ตอนที่ 295 ตัวเลือก

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เฉิงฉือยิ้มเย็น

ฉินจื่อผิงรีบกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าจะไปหานายท่านรองขอรับ”

นายท่านรองที่ว่าก็คือเฉิงเว่ยพี่ชายคนรองของเฉิงฉือนั่นเอง

นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง

เฉิงฉือพยักหน้า

ฉินจื่อผิงถอยออกไป

เฉิงฉือนั่งอยู่ในห้องหนังสือลำพัง หลับตาลงนั่งเอนกายพักกับพนักพิงหลังอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขน ครุ่นคิดอยู่กับความคิดของตัวเอง

ชีวิตนี้ของพี่ชายรองก็ทำตามแบบอย่างของท่านอารองที่สละตำแหน่งให้พี่ชายใหญ่ แม้แต่บุตรชายคนเดียวอย่างรั่งเกอเอ๋อร์ ก็เพียงสอนให้เขาอ่านออกเขียนได้ให้พอมีความรู้พื้นฐานเท่านั้น ด้วยกลัวว่าจะไปมีข้อขัดแย้งกับเจียซ่าน ทำให้ผู้อื่นมาหัวเราะเยาะจวนหลักได้ แต่พี่ชายใหญ่กลับซื่อตรงมากเกินไป บางครั้งก็เถรตรงมากเกินไป

แต่ความรุ่งโรจน์ของครอบครัวหนึ่ง จะพึ่งพาเพียงแค่คนคนเดียวก็ได้แล้วจริงๆ หรือ

หากเปิดเผยพรสวรรค์อันโดดเด่นออกมา จะนำพาให้ต้องพบพานกับความเคลือบแคลงสงสัยและความหวาดกลัวของราชวงศ์อย่างนั้นหรือ

แต่ต่อให้ตระกูลเฉิงจะเจียมตัวถึงเพียงนี้ สุดท้ายแล้วก็ไม่วายถูกลงโทษทั้งตระกูลอยู่ดีมิใช่หรือ

มีความคิดอันกล้าหาญหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของเฉิงฉือ

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้คิดอย่างถี่ถ้วน โจวเสาจิ่นก็มาหาเสียก่อน

เขาให้ซางมามาเชิญโจวเสาจิ่นไปที่ห้องรับรอง ส่วนตัวเองหมุนกายไปหยิบกระปุกใบชาต้าหงเผาแล้วถึงได้เดินไปที่ห้องรับรอง

โจวเสาจิ่นกำลังนั่งอยู่บนตั่งหลัวฮั่นพร้อมกับพลิกตำราเล่นหมากล้อมที่เขาวางไว้บนโต๊ะน้ำชา เสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีชมพูของผลซิ่งขับเน้นใบหน้าขาวงดงามของนาง ตุ้มหูระย้าไข่มุกขนาดเท่าเม็ดบัวสว่างสุกใส ทำให้นางดูเจิดจรัสขึ้นหลายส่วนท่ามกลางความงดงามนั้น เป็นความงามที่ยากจะอธิบายออกมาได้

ตุ้มหูระย้าคู่นั้นเขาเป็นคนมอบให้นาง…

เฉิงฉือสูดหายใจอย่างยากลำบากเล็กน้อย มีความรู้สึกละเอียดอ่อนที่อธิบายออกมาไม่ได้บางอย่างเกิดขึ้นในใจ

โจวเสาจิ่นที่สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวหันกลับมาด้วยรอยยิ้มร่า กล่าวขึ้นเสียงหนึ่งอย่างดีใจว่า “ท่านน้าฉือ” ดวงตาสุกใสยิ้มหยีจนคล้ายพระจันทร์เสี้ยว

เฉิงฉือยกกระปุกใบชาในมือขึ้นเงียบๆ กล่าวขึ้นว่า “พวกเรามาชงชาต้าหงเผากัน”

