บทที่ 295: ใครดี ใครเลว ?

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 295: ใครดี ใครเลว ?

อาร์ทิสไม่พอใจเป็นอย่างมาก

นางรู้สึกราวกับว่านับวันฉินเย่ยิ่งไม่เคารพนางมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ใดจะไปคิดว่าในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ยมทูตอ่อนหัดจะเติบโตจนกล้าเอ่ยกับขั้นตุลาการนรกด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความเคารพแบบนี้ !

น่าเสียดาย ไม่มีใครสนใจความรู้สึกของนางเลยแม้แต่น้อย

ฉินเย่ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และคนอื่น ๆ ภายในห้องโถงเองก็ทำตาม พวกเขาต่างจ้องมองแผนที่ด้วยความรู้สึกที่ยากเกินจะบรรยาย

ความกดดันที่พวกเขาแบกรับอยู่นั้นหนักหนายิ่งนัก มันคงไม่เป็นการพูดเกินความจริงเลยหากจะบอกว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปีของแผ่นดินจีนพร้อมกันในคราวเดียว แค่ความคิดที่ว่าราชทูตทั้ง 12 ต่อต้านพวกเขาก็ทำให้พวกเขาทั้งหมดนอนไม่หลับแล้ว

เจ้าศักดินาแห่งอาณาจักรล้านช้าง โจวกงจิน หรือที่รู้จักในนามจิวยี่ !

เจ้าศักดินาแห่งจักรวรรดิเขมร กั๋วจื่ออี้ !

เจ้าศักดินาแห่งสยาม ราชาแห่งไคผิง ฉางเย่ชุน !

เจ้าศักดินาแห่งพุกาม หม่าฝูโปว หรือที่รู้จักในนามหม่าหยวน !

เจ้าศักดินาแห่งซานฟอตซี ฮั่นฉินหู !

เจ้าศักดินาแห่งมาลายาบ้านเจ้า หรือที่รู้จักในนามบ้านติ้งหยวน !

เจ้าศักดินาแห่งเจียวจื่อ เจ้าชายแห่งหลานหลิง เกาฉางกง !

เจ้าศักดินาแห่งสิงหปุระ หวางเมิ่ง !

เจ้าศักดินาแห่งลูซอน หยางจีเย่ !

เจ้าศักดินาแห่งดินแดนแห่งป่าไผ่ ชากันเตมูร์ !

เจ้าศักดินาแห่งลิชชาวี อวี๋เชียน !

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด กองซุนฉี่ ข้าราชการแห่งอาณาจักรสินธุ กองกำลังรักษาการณ์พิเศษของยมโลก ทั้งหมดนี้คือราชทูตทั้ง 12 ที่ถูกเขียนไว้บนแผนที่

นี่คือรายชื่อของเหล่าบุคคลในตำนานตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายพันปีของจีน การเผชิญหน้ากับพวกเขาย่อมทำให้คนทั้งหมดรู้สึกตื่นเต้นและกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย

“ข่าวดีของเราเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือพวกเขาไม่มีใครแข็งแกร่งเกินกว่าขึ้นตุลาการนรก” อาร์ทิสเอ่ยเสียงเรียบ “น่าเสียดายที่การสังหารแมลงแห่งหายนะไม่ได้ทำให้ได้รับแต้มกุศล ไม่เช่นนั้น… หากเราสามารถทำให้เจ้าเลื่อนขึ้นเป็นขั้นตุลาการนรกได้ ทุกอย่างคงราบรื่นสำหรับเราในปลายปีนี้”

ฉินเย่มองรายชื่อทั้ง 12 ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ทันใดนั้นเขาก็ถามขึ้นว่า “ทำไมถึงไม่ใช่ชื่อจักรพรรดิหวู่แห่งซ่งอยู่ในนี้ด้วย ? เขาเป็นเจ้าศักดินาของแดฮันไม่ใช่หรือ ?”

“จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งนั้นเป็นข้าราชการศักดินาจริง แต่เขาเป็นกรณีพิเศษ” อาร์ทิสอธิบาย “เจ้ารู้อะไรหรือไม่ ? พลังของเขาถูกผนึกเอาไว้โดยผู้ที่ทรงพลังมากที่สุดที่ยมโลกเคยมีมา ท่านจ้าวนรกองค์ที่สอง เขาจะไม่สามารถเลื่อนไปอยู่ในขั้นที่สูงกว่านี้ได้หากไม่ได้รับการอนุญาตจากท่านจ้าวนรกองค์ที่สองเอง เนื่องด้วยกลัวว่านรกจะไม่สามารถควบคุมเขาได้อีกต่อไปเมื่อเขาก้าวขึ้นสู่ขั้นฝู่จวินหรืออาจจะพระยม ดังนั้นเขาจึงไม่เป็นส่วนหนึ่งของราชทูตทั้ง 12 เขามีสิทธิ์ที่จะได้รับการยกย่องมากกว่าราชทูตทั้ง 12 แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังเป็นข้าราชการศักดินาอยู่ดี”

“นอกจากนี้ เจ้าควรจะดีใจด้วยที่ข้าราชการศักดินาไม่สามารถมีทหารภายใต้บังคับบัญชาของเขาเกิน 10,000 ตน นี่น่าจะเป็นข่าวดีที่สุดสำหรับเราในตอนนี้”

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกขณะที่หันไปหาศาสตราจารย์ทั้งสอง “ข้าอยากได้ยินความคิดเห็นของพวกเจ้าทั้งสองเกี่ยวกับเรื่องนี้”

แผ่นดินจีนนั้นถูกล้อมรอบด้วย 13 กองกำลัง และแต่ละกองกำลังก็เป็นเพียงรัฐสาขาที่พร้อมที่จะรับใช้เจ้าหน้าที่อยู่ตรงกลาง แต่ตอนนี้… พวกเขาทั้งหมดกลับมองมาที่บัลลังก์ด้วยสายตาที่ละโมบ มันจะยังมีกี่กองกำลังกันที่ยังยกย่องและเทิดทูนยมโลกเหมือนดั่งที่เคยเป็นในอดีต ?

มันเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงก่อนที่จะลงมือจริง พวกเขาจำเป็นจะต้องแยกระหว่างมิตรและศัตรู เพื่อที่จะได้สามารถรวบรวมกำลังเพื่อต่อสู้กับส่วนที่เหลือได้ ยิ่งพวกเขาสามารถบรรลุสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ได้มากเท่าไหร่ อำนาจในการเจรจาที่จะเกิดขึ้นในการประชุมราชสำนักภายในปลายปีและผลประโยชน์ที่ยมโลกจะได้ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ถ้าพูดกันตามความจริง… หากทุกอย่างเป็นไปอย่างรวบรื่น พวกเขาอาจจะสามารถดึงตัวข้าราชการศักดินาบางส่วนกลับมารับใช้ยมโลกอีกครั้งก็เป็นได้ !

“รับทราบ” ศาสตราจารย์ทั้งสองเหลือบมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะกระแอมออกมาเบา ๆ “หากพูดกันตามตรง แผนที่แผ่นนี้อาจจะซ่อนข้อมูลไว้มากกว่าที่เราเห็น เมื่อพิจารณาตามหลักการบริหารของเหล่าผู้ปกครองในสมัยโบราณ ยิ่งข้าราชการศักดินาผู้นั้นจงรักภักดีมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งถูกส่งไปประจำการในพื้นที่ที่ห่างไกลมากขึ้นเท่านั้น คำกล่าวนี้เป็นจริงอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้ ยิ่งเป็นรัฐบริวารที่อยู่ใกล้เข้ามามากเพียงใด มันก็ยิ่งมีแนวโน้มที่ข้าราชการศักดินาที่ได้รับมอบหมายจะเป็นผู้ที่ยากต่อการควบคุม จักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง หลิวอวี้ ที่เป็นเจ้าศักดินาแห่งแดฮันเป็นตัวอย่างที่ดีมากสำหรับกรณีนี้ เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็อยู่ห่างจากฝั่งตะวันออกของจีนไปไม่มากเท่าไร…”

ปั้ง ! …ทันใดนั้น อาร์ทิสก็ตบโต๊ะเบา ๆ และเอ่ยขึ้น “ข้าเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้”

