ตอนที่ 137 เล่าเรื่องผี

“ผมชื่อซุนชิว เป็นนักเรียนมัธยมต้นชั้นปีที่ 3 โรงเรียนมัธยมผิงเฉา

โรงเรียนของเราใหญ่มาก และมีนักเรียนจำนวนมากเช่นกัน อีกทั้งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนประจำ ดังนั้นโดยทั่วไปหลังเวลาสามทุ่มครึ่งเป็นต้นไป พวกนักเรียนจะเลิกศึกษาด้วยตนเองในภาคค่ำและกลับหอพักเตรียมพักผ่อน

โดยปกติแล้ว เวลาเลิกศึกษาด้วยตนเองในภาคค่ำคือเวลาสามทุ่มครึ่ง และพอสี่ทุ่มก็จะปิดไฟเพื่อเข้านอนแล้ว

หอพักของเราอยู่ชั้นหก ในห้องพักมีอยู่แปดคน อันที่จริงตั้งแต่เวลาเลิก ศึกษาด้วยตนเองไปจนถึงตอนที่ดับไฟนั้นช่างสั้นเหลือเกิน ปกติแล้วในช่วงเวลานี้พวกเราต้องเร่งรีบกลับหอพัก แล้วซักเสื้อผ้า ซักถุงเท้า ล้างหน้าบ้วนปากให้เรียบร้อย โดยพื้นฐานแล้วเมื่อทำเรื่องพวกนี้เรียบร้อยหรือแม้กระทั่งทำไม่เสร็จก็ตาม จะมีเสียงนกหวีดดังขึ้นที่โถงทางเดินด้านนอก เป็นครูผู้ดูแลหอพักเร่งให้เราปิดไฟและไปนอน

ครูผู้ดูแลหอพักเข้มงวดมาก ล้วนแล้วแต่เป็นชายวัยกลางคนที่ ดูท่าทาง ดุมาก อีกอย่างพูดตามตรงเลยนะ รู้สึกว่าครูผู้ดูแลหอพักส่วนใหญ่จะใช้อำนาจบาตรใหญ่ในทางที่ผิดเสียมากกว่า

พวกเขามองว่าเราเป็นนักเรียน อะไรนิดอะไรหน่อยก็ตำหนิพวกเรา พวกเขาไม่ได้มีการศึกษาสูง ทว่าแต่ละคนต่างก็ชอบสั่งสอนเหลือเกิน บางครั้งก็จงใจจับผิดและหาเรื่องตำหนินักเรียน

อีกทั้งตอนที่ตำหนินักเรียนก็เหมือนเป็นเรื่องตลก ทำเหมือน ผู้นำใหญ่เปิดการประชุม ตำหนิคนอื่นเพื่อความสะใจของตัวเอง เรียกนักเรียนที่กลับดึกหรือใช้โทรศัพท์มือถืออ่านนิยายในหอพักไปอบรมราวกับมองว่าเป็นอาชญากรอย่างไรอย่างนั้น หลังจากร่ายยาวจนจบ ร่ายจนเหนื่อย และพูดจนตัวเองพอใจแล้วยังให้นักเรียนไปทำความเข้าใจ จิตวิญญาณใน คำพูดของตัวเองอีกด้วย

ในขณะเดียวกัน ก็ให้นักเรียนยืนเขียนสิ่งที่เรียกว่ารายงานการตรวจสอบและทบทวน ความคิดอยู่ในห้องพักครู เพื่อ ไตร่ตรองถึงปัญหาของตนเองอย่างลึกซึ้ง และกำหนดจำนวนตัวอักษรอีกด้วย

อันที่จริง พวกเขาแค่รังแกนักเรียนมัธยมต้นที่ค่อนข้างหัวอ่อนและอายุน้อยกว่าอย่างพวกเรา ส่วนทางฝั่งนักเรียนมัธยมปลายนั้น พวกเขาไม่กล้าไปวางกล้ามแบบนั้นหรอก

ดังนั้นพวกเราถึงได้เกลียดพวกเขาทุกคน หลังจากปิดไฟแล้วพวกเขาจะออกไปเดินเตร่อยู่ด้านนอกห้อง หอพักของพวกเรามีหน้าต่างอยู่ตรงกลางประตู สามารถมองเห็นสถานการณ์ภายในได้จากตรงนั้น และพวกเขาก็ชอบแอบดูอยู่ตรงนั้นประจำ