โจวเสาจิ่นกระโดดลงจากตั่งหลัวฮั่น กล่าวอย่างลิงโลดว่า “ข้าจะต้มน้ำให้เองเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เอ่ยเย้าแหย่นางว่า “ความสามารถเจ้ามีเพียงเรื่องนี้แล้ว”

โจวเสาจิ่นไม่เห็นด้วย กล่าวยิ้มๆ อย่างน่าเอ็นดูว่า “มาตรฐานของท่านน้าฉือสูงถึงเพียงนี้ น้ำที่ข้าต้มมาทำให้ท่านพึงพอใจได้ แสดงว่าฝีมือก็ไม่เลวสักเท่าไรแล้วเจ้าค่ะ”

คำพูดโอ้อวดของนางทำให้เฉิงฉือขบขันจนหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

หลั่งเย่ว์ตามไปช่วยโจวเสาจิ่นต้มน้ำอย่างรู้ความ โจวเสาจิ่นเองก็ไม่คัดค้าน ด้านหนึ่งก็คุกเข่านั่งลงบนเบาะพัดเตาไฟไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็ยิ้มพลางกล่าวกับเฉิงฉือไปด้วยว่า “วันนี้ข้าไปนั่งเล่นกับคุณหนูสิบเจ็ดของตระกูลกู้มาเจ้าค่ะ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า ตระกูลกู้ใหญ่โตถึงขนาดนั้นก็ยังไม่มีที่ให้พักอาศัย แต่คุณหนูสิบเจ็ดบอกว่า ที่พักของนางยังถือว่าดีแล้ว เพราะหันหน้าไปทางทิศเหนือ ซึ่งตรงกันข้ามกับห้องข้างที่น้องสาวสิบเก้ากับน้องสาวยี่สิบของนางพักอยู่อย่างสิ้นเชิง ที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ช่วงฤดูหนาวยังดีหน่อย อย่างมากก็สวมเสื้อผ้าหลายๆ ชั้นหน่อย แต่พอถึงฤดูร้อนนั้น ร้อนจนคนเป็นโรคหัดเลยทีเดียว พวกนางจึงให้คุณหนูสิบเก้ากับคุณหนูยี่สิบมาอยู่ที่ห้องโถงกลาง…”

เฉิงฉือพลิกตำราเล่นหมากล้อมไปด้วย ขานตอบนางอย่างใจลอยไปด้วยว่า “ดังนั้นจึงมีตระกูลใหญ่ตระกูลโตมากมายที่เปลือกนอกดูยิ่งใหญ่ ทว่าความเป็นจริงแล้วชีวิตในแต่ละวันกลับไม่ได้ดีไปกว่าตระกูลทั่วๆ ไปสักกี่มากน้อย มีบางตระกูล เสื้อผ้า รองเท้าและถุงเท้าของทั้งสี่ฤดูในหนึ่งปีต่างต้องทำด้วยตัวเอง ไม่เคยจ้างช่างตัดเย็บมาก่อน แล้วไปพูดกับคนภายนอกว่าเพราะเป็นของใช้ส่วนตัว กลัวว่าจะถูกผู้อื่นพบเห็นเข้า แต่ความเป็นจริงแล้วอะไรที่ประหยัดได้ก็ต้องประหยัด”

โจวเสาจิ่นทราบดี

ตระกูลที่เสื่อมเกียรติอำนาจถดถอยลงแล้วจำนวนไม่น้อยในจิงเฉิงต่างก็มีชีวิตเช่นนี้

“สุดท้ายแล้วก็ต้องให้บุตรหลานประสบความสำเร็จถึงจะดี” นางกล่าว “หากเอาแต่นั่งกินนอนกิน ต่อให้เป็นภูเขาก็กินจนหมดได้ หาไม่ก็ไม่ต้องเอาแต่คิดถึงหน้าตา ใช้ชีวิตให้เรียบง่าย อะไรที่ประหยัดได้ก็ควรต้องประหยัด”

