“เลวนั้นไม่เลวเลยทีเดียว!” เฉิงฉือกล่าวอย่างเป็นปริศนา “อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เกรงว่าคงต้องเชิญให้ผู้อื่นมาเป็นพ่อสื่อให้”

กู้จิ่วเนี่ยนั่งตัวตรง ด้วยท่วงท่าตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก

แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงฉือกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “รอให้ข้าไปหยั่งเชิงดูท่าทีของอีกฝ่ายก่อนแล้วค่อยมาบอกเจ้า”

กู้จิ่วเนี่ยฮึดฮัด หันไปต่อยเข้าที่ไหล่ของเฉิงฉือแรงๆ ครั้งหนึ่ง

เฉิงฉือหัวเราะขณะรับมันเอาไว้

เสาจิ่นเด็กโง่ผู้นั้นคิดกับจวนสี่เสมือนเป็นตระกูลฝั่งมารดาของตัวเองจริงๆ ในเมื่อจะหาหญิงสาวสักคนจากตระกูลกู้ เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาคนที่นางชื่นชอบด้วย ต่อไประหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวก็จะได้ไปมาหาสู่กันได้ง่าย ส่วนกูที่สิบเจ็ดของนายท่านห้าของตระกูลกู้นั้น ต่อให้ไม่มีเฉิงอี้ ก็ยังมีหลี่อี้ หลิวอี้ และอู๋อี้อยู่ เนื่องจากเขารับปากจิ่วเนี่ยแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยจัดการเรื่องงานแต่งของกูที่สิบเจ็ดให้แล้วเสร็จไปด้วย

กระทั่งเมื่อกลับมาถึงในช่วงหัวค่ำ โจวเสาจิ่นเห็นท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่ากัวราวกับมีเรื่องอยากจะคุยกับเฉิงฉือ หลังจากปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้ว จึงอ้างว่าอยากจะกลับไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องสักหน่อยเหมือนกัน แล้วก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ไม่ได้รั้งนางเอาไว้ แต่ออกมาจากห้องชั้นในแล้วกล่าวกับเฉิงฉือว่า “ฮูหยินหลายคนของตระกูลกู้ต่างเห็นด้วยให้ทำเหมือนกับตระกูลเฉิง แยกทรัพย์สมบัติแต่ไม่แยกบ้าน คาดว่าอีกไม่กี่วันคงจะเชิญเจ้าไปหารือด้วย”

สำหรับเฉิงฉือแล้ว นี่มิใช่เรื่องที่ต้องเป็นกังวลอะไร

หลังจากกล่าวปลอบโยนฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลายประโยคแล้ว ก็กลับไปที่เรือน

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน จึงเข้านอนไปตั้งแต่หัวค่ำ

โจวเสาจิ่นกลับพลิกหีบค้นหาเสื้อผ้าและเครื่องประดับไปทั่วห้องกว่าครึ่งค่อนวัน สุดท้ายถึงได้ตัดสินใจม้วนผมขึ้นเป็นมวยง่ายๆ สวมเสื้อตุ้ยจินผ้าโปร่งบางสีขาวพระจันทร์ ติดกระดุมไข่มุก กระโปรงจีบผ้าไหมเซียงจากหูหนานสีเขียวแกมน้ำเงิน ปักลายดอกสายน้ำผึ้งสีชมพูและสีเหลืองอ่อน สวมอยู่ภายใต้เอวบอบบางของนาง พลิ้วไหวสง่างามดั่งต้นหลิวลู่ลม

นางยืนเม้มปากอยู่หน้ากระจก สวมตุ้มหูระย้าไข่มุกขนาดเท่าเม็ดบัวคู่หนึ่ง

ชุนหว่านกล่าว “คุณหนูรองจะไปที่ไหนหรือเจ้าคะ ลมกลางคืนค่อนข้างเย็นเล็กน้อย เวลานี้ท่านสวมชุดสำหรับฤดูร้อนอยู่ ต้องสวมเสื้อทับชั้นนอกเพิ่มอีกตัวหนึ่งด้วยถึงจะถูกเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นหน้าแดง เดินไปหาผ้าคลุมไหล่สีชมพูของผลซิ่งปักลายเมฆสีเหลืองอ่อนไปด้วย พลางกล่าวไปด้วยว่า “ข้ายังแต่งตัวไม่เสร็จเลย! เจ้าจะเร่งข้าไปทำไม!”

ชุนหว่านได้แต่หัวเราะ

นานๆ ทีคุณหนูรองถึงจะมีอารมณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าที่ไปตระกูลกู้วันนี้คงมีความสุขไม่น้อย

นางสั่งให้สาวใช้เด็กยกน้ำไปเททิ้ง ปล่อยให้โจวเสาจิ่นแต่งตัวอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง

โจวเสาจิ่นเดินไปไม่กี่ก้าว รู้สึกว่าผ้าคลุมไหล่นี้เกะกะเล็กน้อย จึงกลับไปเปลี่ยนเป็นเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีเหลืองอ่อนไร้ลวดลายตัวหนึ่งแทน

แต่เมื่อเทียบกับสีขาวพระจันทร์แล้ว สีชมพูของผลซิ่งดูสวยกว่า

นางจำไม่ได้ว่าตัวเองมีเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีชมพูของผลซิ่งอยู่หรือไม่

สั่งให้ปี้เถาไปค้นดู

ปี้เถาพาสาวใช้เด็กหลายคนไปช่วยกันหาซึ่งกว่าครู่ใหญ่ถึงได้หาเจอ

เนื่องจากเป็นชุดสำหรับฤดูร้อน อีกทั้งยังถูกเก็บเอาไว้ในก้นหีบ จึงต้องเผาถ่านทำความร้อนให้เตารีดเพื่อรีดผ้าก่อน ทำให้กว่าโจวเสาจิ่นจะได้ไปเรือนหลีอินก็ย่ำค่ำจนพระจันทร์ขึ้นไปอยู่เหนือต้นหลิวแล้ว

เฉิงฉือเห็นว่าโจวเสาจิ่นยังไม่มา จึงเรียกฉินจื่อผิงเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าเดินทางไปจิงเฉิงครั้งหนึ่ง ไปถามเรื่องการสอบขุนนางช่วงวสันตฤดูในปีหน้ากับพี่ชายใหญ่ของข้ามาสักหน่อย ปีหน้าคุณชายสี่ของตระกูลหลี่จะลงสนามสอบ หากสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้สักครั้งก็ไม่เลวเหมือนกัน และก็ยังได้เอาคืนจวนรองสักหน่อยด้วย ข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่าทางด้านจวนรองนั้นควรจะโต้ตอบอะไรบ้างถึงจะถูก”

ฉินจื่อผิงเข้าใจ เอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “เกรงว่านายท่านใหญ่จะไม่เห็นด้วย กล่าวคือ หากจวนรองมีจิ้นซื่อผู้หนึ่งได้ ก็เป็นผลดีกับตระกูลเฉิงด้วยเช่นกันขอรับ”