ถ้าหลังจากไฟดับแล้วยังมีคนคุยกัน มีคนใช้ไฟฉายหรือโทรศัพท์มือถืออยู่ข้างในละก็ พวกเขาจะรีบกุลีกุจอ ไขกุญแจพุ่งเข้ามาราวกับหมาบ้าทันที เมื่อยึดข้าวของของคุณแล้ว จากนั้นก็จะลากคุณลงจากเตียง พาคุณออกไปตำหนิที่ ทางเดินด้านนอกหรือไม่ก็ ไปที่ห้องทำงาน ของพวกเขา

ดังนั้นหลังจากทุกครั้งที่ปิดไฟ ผมกับรูมเมตของผมไม่กล้าคุยเสียงดัง เพราะกลัวพวกเขาที่อยู่ข้างนอกจะได้ยิน และมีรูมเมต บางคน แอบใช้โทรศัพท์มือถือใต้ผ้าห่ม

แต่ผมชอบอ่านนิยายมากกว่า บวกกับโทรศัพท์มือถือของผมถูกยึดไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นผมก็เลยดึงผ้าห่มมาคลุมไว้แล้วแอบใช้ไฟฉายส่องเพื่ออ่านนิยาย

เมื่อก่อนผมอ่านแบบนี้ได้ทั้งคืน แต่ก็อย่างว่าชีวิตในโรงเรียนมันน่าเบื่อมาก เรามีวันหยุดแค่สองวันต่อเดือนที่สามารถออกจากโรงเรียนและกลับบ้านได้ แต่ปกติแล้วเราจะอยู่ได้แค่ในอาณาเขตของโรงเรียนเท่านั้น

ตอนเช้าเวลาหกโมงครึ่งการศึกษาด้วยตนเองในภาคเช้าก็เริ่มขึ้นแล้ว จนกระทั่งสามทุ่มครึ่งถึงจะสิ้นสุดการศึกษาด้วยตนเองในภาคค่ำ การศึกษาด้วยตนเองในตอนเช้าและในช่วงค่ำ ของเราล้วนนำมาให้ครูเข้าสอน จึงไม่เกี่ยวว่าสมัครใจหรือไม่สมัครใจ

ดังนั้น สำหรับผมแล้ว งานอดิเรกและความสุขเพียงอย่างเดียวก็คือการ อ่านนิยายที่หอพักในเวลานอน

ในคืนนั้น ผมเริ่มอ่านนิยายตั้งแต่เนิ่นๆ และผมก็ห่อตัวเองในผ้าห่มอย่างแน่นหนา

จริงๆ แล้วอากาศในตอนนี้ร้อนมากจริงๆ เมื่อห่อตัวอยู่ในผ้าห่มเหงื่อแตกได้ง่ายมาก มันทั้งอบอ้าวและอึดอัดมาก แต่ผมก็ไม่สนใจ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ปิดไฟฉายและโผล่หัวออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์สักสองสามอึดใจ จากนั้นก็มุดเข้าไปอ่านในความอบอ้าวนั้นต่อไป

เมื่อถึงเวลาประมาณตีสอง รูมเมต ต่างก็หลับสนิทกันแล้ว ผมลงจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ

อ้อ ใช่แล้ว

หอพักของเรามีเตียงสองชั้นอยู่สี่เตียง ซึ่งก็หมายความว่าสามารถอยู่ได้แปดคน เตียงของผมเป็นเตียงชั้นบนอยู่ใกล้กับหน้าต่างระเบียง

ในหอพักมีห้องน้ำส่วนตัว มันเล็กมาก แต่ก็พอที่จะวางชักโครกได้หนึ่งตัว

ผมไม่กล้าถือหนังสือเข้ามาอ่านในห้องน้ำ เพราะถ้าไฟในห้องน้ำคุณเปิดนานกว่านี้อีกนิด หากครูผู้ดูแลหอพักเอะใจละก็ อาจจะรีบหยิบกุญแจมาเปิดประตูแล้วเข้าไปผลักประตูห้องน้ำให้เปิดออกเพื่อตรวจสอบคุณ และความเร็วที่พวกเขาใช้กุญแจเปิดประตูนั้นก็เร็วมาก ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว!

