บทที่ 296: วันหยุดฤดูร้อนที่วุ่นวาย

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 296: วันหยุดฤดูร้อนที่วุ่นวาย

หลินฮั่นกำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“งานสังคม ! งานสังคม !!” เขากลิ้งตัวไปมาในห้องของตัวเองในขณะที่ฉินเย่และซู่เฟิงนั่งอยู่ด้านข้าง สีหน้าปราศจากอารมณ์ใด ๆ หลังจากกลิ้งไปมาประมาณห้านาที ในที่สุดชายร่างโตก็ลุกขึ้นนั่งและจ้องมองเพื่อนของตน “พวกคุณเตรียมแผนการสอนสำหรับภาคการศึกษาหน้าเสร็จหรือยัง ?”

“เสร็จแล้ว” ซู่เฟิงเอ่ยตอบเสียงเรียก “ภาคการศึกษาหน้าจะเป็นภาคการศึกษาสุดท้ายก่อนที่เราจะเริ่มเข้าสู่ภาคปฏิบัติ มันยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องพูดถึง ดังนั้น ต่อให้ฉันจะเตรียมแผนการสอนเสร็จแล้ว แต่ฉันก็ยังต้องใช้เวลาทบทวนมันอีกสองสามวันก่อนที่จะสรุปออกมาในที่สุด จะว่าไป นายช่วยอย่าดึงชื่อเสียงของทีมเปลวเพลิงของเราให้ตกต่ำลงเรื่อย ๆ ได้ไหม ? นายช่วยแสดงความสามารถอะไรออกมานอกจากหน้าตาของตัวเองบ้างได้ไหม ? ฉินเย่ที่นั่งอยู่ตรงนี้สามารถรักษาอันดับสูงสุดของเขาได้ทั้งตลอดภาคการศึกษา นายไม่คิดที่จะตามเขาให้ทันสักครั้งหรือไง ?”

หลินฮั่นลูบใบหน้าที่หล่อเหลาของตนและถามอย่างสงสัย “…แค่หน้าตาดีมันไม่พอเหรอ ?”

ทั้งสองคนที่นั่งอยู่รู้สึกถึงความขมขื่นที่ก่อขึ้นในใจของตนทันที

จู่ ๆ พวกเขาก็ไม่สามารถหาคำตอบให้กับคำถามนี้ได้

“แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น !” หลินฮั่นไม่สามารถรักษาสมาธิได้นานกว่าห้าวินาที เขาลุกขึ้นยืนบนเตียงและเอ่ยออกมาอย่างมุ่งมั่น “คะแนนการสอนอะไรกัน ?! ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแหละ ! การเก่งให้ได้เท่าไอน์สไตน์จะไปมีความหมายอะไร ? สิ่งสำคัญคือนี่ ! มันจะมีอาจารย์ผู้หญิงทั้งหมด 13 คนที่จะเข้าร่วมสาขาการต่อสู้ ! ผมต้องเลี้ยงชานมพวกเธอตั้งหนึ่งอาทิตย์กว่าที่พวกเธอจะยอมเชิญผมไป แต่ทำไมพวกคุณถึงไม่สนใจที่จะเข้าร่วมเลยสักนิด ?!”

ฉินเย่เปิดปาก แต่ก็ไม่มีคำพูดใดออกมา ตอนนี้เขากำลังยุ่งมาก และมันก็ผ่านมาสามวันแล้วหลังจากที่เขาไปยังยมโลกครั้งล่าสุด ด้วยการตั้งกล่องเสนอแนะ คำแนะนำมากมายถูกเผาและส่งมาให้เขาทุกวัน และยังไม่เพียงเท่านั้น ตอนนี้เขากำลังพยายามตรวจดูสมบัตินรกทั้งหมดที่เขาเพิ่งได้มา ถุงใต้ตาที่ปรากฏขึ้นสามารถบอกถึงอาการอดนอนของเขาได้เป็นอย่างดี

และสิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีกก็คือ เขายังตรวจดูของในถุงเอกภพถุงแรกที่เปิดไม่เสร็จด้วยซ้ำ

ต้องบอกเลยว่าเราไม่สามารถดูถูกถุงเอกภพเหล่านี้ได้เลยสักนิด เพราะอย่างไรแล้ว ถุงพวกนี้ก็เต็มไปด้วยมรดกที่สั่งสมมาตลอดหลายพันปีของยมโลก และถุงแต่ละใบก็สามารถบรรจุของได้มาถึง 50 กิโลกรัม ตอนที่เขาเริ่มเปิดดูครั้งแรก จุดประสงค์หลักของเขาคือแยกสิ่งที่ไม่สำคัญและหาข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตชุดเกราะ แต่หลังจากที่ดูไปกว่าสิบนาทีเต็ม เขาก็รู้สึกว่าข้อมูลที่อยู่ภายในนี้ได้ขยายมุมมองของเขาและพาเขาไปสู่อีกโลกหนึ่ง

มันเริ่มด้วยทฤษฎีและความคิดเกี่ยวกับทหารวิญญาณไปจนถึงกองกำลังวิญญาณกลุ่มแรกที่ราชินีแห่งแผ่นดินโฮ่วถู่เหนียงเหนียงได้เปลี่ยนร่างของนางเป็นกงล้อแห่งสังสารวัฏ และลงลึกถึงรายละเอียดของกระบวนการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของทหารวิญญาณ มันยังพูดถึงลักษณ์ยันต์ที่ควรวาด ทำไมพวกเขาถึงเลือกใช้อาวุธชนิดนี้ และทำไมวัสดุต่าง ๆ ถึงถูกเลือก มันน่าทึ่งมาก แต่มันก็ทำให้ฉินเย่ไม่มีเวลาว่างทำอย่างอื่นเลยเช่นกัน

ตอนนี้ผมต้องทำงานจนถึงดึกดื่นทุกคืนเพื่อที่จะดูเนื้อหาทั้งหมดในถุงเอกภพ แล้วแบบนี้ผมจะเอาเวลาไหนไปเข้าร่วมงานสังคมของคุณ ?!

แต่ก่อนที่ฉินเย่จะได้ตอบอะไรออกไป หลินฮั่นก็ยกนิ้วขึ้นมาและชี้เข้าที่หน้าของเขาเสียก่อน “อย่าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ! แค่ดูสีหน้าเหนื่อยล้าของคุณตอนนี้ก็รู้แล้วว่าคุณไปทำเรื่องไม่ดีมา ! พูดมา คราวนี้คุณไปคบกับนักเรียนหญิงคนไหนอีก ?!”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ปิดปากลงทันที

“พวกเธอแค่พยายามที่จะได้กินชานมฟรีจากนายเท่านั้น พวกเธอชอบความจริงที่ว่านายมันไม่ต่างอะไรกับสุนัขที่ซื่อสัตย์ หากนายถามฉัน พวกเราก็คงจะไม่ต่างอะไรกับเครื่องประดับในงานเท่านั้น” ซู่เฟิงเอ่ยขณะที่ดันแว่นตาของตัวเอง “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ฉันไม่ไป นอกจากนี้ ฉันจะยื่นเรื่องส่งเล่มวิทยานิพนธ์ในภาคการศึกษาหน้าด้วย ฉันจะแย่งอันดับสูงสุดมาจากฉินเย่ให้ได้… จะว่าไป หลินฮั่น พวกเราทั้งคู่ต่างก็เป็นผลผลิตของศูนย์วิจัย SRC เหมือนกัน แต่ทำไมมันถึงดูเหมือนมีช่องว่างระหว่างภาพลักษณ์ของเราทั้งคู่ถึงกว้างขนาดนี้ ?”