นางลุกขึ้นยืน ไพล่มือไปด้านหลังและเริ่มเดินไปรอบ ๆ “ที่สามมณฑลทางตะวันออกและกองกำลังทหาร 120,000 นายนั้นถูกนำโดยนายพลสวีต๋า [1] พวกเขาจะต้องถูกสั่งให้ประจำอยู่ที่นั่นเพื่อที่จะจับตาดูจักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง และในเวลาเดียวกันโลกใต้พิภพของญี่ปุ่นไปด้วย เพราะอย่างไร… มันก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเพื่อที่จะมุ่งหน้าไปที่แดฮันและญี่ปุ่นจากมณฑลทางตะวันออก”

“เป็นเช่นนั้น” ศาสตราจารย์หลี่ชี้ไปที่แผนที่และเอ่ยต่อ “เรามาดูกันต่อ บุคคลแรก เรามีเจ้าศักดินาแห่งอาณาจักรล้านช้าง โจวกงจิน รัฐบริวารของเขาไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่มันก็อยู่ติดกับพรมแดนจีน ดังนั้นมันจึงมีความเป็นไปได้ที่โจวกงจีนอาจจะไม่ใช่พันธมิตรกับเราเท่าใดนัก !”

ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา หากพูดกันตามตรง มันค่อนข้างยากที่จะให้พวกเขายอมรับว่าบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จีนผู้นี้จะเป็นปฏิปักษ์กับบ้านเกิดของตนเอง

มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด

“ไม่เพียงเท่านั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าโจวกงจินถูกให้ไปประจำการในดินแดนที่ค่อนข้างมีขนาดเล็กและมีทรัพยากรอยู่อย่างจำกัดทำให้เห็นได้ชัดเลยว่ายมโลกต้องการที่จะพยายามจำกัดอำนาจของเขา ข้าราชการศักดินาที่จงรักภักดีจะไม่ถูกสั่งให้ไปประจำการในดินแดนเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้น มันก็มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง…”

ศาสตราจารย์ทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่ศาสตราจารย์อันจะเป็นฝ่ายเอ่ยต่อ “นั่นก็คือโจวกงจินอาจจะจงรักภักดีต่อยมโลกอย่างสุดใจจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าศักดินาแห่งอาณาจักรล้านช้าง เพราะอาณาจักรล้านช้างนั้นตั้งอยู่ระหว่างพรมแดนของเวียดนาม สยาม เบอร์มาเนีย และจีน จากความสำคัญทางภูมิศาสตร์หมายความว่ามันจำเป็นต้องมอบให้กับผู้ที่ทรงพลังและซื่อสัตย์ที่สุดในหมู่ราชทูตทั้งหมด ! หากนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมโจวกงจินถึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าศักดินาแห่งอาณาจักรล้านช้าง มันก็มีความเป็นไปได้ 70% ที่เขาจะกลับมายังยมโลกและสวามิภักดิ์ต่อเรา”

“หากพูดกันตามตรง มันค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าความจงรักภักดีของเขาในเวลานี้อยู่ในระดับใด บรรดาผู้ที่ยอมจำนนต่อราชวงศ์ที่รวบรวมจีนเป็นหนึ่งมักจะรู้สึกว่าพวกตนเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินจีน แต่โจวกงจินผู้นี้ไม่ได้มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่ความเคารพของเขามอบให้กับราชวงศ์พวกนั้น และการขาดข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับการตัดสินใจของยมโลกก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างยากขึ้นกว่าเดิม มันจึงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าความจงกภักดีของเขาในเวลานี้อยู่ที่จุดใด”

ฉินเย่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ ในเรื่องนี้ เขาเพียงนั่งฟังอย่างตั้งใจและพยักหน้าเบา ๆ “พูดต่อเถอะ”