ข้อนี้เฉิงฉือเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

โจวเสาจิ่นเห็นว่าน้ำเดือดแล้ว จึงใช้ผ้าเช็ดหน้าค่อยๆ ยกกาน้ำที่ต้มจนเดือดแล้วเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง เอ่ยขึ้นเพื่อหาเรื่องชวนคุยว่า “ท่านน้าฉือกำลังดูอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”

กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ไม่รู้ว่าคือกลิ่นอะไรโฉบผ่านจมูกของเขา

เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ อารมณ์พลันแจ่มใสขึ้นมาเป็นอย่างมาก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็หน้าที่เจ้าเพิ่งพลิกดูเมื่อครู่นี้ หมากกระดานที่หลิวฝู่จือเล่นกับเซียนแม่เฒ่าบนเขาหลีซาน”

โจวเสาจิ่นได้แต่หัวเราะ

เมื่อครู่นางดูไปรอบหนึ่ง ทว่าดูไม่เข้าใจเลยสักนิด รู้สึกเพียงว่าด้านข้างยังเหลือพื้นที่ว่างอีกมาก ยังมีพื้นที่ให้เริ่มเดินหมากและแข่งให้รู้แพ้รู้ชนะกันได้อีก

เฉิงฉือเองก็ไม่ได้คาดหวังว่านางจะเข้าใจ ไปรับกาน้ำจากมือของนาง กล่าวขึ้นว่า “ระวังร้อน ให้ข้าจัดการเถิด!”

“ไม่ต้องเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าจะล้างถ้วยชาให้ท่านเองเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือชายตามองนางครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าทำเป็นหรือ”

“ข้าย่อมทำเป็นอยู่แล้วเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลงจ้องเฉิงฉือครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เพียงแต่ว่าฝีมือชงชาไม่ได้สูงส่งเท่าท่านก็เท่านั้น!”

เฉิงฉือไม่กล่าวอะไร

แต่แสดงออกด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่าเจ้าก็รู้ดีอยู่แล้ว

โจวเสาจิ่นหัวเราะอย่างขวยเขิน ยื่นกาน้ำส่งให้เฉิงฉือ

เฉิงฉือล้างถ้วยชาและอุ่นกาน้ำชาด้วยท่วงท่าชำนาญ

โจวเสาจิ่นนั่งมองอยู่ข้างๆ

พอเทน้ำเข้าไปในกาน้ำชา กลิ่นหอมของชาก็ลอยกรุ่นออกมา

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “กลิ่นหอมยิ่งนักเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือยกยิ้มที่มุมปาก เทน้ำชาลงไปในจอกชาขนาดเล็ก

ทั้งสองคนรื่นรมย์ไปกับกลิ่นหอมของชา นั่งดื่มชาเงียบๆ จนหมดหนึ่งกา เขาถึงได้เริ่มเทน้ำชงชากาที่สอง พร้อมกับเอ่ยปากกล่าวไปด้วยว่า “ชาติก่อนเฉิงเจียแต่งงานกับผู้ใดหรือ”

โจวเสาจิ่นกล่าว “หลี่จิ้งเจ้าค่ะ!”

ทว่าดวงตากลับจับจ้องอยู่ที่มือของเฉิงฉือ

มือของเฉิงฉือทั้งเรียวยาวและขาวเนียนละเอียด ท่วงท่าคล่องแคล่วปราดเปรียว เมื่ออยู่ด้วยกันกับจอกชาเกอเหยาสีอ่อนที่อยู่เป็นฉากเบื้องหลังแล้ว ดูราวกับแกะสลักมาจากหยกมันแพะเนื้อดี เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

นางอดมองมือที่กำลังถือจอกชาอยู่ของตัวเองบ้างไม่ได้

เรียวบางและขาวเนียนละเอียด เล็บสีอมชมพูตรงปลายนิ้วดูคล้ายกับกลีบดอกไม้สีชมพูชื้นน้ำ