ฉินเย่เองก็อยากรู้เรื่องนี้เช่นกัน

ซู่เฟิงนั้นดูมีความรู้และให้ความรู้สึกของพวกหัวกะทิ แต่หลินฮั่นกลับดูตรงข้ามอย่างชัดเจน อีกฝ่ายดูเหมือนพวกที่สมควรถูกจับแยกส่วนและนำไปศึกษามากกว่า

“เอาล่ะ เอาล่ะ เลิกเถียงกันได้แล้ว ผมเองก็ไม่ไปเหมือนกัน” ฉินเย่ลุกขึ้นและเดินออกจากห้อง “แบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ ? คุณก็ได้รับโอกาสทั้งหมดที่ตัวเองปรารถนา อ่า ใช่แล้ว ผมจะต้องตามงานทั้งหมดตลอดช่วงวันหยุดฤดูร้อน เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาหาผม ผมไม่มีเวลาไปที่ไหนทั้งนั้น”

ทันทีที่เอ่ยจบเด็กหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องของหลินฉั่นและกลับเข้าห้องของตัวเอง

ไม่มีใครที่อยู่ด้านนอกเห็นว่าด้านหลังบานประตูห้องของเขานั้นมีแผ่นยันต์แปลก ๆ ติดอยู่ ทั่วทั้งห้องดูเหมือนจะสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อเขาปิดประตูลง ราวกับมันเป็นอีกมิติหนึ่งที่แยกตัวออกมาจากแดนมนุษย์ ม้วนคัมภีร์โบราณสีเหลืองม้วนหนึ่งถูกวางแน่นิ่งอยู่บนเตียงของเขา

ส่วนของคัมภีร์ที่ยังไม่ถูกคลี่ออกมามีความหนาประมาณหนึ่งเมตร และมันก็ลากลงไปที่พื้น ส่วนที่อยู่บนเตียงเต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพวาดยันต์แปลกประหลาดมากมาย อาร์ทิสนั่งอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง ดูของภายในถุงเอกภพถุงอื่น ฉินเย่สูดหายใจเข้าและถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนขณะที่หยิบม้วนกระดาษขึ้นมาและอ่านต่อจากที่ค้างไว้

“ปีที่ 178 ของยมโลก ม่อจื่อได้ประสบความสำเร็จในการค้นคว้าวิจัยอีกครั้ง และยันต์มังกรหยินหยางก็สามารถดึงพลังจากธาตุทั้งห้าของพลังฟ้าดินได้สำเร็จ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ยันต์ที่ใช้เสริมพลังให้ทหารวิญญาณก็ทรงพลังมากยิ่งขึ้น ยิ่งอุตสาหกรรมการผลิตยันต์ของเราเจริญเติบโตมากเท่าใด กองกำลังทหารของเราก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น…”

“… ปีที่ 249 ของยมโลก ทหารวิญญาณ 3 ล้านนายมุ่งหน้าไปที่เกาะชิโกกุ และทหารวิญญาณของญี่ปุ่นก็ถูกบดขยี้อย่างราบคาบในทันที ปืนใหญ่ของพวกเขาไม่สามารถทำลายค่ายกลป้องกันและทหารของเราได้ อิซานามิ เทพีแห่งความตายของโลกใต้พิภพแห่งญี่ปุ่นยอมจำนนในปีเดียวกัน หลังจากนี้ ทางตะวันออกและทางตอนเหนือของจีนถือได้ว่าเป็นอาณาเขตของยมโลก…”

“ปีที่ 399 ของยมโลก สถาบันวิจัยของยมโลกได้พัฒนาประสิทธิภาพของยันต์และขยายขอบเขตในการใช้งาน ซึ่งเป็นผลทำให้ประสิทธิภาพในการทำลายล้างของอาวุธเพิ่มสูงขึ้น ผู้บัญชาการเจียงจื่อหยาได้นำกองกำลังไปยังทะเลจีนทางใต้ ปีที่ 400 ของยมโลก ราชทูตพิเศษแห่งโลกใต้พิภพของอาณาจักรสินธุได้รับอนุญาตให้เข้ามายังยมโลก… ปีที่ 403 ของยมโลก กองกำลังของอาณาจักรสินธุได้ถูกส่งไปยังเสฉวน ในปีเดียวกันนั้น ทหารวิญญาณจำนวน 2 ล้านนายถูกส่งไปยังยอดเขาขันเต็งรี…”