ผมเคยมีรูมเมต ที่ตอนนั้นแอบ ดูเอ็มพีสี่ไปด้วยและปลดปล่อยตัวเอง ในห้องน้ำไปด้วย

ทันใดนั้นครูผู้ดูแลหอพักก็รีบพุ่งปรี่เข้ามา จึงถูกจับพร้อม ‘ของกลาง’

เรื่องนี้ทำให้เขาต้องทบทวน ตนเองและถูกเรียกผู้ปกครองมาหลายครั้ง ต่อมารูมเมตของผมก็เลิกดูของพวกนี้อีก แต่กลับเดินเข้าไปใกล้ชิดกับเพื่อนนักเรียนชายร่วมโต๊ะของเขามากขึ้น

ขอโทษที ผมนอกเรื่องไปหน่อย ในคืนนั้นผมนั่งปลดทุกข์บนชักโครกไปด้วยนึกถึงเรื่องราวของนิยายไปด้วย จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก

ใจของผมเต้น ‘ตึกตัก’ ทันที โชคดีที่ตัวเองไม่ได้พกหนังสือนิยายเข้ามาในห้องน้ำด้วย ไม่อย่างนั้นถูกหมาบ้าพวกนี้จับได้ก็จบเห่แล้ว

เมื่อตอนที่ผมออกจากห้องน้ำหลังปลดทุกข์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียง ‘ครืดคราด’ จากด้านนอก ประตู ผมก้มหัวลงอย่างเงียบเชียบ และผมก็มองเห็นรองเท้าหนังคู่หนึ่งหลังช่องว่างระหว่างประตูกับวงกบ

แน่นอนว่ามีคนยืนอยู่ข้างนอกตามคาด เขาจ้องมาที่ผม และเขากำลังรอผมอยู่ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เงียบๆ และเตรียมจะกลับไปขึ้นเตียง แต่หลังจากที่ผมเดินไปไม่กี่ก้าว จู่ๆ กลับคำนึงได้ถึงปัญหาหนึ่ง

นั่นก็คืออันที่จริงกระจกของประตูหอพักเราไม่สูงเลย ผมสามารถยืนมองทะลุผ่านกระจกเห็นเหตุการณ์ จากตรงนั้นได้ แต่ทำไมครูผู้ดูแลหอพักยืน อยู่ตรงนั้นผมกลับเห็นแค่รองเท้าของเขาแต่ไม่ยักกะเห็นหน้าเขาล่ะ

เป็นไปได้ไหมว่าเขานั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น ตั้งใจให้ผมเผยพิรุธออกมา

เจ้าแผนการ ขนาดนั้นเลยเหรอ

เชี่ยเอ๊ย

ไอ้แก่เจ้าเล่ห์!

‘ครืดคราดครืดคราด…’

มีเสียงเสียดสีดังลอดมาจากประตู เสียงบาง เบามาก ผมได้ยิน เหมือนกับว่ามีคนกำลังเอาพวงกุญแจมาเสียดสีกับ ประตูไม้ของหอพัก

ผมไม่ได้ถือนิยายไว้ในมือและไม่มีอะไรต้องกลัวด้วย หลังจากได้ยินเสียงนั้นแล้ว ผมไม่ได้รีบขึ้นเตียงทันที แต่ ตรงไปที่ข้างๆ ประตูแล้วเอาหน้าแนบกระจก ตั้งใจว่าจะดูสถานการณ์ภายนอก ดูสิว่าครูผู้ดูแลหอพักทำอะไรอยู่กันแน่

แต่เมื่อตอนที่ผมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้กระจก ผมก็พบว่าข้างนอกว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลยด้วยซ้ำ และไม่มีใครนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้นด้วย

ผมชักหัวกลับและก้มลงมองดูตรงช่องว่างระหว่างประตูกับวงกบอีกครั้ง แต่ตรงนั้นมีรองเท้าหนังอยู่ตรงนั้นคู่หนึ่งจริงๆ

ใครถอดรองเท้าหนังทิ้งไว้ที่นี่กัน

ผมเปิดประตูหอพักออกไป บอกตามตรง ตอนนั้นผมไม่ได้กลัวอะไรจริงๆ และก็ไม่คิดอะไรมากด้วย หลังจากเปิดประตูผมก็พบว่าไม่มีรองเท้าหนังอยู่หลังประตูหอพักเลย

ผมชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกสับสนเล็กน้อย

“ทำอะไรน่ะ เปิดประตูออกมาทำไม!”