“รับทราบ เรามาต่อกันที่รายชื่ออื่น ๆ เจ้าศักดินาแห่งจักรวรรดิเขมร กั๋วจื่ออี้ เจ้าศักดินาแห่งมาลายา บ้านติ้งหยวน เจ้าศักดินาแห่งลูซอน หยางจีเย่ เจ้าศักดินาแห่งสิงหปุระ หวางเมิ่ง เจ้าศักดินาแห่งซานฟอตซี ฮั่นฉินหู เจ้าศักดินาแห่งลิชชาวี อวี๋เชียน ข้าราชการศักดินาทั้งหกนี้ประจำการอยู่ห่างจากจีนมาก อย่างน้อยที่สุด พวกเราก็สามารถแน่ใจได้ว่าพวกเขาเคยภักดีต่อยมโลกแห่งเก่า ที่สำคัญที่สุด พวกเขามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาของราชวงศ์ที่รวบรวมจีนเป็นหนึ่ง และพวกเขาก็ขึ้นชื่อในเรื่องของความซื่อสัตย์ที่มีแต่องค์จักรพรรดิและแผ่นดินของตนในเวลานั้น อันที่จริง กั๋วจื่ออี้ บ้านติ้งหยวน หวางเมิ่ง และฮั่นฉินหูนั้นล้วนเป็นเสาหลักของราชวงศ์ในยุคสมัยของพวกเขา ดังนั้นข้าจึงเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า…”

เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยต่อ “พวกเราอาจจะสามารถดึงกลุ่มคนเหล่านี้กลับมายังยมโลกแห่งเก่าได้”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “แล้วกองซุนฉี่เล่า ?”

“มันยากที่จะพูด” ชายสูงวัยทั้งสองถอนหายใจออกมาพร้อมกัน “หากเขารู้ว่ายมโลกแห่งเก่าได้ล่มสลายไปแล้ว ในกรณีที่แย่ที่สุด เขาก็อาจจะถ่ายทอดข้อมูลนี้ให้กับโลกใต้พิภพของฮินดูสถาน หากข้าราชการระดับสูงขนาดนั้นย้ายไปอยู่อีกฝ่าย… ผลที่ตามมาก็คงจะยากที่จะคาดเดา !”

ฉินเย่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับมุมมองของศาสตราจารย์ทั้งสอง

มันสมเหตุสมผลที่ผู้ที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีจะถูกสั่งให้ไปประจำการในจุดที่ห่างไกลออกไป และเก็บผู้ที่ไว้ใจได้น้อยกว่าไว้ใกล้ชิดกับตัวเพื่อง่ายต่อการจับตาดู

มีสองท่านที่ยังไม่แน่ใจนักคือโจวกงจิน กองซุนฉี่ และยังอีกหกท่านที่มีความเป็นไปได้ที่จะกลับมายังยมโลก อวี๋เชียน กั๋วจื่ออี้ บ้านติ้งหยวน หวางเมิ่ง ฮั่นฉินหู และหยางจีเย่… จากนั้นก็จะเหลือ…

ฉินเย่มองไปที่แผนที่อีกครั้ง

หม่าฝูโปว เกาฉางกง ฉางเย่ชุน ชากัน และจักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง… พวกเขาเป็นเจ้าศักดินาของรัฐบริวารที่อยู่ใกล้จีนมากที่สุด ! อีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขาคือกลุ่มผู้ที่ยมโลกแห่งเก่าหวาดระแวงมากที่สุด !

ศาสตราจารย์ทั้งสองเข้าใจความคิดของฉินเย่ทันทีที่สบสายตากับเด็กหนุ่ม ดังนั้นพวกเขาจึงรีบอธิบายต่อทันที “เกาฉางกงไม่ได้มีชีวิตอยู่ในช่วงราชวงศ์ที่รวบรวมจีนเป็นหนึ่ง [2] เขามีชีวิตอยู่ในราชวงศ์ชี่เหนือจนกระทั่ง…. ถูกวางยาพิษจนเสียชีวิต และที่ทำให้เรื่องแย่ไปกว่าเดิมก็คือผู้ที่วางยาพิษเขาคือจักรพรรดิที่รู้สึกไม่พอใจกับความสำเร็จของเขา และนี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแม้ว่าเกาฉางกงจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตนไม่เป็นที่จับตามองแล้วก็ตาม ข้าคิดว่าเขาคงตอบรับการปกครองเวียดนามอย่างไม่เต็มใจนักเพราะอำนาจอันมหาศาลของยมโลกในตอนนั้น และเขาก็คงไม่ยอมทรยศยมโลกในเวลานั้นเช่นกัน”

“จักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง หรือหลิวอวี้นั้นแทบจะไม่ต้องพูดถึง ในฐานะของผู้ที่เคยเป็นจักรพรรดิ เขาไม่มีทางยอมจำนนต่อผู้อื่นอย่างแน่นอน ชากันเตมูร์เองก็เช่นกัน ในหมู่แม่ทัพที่โด่งดังจากทั่วทั้งประวัติศาสตร์จีน เขาคือผู้ที่รวบรวมดินแดนได้มากที่สุด นอกจากนี้ เขายังเหยียดหยามชาวฮั่นอย่างถึงที่สุด มันจึงเป็นธรรมดาที่คนแบบเขาจะถูกยมโลกแห่งเก่าจับตามองอย่างใกล้ชิด ถัดไป ขุนศึกหม่าหยวนที่เพลิดเพลินไปกับความรุ่งโรจน์ของเขาในขณะที่ยังมีชีวิต แต่น่าเศร้า หลังจากการตายของเขา เขาถูกกล่าวหาผิดๆมากมาย และองค์จักรพรรดิในเวลานั้นก็ได้ปลดเขาออกจากตำแหน่งทั้งหมด เขาไม่รับแม้แต่เกียรติที่จะได้ถูกฝังอย่างเหมาะสม ภรรยาของเขาเขียนคำร้องต่อองค์จักรพรรดิถึงหกครั้งก่อนที่เขาจะยินยอมในที่สุด จากนั้น เมื่อภรรยาของหม่าฝูโปวเสียชีวิตลง พวกเขาถึงได้รับโอกาสให้สร้างศาลบรรพชนขึ้นเพื่อระลึกถึงทั้งสอง”

ศาสตราจารย์หลี่ถอนหายใจออกมา “แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่วิญญาณยังคงมีความรู้สึก เขาจะต้องได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างแน่นอน… ข้าเกรงว่า… มันไม่น่าเป็นไปได้ที่เราจะสามารถดึงบุคคลเหล่านี้มาอยู่ฝั่งเดียวกันได้ในเวลานี้”

น่าเสียดาย… ฉินเย่ลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ หากไม่นับรวมกองซุนฉี่และจิวยี่ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็พอคาดเดาได้แล้วว่าใครบ้างที่เป็นมิตรและใครบ้างที่เป็นศัตรู

คู่ต่อสู้เหล่านี้… แค่นึกถึงก็ทำให้เขาขนลุกแล้ว !

ศาสตราจารย์อันขมวดคิ้ว “แต่สิ่งที่ข้ารู้สึกสงสัยมากที่สุดก็คือ… ทำไมดินแดนของฉางเย่ชุนถึงอยู่ใกล้กับจีนมากถึงเพียงนี้ ?”

“ในสมัยนั้น จูหยวนจางสั่งให้ประหารชีวิตขุนนางเก่าของเขาทั้งหมด เหลือไว้ก็แต่ฉางเย่ชุน จนสุดท้ายชายผู้นี้ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคภัยไข้เจ็บในวัย 40 ปี… หากลองพิจารณาดูแล้ว เขาไม่น่าจะมีความแค้นอะไรต่อแผ่นดินหรือองค์จักรพรรดิในเวลานั้นเลยแม้แต่น้อย หรือว่า…จิตใจของเขาเปลี่ยนแปลงไปในระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา ? นั่นอาจนำมาซึ่งการเข้ารับประจำการในรัฐบริวารของเขา”

เงียบ

ฉินเย่ลุกขึ้นยืนและไพล่มือไปด้านหลังขณะที่เดินไปยังแผนที่อีกครั้ง ดวงตาของโนบูนางะเต็มไปด้วยประกายวาวโรจน์ขณะที่เขามองตามร่างของฉินเย่ ทุกเซลล์ในร่างกายของเขาเต็มไปด้วยปรารถนาที่จะต่อสู้ ร่างกายของเขาร่ำร้องที่จะทำศึก และเขาก็ไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นเท่านี้มาก่อน

บางที… เขาอาจจะฟื้นคืนชีพกลับมาเพื่อที่จะทำสงครามกับเหล่าขุนศึกเหล่านี้…

โนบูนางะไม่ใช่พวกที่หยิ่งทะนงในตนเอง เพราะพวกที่เย่อหยิ่งและพึงพอใจในตนเองนั้นไม่เหมาะสมที่จะรวบรวมและปกครองชาติทั้งชาติ