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพียงข้อความชนิดเดียวที่ถูกเขียนอยู่บนม้วนคัมภีร์ เพราะหากเป็นเช่นนั้น คัมภีร์เล่มนี้คงไม่มีน้ำหนักถึงสิบปอนด์

รายละเอียดเกี่ยวกับการต่อสู้แต่ละครั้ง รวมทั้งค่ายกลของกองทัพ กลยุทธ์ ตลอดจนการใช้ชุดเกราะ อาวุธ และเครื่องมือใหม่ ๆ และผลกระทบของอาวุธที่มีพลังทำลายลางสูงที่สุด ทั้งหมดถูกเขียนไว้อย่างละเอียด อย่างน้อยที่สุด ฉินเย่ก็เห็นข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธพลังทำลายล้างสูงมากกว่าสิบชนิด รวมถึงปืนใหญ่เพลิงพลังหยิน หน้าไม้โซ่เพลิงนรก และโลงศพส่งวิญญาณ และอื่น ๆ อีกมากมาย

“ยมโลกแห่งเก่านั้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นพิเศษ” อาร์ทิสพักจากหน้าที่ของตนและเดินไปรินกาแฟให้ตนเอง “ปืนใหญ่เพลิงพลังหยินคืออาวุธทำลายล้างที่มีขนาดเล็กที่สุด และมันก็ดูไม่ต่างอะไรกับพวกปืนใหญ่ในแดนมนุษย์เลยแม้แต่น้อย แต่หน้าไม้โซ่เพลิงนรก และโลงศพส่งวิญญาณคืออาวุธที่มีขนาดประมาณ 20 – 30 เมตร นอกจากนี้พวกมันยังมีน้ำหนักมากจนวิญญาณธรรมดาไม่สามารถเคลื่อนย้ายมันไปไหนได้ มีเพียงขั้นตุลาการที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถขนย้ายมันได้ แต่น่าเสียดาย พวกตุลาการนรกส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บัญชาการกองทัพของตนเอง พวกเขาจะไม่มีทางลดเกียรติของตัวเองไปทำงานแบบนี้เด็ดขาด”

ฉินเย่หลับตาลงและปล่อยให้จินตนาการพาเขาข้ามเวลาไปยังตอนที่ยมโลกแห่งเก่ายังคงมีอำนาจเหนือดินแดนโดยรอบทั้งหมด เด็กหนุ่มพึมพำออกมาเบา ๆ “ถ้าเช่นนั้น ยมโลกใช้อะไรในการขนย้ายอาวุธเหล่านี้ ?”

“อสูรวิญญาณ” อาร์ทิสโน้มตัวลงมาและชี้ที่ม้วนกระดาษ “โดยทั่วไปแล้วอสูรวิญญาณจะปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อยมโลกขยายตัวจนมีขนาดเท่ากับเมือง จากนั้น ยิ่งยมโลกขยายใหญ่ขึ้น พละกำลังและความหลากหลายของอสูรวิญญาณก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นเจ้าลองนึกถึงความแข็งแกร่งและขนาดของอสูรวิญญาณที่จะปรากฏตัวขึ้นเมื่อยมโลกมีขนาดเท่ากับทั้งประเทศดูสิ อสูรวิญญาณบางตนสามารถเลี้ยงและนำมาเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังหลักในสนามรบได้ด้วย”