เสียงดุดังลอดมาแต่ไกล ผมเห็นเงาคนตะคุ่ม กำลังเดินมาจากสุดปลายทางเดินตรงนั้น และชี้มาที่ผม ผมเห็นไม่ชัดเจนว่าเป็นครูผู้ดูแลหอพักคนไหน ไฟทางเดินตรงนั้นมีปัญหาไม่ค่อยสว่างเท่าไร แต่ผมก็ตกใจจนปิดประตูหอพักและปีนขึ้นไปบนเตียงนอนอย่างรวดเร็ว

ผมไม่กล้ามุดตัวไปในผ้าห่มแล้วเปิดไฟฉายอ่านนิยาย ทันที ผมกลัวว่าการกระทำของผมเมื่อครู่นี้จะดึงดูดความสนใจของครูผู้ดูแลหอพักคนนั้น เขาอาจจะกำลังจ้องมาที่หอพักของผมเพียงอย่างเดียว ถ้าหากว่าเขามองเห็นแสงสว่างอันน้อยนิดจาก ตรงที่ผมอยู่ต้องจบเห่แน่ๆ

ยิ่งกว่านั้น ผมกังวลว่าด้วยเหตุนี้เขาจะเปิดประตูหอพักของเรามาเพื่อตำหนิว่าเมื่อสักครู่นี้ผมเปิดประตูและโผล่หัวออกไปทำไม

ผมรอแล้ว รอเล่า ผมรออยู่นานมาก

นี่คือสนามต่อสู้ที่วัดกันด้วยความอดทน

นี่คือเกมของนักล่าและหมาป่า

จริงๆ นะ นี่ไม่ใช่การพูดเกินจริงอะไรเลย

ผมอยากจะอ่านนิยายต่อมากๆ อยากจะดำดิ่งสู่โลกแห่งนิยายต่อไป แต่ผมไม่กล้า เพราะหลังจากที่ผมขึ้นเตียงแล้ว ผมก็ยังคงได้ยินเสียงดังสะท้อนของรองเท้าหนังคู่หนึ่งที่โถงทางเดินด้านนอกอยู่ตลอดเวลา

ผมหยิบนาฬิกามาดูเวลา นี่มันตีสองครึ่งแล้ว

พวกบ้า

ตอนนี้พวกเขายังกำลังค้นหาเหยื่ออยู่!

เสียงรองเท้าหนังนั้นกวนใจผมอยู่นานมาก ผมอยากจะเปิดไฟฉายอ่านนิยาย แต่ผมไม่กล้าจริงๆ

ตั้งแต่ ตีสองครึ่งถึง ตีสาม เสียงรองเท้าหนังยังดังไม่หยุด และมันก็ดังขึ้นเป็นระยะๆ ผมด่าครูผู้ดูแลคนนั้นในใจไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว

ถ้าเขาไม่ไป ผมก็ไม่กล้าอ่านนิยาย กังวลมากจริงๆ

ตอนนั้นผมคิดว่าเขาเพิ่งหย่ามาหรือเปล่าก็เลยอารมณ์ไม่ดี คืนนี้เลยอยากหาคนทำผิดมาสั่งสอนเสียหน่อย ดังนั้นเวลาป่านนี้แล้วจึงยังดื้อดึงอยู่ได้

ในเวลานี้เองประตูหอพักของเราก็ถูกเปิดออก

ผมสะดุ้งและหลับตาลงทันที แกล้งทำทีว่าผมกำลังหลับอยู่

นิยายและไฟฉายทั้งหมดก่อนหน้านี้ต่างก็อยู่ใต้ผ้าห่มของผมนี่แหละ เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามา ผมนอนอยู่บนเตียงและไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้นผมเลยไม่กลัว