ก็งดงามมากเช่นกัน

โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างพึงพอใจอยู่ในใจ แล้วก็ได้ยินเฉิงฉือถามขึ้นว่า “แล้วเจ้าร้องไห้ด้วยเรื่องอันใด”

นางหน้าแดงเรื่อ กล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดถึงพี่สาวจริงๆ เจ้าค่ะ เหตุใดท่านน้าฉือยังถามอีกเจ้าคะ”

โจวเสาจิ่นไม่รู้สึกตัวเลยว่าตอนที่นางพูดประโยคดังกล่าวนั้นได้บุ้ยปากไปด้วย น้ำเสียงที่อ่อนหวานและหยดย้อยนั้นทั้งเสมือนกับเอาแต่ใจแล้วก็ขอความเมตตาไปด้วยในคราวเดียวกัน

รู้อยู่แล้วว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นคนดื้อรั้นผู้หนึ่ง

รู้ว่ายามอยู่ต่อหน้าตนไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้ จึงกัดฟันแน่นไม่ยอมปริปาก

หากมิใช่เพราะว่าสืบอะไรออกมาจากเรือนหรูอี้ไม่ได้ เขายังจะต้องมาไล่เรียงถามจากนางอยู่เช่นนี้อีกหรือ

เฉิงฉือลอบคำรามอยู่ในใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า “หลี่จิ้งปฏิบัติกับเฉิงเจียไม่ดีหรือ”

“ดีมากเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกลัวเหลือเกินว่าเฉิงฉือจะยื่นมือเข้าไปสอดเรื่องของหลี่จิ้งกับเฉิงเจีย

พอไร้ซึ่งเหตุการณ์เดิมของชาติก่อน เรื่องที่หลี่จิ้งอยากสู่ขอเฉิงเจียจึงนับเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากพออยู่แล้ว หากท่านน้าฉือยื่นมือเข้าไปสอดอีก พวกเขาสองคนคงไม่ได้แต่งงานกันแน่ๆ!

นางรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้วให้เฉิงฉือฟังหนึ่งรอบ

เฉิงฉือฟังแล้ว ราวกับหน้าอกถูกฉีกขาดออกมาอย่างไรอย่างนั้น

เหตุใดเด็กน้อยผู้นี้ถึงเป็นคนไม่คิดอะไรมากได้ถึงเพียงนี้

ด้วยนิสัยของเฉิงเจีย หากมิใช่เพราะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก จะไม่กล้าไปพบนางได้อย่างไร แล้วจะจากโลกนี้ไปอย่างทุกข์ระทมใจด้วยอายุน้อยเพียงนั้นได้อย่างไร!

นางก็ดี กลับพูดออกมาได้อย่างไม่ขุ่นแค้นใจเลยสักนิด

นี่ยิ่งเป็นการยืนยันในสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ชาติก่อนเฉิงสวี่จะเพียงทำตัวเสียมารยาทกับนางเท่านั้น เขาน่าจะต้องทำเรื่องอะไรที่เกินจะรับได้เป็นแน่!

เฉิงฉือครุ่นคิด ในใจบังเกิดความเจ็บปวดรวดร้าวหนึ่งขึ้นมา

กับเด็กน้อยผู้ประหนึ่งดอกไม้ดอกหนึ่งที่ผลิบานอยู่บนยอดไม้ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ บริสุทธิ์และอ่อนโยนไร้ซึ่งฝุ่นผงใดๆ มาปนเปื้อน เฉิงสวี่…เขาทำลงไปได้อย่างไร เขาแข็งใจทำลงไปได้อย่างไร

เขาหลับตาลง ยั้งตัวเองเอาไว้ถึงได้ไม่ยื่นมือไปลูบผมของโจวเสาจิ่น ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ให้ห่างจากเด็กสาวที่ค่อยๆ เติบโตเป็นสาวแล้ว ก็ควรจะต้องรู้จักควบคุมตัวเอง