“บางทีเจ้าอาจจะมีความคิดว่าสงครามของโลกใต้พิภพนั้นต่อสู้กันเหมือนกับสงครามทั่วไปบนแดนมนุษย์ แต่ความจริงก็คือมันมีหลายมิติมากกว่านั้น การมีอยู่ของอสูรวิญญาณทำให้เราสามารถทำสงครามได้ในทุกแนว ไม่ว่าจะทางบน ทางอากาศ หรือทางทะเล พวกเรากำลังพูดถึงการปะทะกันระหว่างทหารวิญญาณนับล้านพร้อมกันในคราวเดียว นี่คือกองกำลังที่แม้แต่พระยมก็ไม่สามารถรับมือได้เป็นเวลานาน… เว้นก็แต่ แน่นอน ท่านจ้าวนรกองค์ที่สอง”

ฉินเย่พยักหน้าอย่างครุ่นคิด เขาเริ่มมองเห็นภาพของยมโลกแห่งเก่าชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

กระดองแข็งของแมลงแห่งหายนะอาจจะช่วยในการเริ่มต้นอุตสาหกรรมผลิตวัตถุหยินได้ แต่ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดหมายความว่ามันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ยั่งยืน การพัฒนาวัตถุหยินคือสิ่งจำเป็นที่ต้องลองผิดลองถูก ในำการทำการทดลองและอิงจากเอกสาร นอกจากนี้มันยังต้องทำสงครามเพื่อให้เกิดการปรับแต่งและพัฒนา ไม่เช่นนั้นต่อให้พวกเขาสามารถผลิตมันออกมาได้จำนวนมาก มันก็คงไม่ได้มีคุณภาพสูงนัก

เขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของโลกใต้พิภพอื่นในตอนนี้เท่าไหร่ แต่เมื่อดูจากแดนมนุษย์แล้ว มันคงจะไม่เป็นการพูดเกินจริงแต่อย่างใดหากจะบอกว่าโลกใต้พิภพคงไม่ต่างกันนัก

โชคดีที่ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้นัก ด้วยพิมพ์เขียวเทคโนโลยีขั้นสูงของยมโลกแห่งเก่าในมือ เขาจะไม่เป็นไรต่อให้เทคโนโลยีในยมโลกแห่งใหม่จะซบเซาไปอีกร้อยปีก็ตาม ปัญหาเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือ…

เงิน !

จัดตั้งระบบสกุลเงิน !

ใครจะทำงานให้หากไม่ยอมจ่ายเงิน ? เขาเพิ่งชวนประชากรทั้งหมดให้เก็บเงินและทำงานเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ในยมโลก ดังนั้นไม่ใช่ว่าเขาควรจะตบหน้าตัวเองหากเขาไม่จ่ายค่าแรงงานให้อีกฝ่ายหรืออย่างไร ?

อย่างไรก็ตาม งานเหล่านี้ได้ถูกมอบหมายให้กับ หวงเลี่ยงชวนไปแล้ว และทั้งหมดที่เขาทำได้ตอนนี้ก็คือรอ ฉินเย่ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการวิเคราะห์และตั้งสมมติฐาน สอบถามและอ่าน จากนั้น หนึ่งอาทิตย์ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ฉินเย่ขยี้ดวงตาที่บวมเป่งของตัวเองและวางปากกาลง นิ้วมือของเขาชาไปหมดเนื่องจากขีดเขียนมาเป็นเวลานาน

ด้านหน้าของเด็กหนุ่มมีกองเอกสารที่มีความสูงหนึ่งฟุตตั้งอยู่ ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขายุ่งจนไม่ได้ตรวจสอบมรดกของยมโลกเลยแม้แต่น้อย อุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตในยมโลกและการแจกจ่ายทรัพยากรจำเป็นจะต้องได้รับการจัดการอย่างเร่งด่วน กองเอกสารปรากฏต่อหน้าเขามากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับประกายของเปลวไฟ เขาจะเห็นรายงานพวกนี้ในทุก ๆ สามวัน และคำแนะนำมากมายจากกล่องเสนอแนะในทุก ๆ สัปดาห์ นอกจากนี้เขายังได้รับคำร้องจำนวนมากจากหน่วยงานต่าง ๆ ของยมโลก ทั้งหมดล้วนต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเอง เขายุ่งมากจนไม่มีเวลาแม้แต่ขยับตัวออกจากโต๊ะทำงานในตลอดเช้าของวันนี้เลยด้วยซ้ำ