เสียงรองเท้าหนัง

เริ่มเข้าใกล้อย่างช้าๆ

ตึก

ตึก

ตึก…

พร้อมกับเสียงบางอย่างที่หยดลงมา

และจู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าลมพัดมา ผมรู้สึกหนาวเล็กน้อย และร่างกายของผมก็เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

อาจเป็นเพราะประตูหอพักถูกเปิดอยู่ หน้าต่างระเบียงก็ไม่ได้ปิด ทำให้ลมพัดเข้ามาละมั้ง

รองเท้าหนังเดินตรงมาที่ผมและหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ผมบังคับให้ตัวเองรักษาลมหายใจให้สม่ำเสมอ ในเวลานี้ผมรู้สึกว่าทักษะการแสดงของผมนั้นไม่เลวเลยทีเดียว

รองเท้าหนังมาหยุดอยู่ข้างๆ ผมครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เดินจากไปอย่างเงียบๆ และประตูก็ถูกปิดลง

ผมไม่กล้าขยับ

และนอนอยู่อย่างนั้นต่อ

ประมาณสองนาทีต่อมา ประตูก็เปิดอีกครั้ง จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงรองเท้าหนัง และประตูก็ปิดลงอีกครั้ง

ไอ้ห่า!

ตอนเขาปิดประตูครั้งแรกไม่มีใครออกไปเพราะรอดูความเคลื่อนไหวของผม!

ดีนะที่ผมรู้ทันน่ะ!

ไอ้ฉิบหาย!

ในที่สุดก็ไม่ได้ยินเสียงรองเท้าหนังข้างนอกแล้ว

ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ต่อมาผมก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุม จากนั้นก็เปิดไฟฉายและอ่านนิยายของผมต่อ

ผมอ่านมันอีกประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ อ่านอย่างเมามันมาก มันเป็นตอนที่น่าตื่นเต้นพอดี

‘ตุ้บ …’

ผมได้ยินเสียงดัง มาจากทางระเบียง

ผมปิดไฟฉายด้วยความฉงนแล้วโผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม ผมไม่กลัวเสียงจากระเบียงหรอก ตราบใดที่ไม่ใช่เสียงที่ดังมาจากโถงทางเดินก็ไม่เป็นไร

ผมยื่นหัวตัวเองออกไปนอกเตียงและมองไปทางระเบียงนั่น อันที่จริงเป็นเพราะแสงจันทร์ ทัศนวิสัยตรงระเบียงไม่เลวเลยทีเดียว ผมนึกว่าเป็นเสื้อผ้าของใครบางคนที่ตากไว้ข้างนอกหล่นลงมาหรือเปล่า แต่ผมกลับพบว่าไม่มีเสื้อผ้าร่วงลงมาบนระเบียง

จากนั้นผมก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ

ผมเห็นแล้ว เห็นรองเท้าหนังตกอยู่บนระเบียง!

รองเท้าหนัง!

จะมีรองเท้าหนังอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

พวกเราอยู่บนชั้นหกเป็นชั้นบนสุด ด้านบนไม่มีใครอาศัยอยู่แล้ว และเป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งของลงมาด้วย ห้องนอนห้องข้างๆ จะโยนของเข้ามาในเวลานี้ก็ไม่น่าเป็นไปได้ แถมสิ่งที่โยนเข้ามา ยังเป็นรองเท้าหนัง อีกต่างหาก

จากนั้น ในขณะที่ผมกำลังตกใจ

ใบหน้าหนึ่ง

ใบหน้าหนึ่งห้อยหัวลงมา

เลื่อนลงมาจาก ผนังเหนือระเบียงช้าๆ

ร่างกายของผมเกือบจะแข็งทื่อ ทำได้เพียงแค่มองดูใบหน้าของชายวัยฉกรรจ์ที่ค่อยๆ ขยับเลื่อนลงมาอย่างช้าๆ อย่างไม่รู้ตัว

เขาหรี่ตาลง และฉีกยิ้มด้วย ริมฝีปากที่กว้างจนเกินจริง

จากนั้นเขาก็อ้าปากแล้วเป่าลมกระทบใบหน้าของผม แล้วเอ่ยว่า

“หึ จับได้แล้วว่านายกำลังอ่านนิยาย”

……………………………………………………………….