โจวเสาจิ่นเห็นสีหน้าของเฉิงฉือไม่ค่อยดีนัก อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายใจ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือ ท่านรู้สึกว่าหลี่จิ้งมีอะไรบางอย่างไม่เหมาะสมใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ชาติก่อน เป็นคนของหลี่จิ้งที่ส่งชุ่ยหวนไปหานาง หลังจากที่ชุ่ยหวนกลับไปที่ลั่วหยางแล้ว นางก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของหลี่จิ้งอีกเลย แน่นอนว่า หากต้องการจะสืบข่าวของเขาจริงๆ ก็ตามสืบได้ แต่เป็นนางเองที่ไม่ต้องการสืบข่าวของเขา และก็ไม่อยากรู้ด้วย

ความรู้สึกที่นางมีต่อเฉิงเจียนั้นสลับซับซ้อนยิ่งนัก มีทั้งความรักความผูกพันฉันพี่น้อง และความเจ็บปวดถึงขีดสุด สิ่งเดียวที่นางทำได้คือไม่ไปคิดถึงคนคนนี้ แล้วก็เรื่องเรื่องนี้

หลังจากที่นางย้อนเวลากลับมาแล้วถึงได้ค้นพบว่า เนื่องด้วยการหลบหนีของนาง มีเรื่องมากมายที่นางไม่รู้ แล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่นางคิดไว้ด้วย นางจึงยิ่งไม่กล้าทำเรื่องต่างๆ โดยอ้างอิงจากเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในชาติก่อน

เฉิงฉือเห็นดวงตาโตสีดำตัดขาวกระจ่างใสคู่นั้นของนางมองเขาตาไม่กะพริบ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเชื่อใจอย่างไร้ข้อกังขาเช่นนั้นแล้ว ชั่วขณะนั้นหัวใจราวกับยุบตัวลงมา อ่อนยวบไปหมด เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไร! อย่างไรก็ตาม จากสิ่งที่เจ้ากล่าวมา เป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าหลี่จิ้งชอบเฉิงเจีย แต่ไม่ว่าเรื่องราวจะดำเนินไปอย่างไร นั่นล้วนเป็นเรื่องของจวนสาม ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ต่อไปเจ้าก็ยุ่งเรื่องของพวกเขาให้น้อยลงเสีย ไม่แน่ว่า เมื่อเรื่องราวถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ภายใต้อารมณ์รุนแรงของฮูหยินใหญ่หลูนางอาจจะเอาความโกรธมาลงที่เจ้า กล่าวหาว่าเจ้าเป็นตัวกลางชักนำระหว่างพวกเขา”

ด้วยนิสัยของเจียงซื่อแล้ว ย่อมเป็นเช่นนั้นได้จริงๆ

โจวเสาจิ่นชื่นชอบการได้พูดคุยกับท่านน้าฉือยิ่งนัก

นางพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าจะอยู่แต่ในบ้านเย็บชุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วงให้ฮูหยินผู้เฒ่าก็แล้วกัน ข้าตัดผ้าสำหรับทำชุดสองชุดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่ว่างทำสักทีเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองลำบากถึงเพียงนั้น พวกงานเย็บปักทำลายสายตา งานบางอย่างหากมอบหมายให้คนข้างกายทำได้ก็มอบหมายให้พวกนางทำเถิด ถ้าหากไม่มีคนที่เหมาะสม ข้าจะแต่งตั้งสาวใช้ที่เชี่ยวชาญงานเย็บปักมาให้เจ้าอีกสักสองคน”

มุมปากของโจวเสาจิ่นยกยิ้มขึ้นมาเองอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ้มหวานพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ของๆ ฮูหยินผู้เฒ่าจะปล่อยให้ผู้อื่นทำให้ได้อย่างไรเจ้าคะ อีกอย่าง ตอนนี้เพิ่งจะปลายฤดูใบไม้ผลิ ยังอีกนานกว่าจะถึงฤดูใบไม้ร่วงเจ้าค่ะ!”