“ข้าเคยคิดนะว่าทั้งหมดที่พวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศทำมีเพียงดูถูกคนอื่นและอวดอ้างอำนาจของตัวเองขณะที่ดื่มด่ำไปกับไวน์และของมึนเมาต่าง ๆ นา ๆ แต่ข้าเพิ่งรู้ว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น…” ฉินเย่นวดคลึงขมับของตนและเลิ่กคิ้วขึ้นถาม “ซูตงเซวี่ยเป็นอย่างไรบ้าง ? นางจัดการเรื่องโครงสร้างของรัฐบาลยังไม่เสร็จอีกหรือ ? นี่ข้าต้องตรวจสอบทุกอย่างที่นี่จริง ๆ หรือเนี่ย ?”

“อดทน” อาร์ทิสเอ่ยราวกับนางเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน “เจ้าคิดว่ามันง่ายอย่างนั้นหรือที่จะสร้างระบบราชการและกำหนดขอบเขตงานทั้งหมดขึ้นมาใหม่ ? เจ้าต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกหนึ่งสัปดาห์ ในอดีต… ตอนที่ข้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการในยมโลกครั้งแรก ข้าจำได้ว่าตัวเองยุ่งอยู่กับกองเอกสารจนไม่มีแม้แต่เวลาที่จะลุกไปจากโต๊ะทำงานเป็นเวลาเกือบเดือน”

แล้วสัญญาที่จะได้ดื่มอย่างผ่อนคลายระหว่างวันและเพลิดเพลินกับนางแบบสาวในคลับตอนกลางคืนเล่า ?

ทำไมชีวิตของเขาตอนนี้ถึงแตกต่างจากสิ่งที่จินตนาการว่ามันควรจะเป็นมากขนาดนี้ ? นี่เขากำลังทุกข์ทรมานเพราะว่ากำลังพยายามจะเป็นจ้าวนรกที่ดีอย่างนั้นเหรอ ? บางทีทางเลือกที่ดีที่สุดคงจะเป็นความล้มเหลวหรือเปล่า…

ทันใดนั้นเอง ราวกับตรวจจับได้ถึงความคิดอันสิ้นหวังของฉินเย่ อาร์ทิสนิ่งและจ้องเด็กหนุ่มเขม็ง มองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาที่แฝงด้วยจิตสังหารรุนแรง

เด็กหนุ่มที่เห็นเช่นนั้นก็กระแอมออกมาเบา ๆ และรีบหยิบเอกสารตรงหน้าตน ยอมจำนนต่อโชคชะตาของตนเอง น่าเศร้า ยิ่งเขาอ่านรายงานพวกนี้มาเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงเปลวไฟแห่งความโกรธที่ลุกโชนขึ้นในใจมากขึ้นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น รายงานในมือของเขาตอนนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับสโมสรฟุตบอลที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นลงทะเบียนกับทางประตูนรก แถมพวกเขากำลังยื่นขอสิทธิ์ในการจัดสรรที่ดินเพื่อสร้างสนามฟุตบอลห้าแห่งและสนามกีฬาที่เกี่ยวข้องอีกด้วย… ให้ตายเถอะ ! ยมโลกเพิ่งมีขนาดเท่ากับหมู่บ้านเท่านั้น แต่วิญญาณพวกนี้กลับต้องการจะสร้างสนามฟุตบอลถึงห้าสนามเนี่ยนะ ?! อีกฝ่ายอยากถูกเขาส่งไปสวรรค์มากนักหรือไ ง?!

นอกจากนี้มันยังมีกลุ่มสวัสดิการผู้สูงอายุตะวันสีชาดที่ยื่นเอกสารเพื่อก่อจัดตั้งโครงการบำเหน็จบำนาญคนชรา จะบ้าตาย ! อายุมันมีอิทธิพลกับวิญญาณตรงไหน ?! นี่วิญญาณพวกนี้กำลังท้าให้เขากำจัดมนุษยชาติหรือยังไง ?!

โชคดีที่รายงานบ้า ๆ พวกนี้ไม่ได้มีจำนวนมากนัก อันที่จริง มันยังมีเพชรน้ำงามที่ซ่อนตัวอยู่ในโคลนตมพวกนี้ด้วย

“โรงงานหนึ่งหลังจำเป็นต้องใช้พื้นที่ 1 แสนตารางเมตร… หากเราต้องจัดสรรพื้นที่ 1 ล้านตารางเมตรที่สำรองไว้เพื่อจุดประสงค์เหล่านั้น… และยังจะต้องวางตำแหน่งมันให้อยู่ห่างจากสวนจี้ชั่งระยะ 1 ด้วย…” ฉินเย่เอนหลังนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรง ราวกับกำลังจมดิ่งสู่ความสิ้นหวัง “มันมีพื้นที่ไม่พอ… ยมโลกขนาดเท่าหมู่บ้านนั้นไม่เพียงพอสำหรับตอนนี้…”

พร้อมกับถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งครั้ง เขาตัดสินใจที่จะเก็บความคิดเหล่านี้เข้าชั้นไปก่อนและตรวจดูรายงานอื่น ๆ ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์แล้ว และรายงานของ หวงเลี่ยงชวนก็ควรจะมาถึงในอีกไม่ช้า การจัดตั้งระบบการเงินคือรากฐานสำคัญของประเทศที่กำลังเติบโต และการมีอยู่ของตัวกลางการแปลกเปลี่ยนก็คือวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดที่จะสร้างแรงบรรดาลใจให้กับพลเมือง เขาได้ทำทุกอย่างเพื่อสร้างภาพรวมและกำหนดทิศทางของยมโลก รวมถึงหย่อนแครอทไว้ตรงหน้าของพลเมือง สิ่งที่เหลือในตอนนี้ก็คือการจัดตั้งระบบการเงิน และความมั่นคงของยมโลกก็จะได้รับการรับรองไปอีกสิบปี

ยัง… ยังไม่มา… ยังไม่มาอีก !! …ภายในใจของฉินเย่ในตอนนี้ลุกเป็นไฟ เขาอยากจะโทรไปที่ยมโลกและสั่งให้ระบบทั้งหมดต้องเสร็จสิ้นภายในวันพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ… ทว่าทันใดนั้นเอง ขณะที่เขากำลังจะละมือจากกองเอกสาร เขาก็ชะงักไปและอ่านหัวเอกสารที่อยู่เกือบล่างสุดในกองอีกครั้ง

หน้าปกของรายงานดังกล่าวถูกประดับด้วยเปลวไฟนรกสีเขียวหยก

“รายงานด่วน ?” แววตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายขึ้นขณะที่เขาหยิบมันขึ้นมา

ก่อนหน้านี้เขาได้สั่งเอาไว้ว่ามีเพียงสถานการณ์เร่งด่วนเท่านั้นที่รายงานพวกนี้จะได้รับอนุญาตให้เคลือบปกรายงานด้วยลูกไฟวิญญาณของผู้ส่ง เกิดอะไรขึ้น ? นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้รับรายงานด่วนพิเศษนี้…

“รายงานเกี่ยวกับการจัดตั้งระบบการเงินของยมโลก รายงานการทำงานหมายเลขหนึ่ง” ลางสังหรณ์บางอย่างผลุดขึ้นมาในใจ เขารีบพลิกไปยังหน้าสุดท้ายของรายงานทันที

ผู้ส่ง: หวงเลี่ยงชวน