ญึ่นปุ่นนั้นให้ความสนใจในประวัติศาสตร์จีนมาโดยตลอด

ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่ายุครณรัฐของญี่ปุ่นนั้นเป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทรเพื่อเทียบกับขอบเขตความขัดแย้งและความรุนแรงของสงครามที่เกิดขึ้นในจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เมื่อใดก็ตามที่เขาได้ยินเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีน เขามักจะรู้สึกว่าตัวเองเกิดมาผิดยุคสมัยและผิดประเทศมาโดยตลอด แต่ตอนนี้… ในที่สุดเขาก็ได้โอกาสที่จะเผชิญหน้ากับฉางเย่ชุน หม่าฝูโปว ชากันเตมูร์ เกาฉางกง และอาจจะรวมถึงจิวยี่และกองซุนฉี่ !

หัวใจของเขาเต้นแรงเป็นอย่างมาก !

หากพูดกันตามความจริง ครั้งเดียวที่หัวใจของเขาเต้นแรงขนาดนี้ก็คือตอนที่เขาได้รับคำสัญญาถึงโอกาสที่จะได้เติมเต็มความฝันของการพิชิตและรวบรวมญี่ปุ่น !

ฉินเย่ยังคงเงียบ แต่มุไรซาดาคัตสึไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขารีบประสานมือและเอ่ยกับฉินเย่ด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท ตระกูลโอดะพร้อมที่จะทำสงครามตลอดเวลา !”

ราวกับปฏิกิริยาลูกโซ่ หัวใจของโนบูนางะสั่นไหวอย่างรุนแรง และเขาก็ก้าวเท้าออกมาข้างหน้าเช่นกัน “ท่านฉิน ตระกูลโอดะของเราจะทำทุกอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะปกป้องยมโลกจากอันตรายใด ๆ ที่คลืบคลานเข้ามา !”

เปลวไฟในดวงตาของเขาลุกโชนอย่างรุนแรงขณะที่พึมพำด้วยเสียงที่แหบแห้ง “ข้ารอไม่ไหว… ข้าอยากจะลองประชันฝีมือกับบุคคลในตำนานเหล่านี้…”

ฉินเย่เงยหน้ามองเพดานและหัวเราะออกมาเสียงเย็น “โลกนี้เต็มไปด้วยโอกาส อยู่ที่เราแล้วว่าจะมองเห็นและพยายามที่จะไขว่คว้ามันหรือเปล่า แต่ท่านโนบูนางะ… ข้าเกรงว่าท่านคงจะต้องผิดหวัง พวกเราจะไม่สามารถประจัญกับพวกเขาได้จนกว่าจะผ่านไปอย่างน้อย 20 ปี”

โนบูนางะที่ได้ยินเช่นนั้นก็สูดหายใจเข้าช้า ๆ “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากผ่านไป 20 ปี ?”

ฉินเย่เลียริมฝีปากของตนเอง “หลังจากผ่านไป 20 ปี… ข้าจะนำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของยมโลกกลับคืนมาด้วยตัวเอง ! และจากนั้น… ข้าก็จะช่วยเติบเต็มความฝันของท่านในการพิชิตญี่ปุ่น ! ข้าได้ให้คำมั่นกับท่านไปแล้ว ดังนั้นข้าจะทำทุกอย่างเพื่อทำตามคำมั่นที่ได้ให้ไว้ !”

การยอมจำนนของรัฐบริวารจะทำให้จำนวนประชากรของยมโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก จากนั้น ด้วยเหล่าแม่ทัพผู้แข็งแกร่งที่อยู่ภายใต้คำบัญชา บางทีเราอาจจะสามารถขยายขอบเขตความทะเยอทะยานของยมโลกให้ไปไกลกว่าญี่ปุ่นก็เป็นได้…

“เช่นนั้น… ข้าจะรอให้ถึงเวลานั้น” โนบูนางะข่มความปรารถนาที่จะสู้รบภายในใจของตนก่อนจะก้าวถอยหลังกลับไปที่เดิมของตน

เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการพัฒนาภายใน… เป้าหมายในการทวงคืนดินแดนที่สูญเสียไปกลับคืนมาคืออะไร ? ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาต้องการเพิ่มจำนวนประชากรหรอกหรือ ? ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน นอกจากนี้ เขาจะสามารถทำอะไรได้ในเมื่อเรายังไม่แข็งแกร่งพอ ? ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงรอเวลาเท่านั้น การประชุมราชสำนักจะเกิดขึ้นในปลายปีนี้ ตอนนั้นพวกเขาถึงจะรู้ว่าใครที่อยู่ฝั่งเดียวกัน และใครที่ไม่ใช่

จากนั้น พวกเขาถึงจะสามารถเริ่มวางแผนและกลยุทธ์ล่วงหน้าได้

พวกเขาวสามารถเริ่มคิดเกี่ยวกับกองกำลังรักษาการณ์ ท่าเรือเพื่อทำการค้า และแม้แต่… ก่อตั้งเมืองใหม่ !

“ทุกท่าน” เขากวาดสายตามองคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ “ข้ามั่นใจว่าทุกตนคงชัดเจนแล้วว่าผู้ใดบ้างที่เป็นภัยคุกคามต่อยมโลก”

“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในยมโลกแห่งใหม่จนกว่าจะจัดพิธีอัญเชิญสมุดแห่งความเป็นตายขึ้น !”

“ครั้งนี้ ข้าต้องการให้พิธีที่ถูกจัดขึ้นยิ่งใหญ่และหรูหรามากที่สุดเพื่อที่จะสร้างขวัญกำลังใจให้กับพลเมืองของเรา ! ซูตงเซวี่ย !”

“ข้าอยู่นี่แล้ว” หญิงสาวก้าวออกมาและประสานมือคำนับด้วยความเคารพ

“เจ้ารับผิดชอบในพิธีนี้ ข้าไม่ได้สนใจรายละเอียดมากนัก เพราะฉะนั้นเจ้าสามารถทำได้ตามที่เห็นสมควร แต่หากมันไม่ถึงมาตรฐานที่ข้าตั้งเอาไว้… เจ้าจะถูกไล่ออกทันที”

“รับทราบ !”

จากนั้นฉินเย่จึงหันไปหาศาสตราจารย์ทั้งสอง “ศาสตราจารย์หลี่ ศาสตราจารย์อัน ข้ายังมีบางเรื่องที่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าทั้งสอง”

“เชิญนายท่านเอ่ยมากได้เลย”

“สมุดแห่งความเป็นตายสามารถอัญเชิญกองกำลังจากในสมัยโบราณมาได้ ในหมู่ห้ากองทัพไร้เทียมทาน ข้าต้องการให้เจ้าเลือกกองกำลังที่เหมาะสมกับจุดประสงค์ของยมโลกในตอนนี้มากที่สุดมา”

“รับทราบ”

ทันทีที่เอ่ยจบ เด็กหนุ่มก็หันไปมองคนอื่นๆและเอ่ยสรุปเสียงเครียด “ข้าขอสรุปการประชุมนี้ด้วยข้อความสั้น ๆ ในปลายปีนี้ ข้าต้องการให้ยมโลกเจริญเติบโตและรุ่งโรจน์ ! ข้าต้องการให้เหล่าข้าราชการศักดินาที่เดินทางมาที่นี่ตระหนักได้ว่าแม้ว่าตอนนี้เราอาจจะยังเทียบกับพวกเขาไม่ได้ แต่เราจะนำหน้าพวกเขาในระยะเวลาเพียงไม่กี่ศตวรรษ ! ยมโลกยังคงเป็นยมโลก สถานที่แห่งเดียวที่จะสามารถเป็นหน้าเป็นตาของโลกใต้พิภพของจีน ! รัฐบริวารทั้งหมดจะไม่มีสิทธิ์อยู่เหนือเรา ! อำนาจของจ้าวนรกจะคงอยู่ตลอดกาล !”

“ผู้ที่ไม่สามารถนำพาเราไปสู่เป้าหมายนี้สามารถออกไปตั้งแต่ตอนนี้เลย ! ทีนี้ ข้าขอถามพวกเจ้า เราจะสามารถทำมันได้หรือไม่ ?!”

“ท่านจ้าวนรกโปรดวางใจ !” คนทั้งหมดประสานมือและเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

[1] หนึ่งในกลุ่มนายพลผู้ร่วมก่อตั้งราชวงศ์หมิง และเป็นพระสหายสนิทตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ของจักรพรรดิหมิงหงหวู่

[2] เขามีชีวิตอยู่ในช่วงปีค.ศ. 541-573