“เช่นนั้นเจ้าก็ทำตามที่เจ้าเห็นสมควรก็แล้วกัน!” เฉิงฉือรู้สึกว่าบางครั้งต่อให้พูดอีกสักเท่าใดก็ไม่เกิดประโยชน์ ต้องให้ประสบกับความร้ายแรงของมันด้วยตัวเองถึงจะเปลี่ยนได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวขึ้นว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าตอนอยู่ที่ตระกูลกู้ คุณหนูสิบเจ็ดเป็นคนมาดูแลเจ้า เจ้ากับคุณหนูสิบเจ็ดของตระกูลกู้สนิทสนมกันมากหรือ”

โจวเสาจิ่นนึกถึงเรื่องที่กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ขอร้องมา จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้เป็นคนนิสัยดีมากเจ้าค่ะ บิดาของนางคือนายท่านห้าของตระกูลกู้ ท่ามกลางบรรดานายท่านทั้งหลายแล้วนับว่าเป็นคนที่ไม่เป็นที่สะดุดตาที่สุด แต่นางกลับมีนิสัยมองโลกในแง่ดี เปิดเผยและมีชีวิตชีวา ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างอ่อนโยนและตรงไปตรงมา ข้าชอบนางมากเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือพยักหน้า ไม่แสดงความเห็นอะไร เอ่ยถึงเรื่องของตระกูลกัวขึ้นมา “…ท่านลุงของข้าผู้นี้เป็นคนใจกว้างไม่คิดเล็กคิดน้อย มารดาของข้าก็เป็นคนตรงไปตรงมา เมื่อถึงเทศกาลต่างๆ หากว่าพวกข้าสามพี่น้องอยู่บ้าน พวกข้าสามคนจะเป็นคนนำของขวัญไปส่งให้ แต่ถ้าหากพวกข้าไม่อยู่บ้าน ก็จะมอบหมายให้พ่อบ้านเป็นคนนำไปส่งให้ ปีนี้ข้าอยากจะไปเยี่ยมตระกูลกัวพร้อมกับมารดาสักหน่อย ถึงเวลานั้นเจ้าก็ไปด้วยก็แล้วกัน!”

โจวเสาจิ่นจึงคล้ายกับเด็กที่ถูกผู้ใหญ่บังคับให้ออกไปร่วมงานสังคมก็ไม่ปาน ก้มหน้าก้มตาลงขณะกล่าวขึ้นว่า “ข้า…ข้าไม่ไปได้หรือไม่เจ้าคะ”

“ทำไมหรือ” เฉิงฉือถามเช่นนั้น ทว่าสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น

โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างกระดากอายเล็กน้อยว่า “บรรดาคุณหนูทั้งหลายของตระกูลกัวต่างไม่ค่อยยิ้มหรือพูดจาเท่าไรนัก ข้าไปแล้วก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับพวกนาง…”

ยิ่งไปกว่านั้น ฟังจากน้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากัวในวันนั้นแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคุณหนูสักคนของตระกูลกัวที่จะกลายมาเป็นน้าสะใภ้ของนางก็เป็นได้ นาง…นางไม่อยากไป

ก็หมายความว่า เด็กน้อยกับคนของตระกูลกัวเข้ากันไม่ค่อยได้

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ได้! เช่นนั้นข้านำของขวัญไปมอบให้ตระกูลกัวคนเดียวก็แล้วกัน หากท่านแม่ของข้าไปคนเดียว ไม่มีคนตามไปอยู่ข้างกายด้วย ข้าก็ไม่ค่อยวางใจเท่าไร”

ท่านน้าฉือจะไม่เข้าไปที่เรือนชั้นในของตระกูลกัวหรือ

โจวเสาจิ่นลอบดีใจอยู่ในใจ

นางดึงแขนเสื้อของเฉิงฉือเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ข้าทำชุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วงให้ท่านด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ”