บทที่ 297: วิกฤตการเงิน (1)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 297: วิกฤตการเงิน (1)

แผ่นกระดาษสีดำร่วงออกมาจากรายงานทันทีที่เขาพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย

ฉินเย่หยิบมันขึ้นมาและมองดูใกล้ ๆ วินาทีนั้นดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกาย หัวใจของเขาเริ่มเต้นเร็วขึ้น

นี่คือ… ธนบัตร

ธนบัตรสีดำ

เห็นได้ชัดว่ามันเพิ่งถูกพิมพ์ออกมา พื้นหลังของตัวธนบัตรเป็นสีดำและมีลายเส้นสีเงินวาดเป็นกรอบอยู่โดยรอบ ทางด้านซ้ายของกระดาษมีคำว่า ‘1 หยวน’ สลักเอาไว้ ในขณะที่พื้นที่ว่างทางด้านขวานั้นเป็นรูปของพระราชวังอันโอ่อ่า และตรงกลางของธนบัตรมีช่องวงกลมสีขาวที่ถูกวาดทับด้วยภาพเสมือนของจ้าวนรก

เมื่อพลิกกลับอีกด้านหนึ่งจะเห็นรูปเสมือนของฉินเย่และมีลายน้ำบาง ๆ คล้ายกับเงาของเขาอยู่ตรงกลาง

ฉินเย่พยายามฉีกธนบัตรในมือ และเขาก็พบว่ามันถูกทำขึ้นมาจากวัสดุเกรดดีและผิวสัมผัสของมันก็ไม่เลว นอกจากนี้มันยังมีแม้กระทั่งรหัสตัวเลขพิมพ์อยู่ด้านล่าง ตลอดจนรอยแหว่งทางด้านข้างขวาของธนบัตร ด้านหน้าของธนบัตรถูกเขียนด้วยคำว่า ‘สวรรค์’ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเขียนด้วยคำว่า ‘นรก’ ธนบัตรทั้งฉบับดูค่อนข้างน่าประทับใจเลยทีเดียว

นี่คือธนบัตรฉบับแรกของยมโลกแห่งใหม่ !

ข้อเท็จจริงที่ว่ารูปเหมือนของเขาปรากฏอยู่บนธนบัตรฉบับแรกของยมโลกทำให้ฉินเย่พึงพอใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้เริ่มผลิตมันในจำนวนมาก แต่นี่ก็เพียงพอที่จะขจัดความคิดทั้งหมดเกี่ยวกับสัปดาห์แห่งความยากลำบากและสร้างรอยยิ้มให้กับเขาได้ ทันใดนั้นเองเสียงของอาร์ทิสก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง “เงินหรือ ? พวกเขาเริ่มพิมพ์แล้วหรือ ?”

จากนั้นก่อนที่ฉินเย่จะได้ตอบอะไรออกไป ธนบัตรในมือของเขาก็ลอยไปสู่มือของอาร์ทิสอย่างรวดเร็ว นางตรวจสอบมันอย่างละเอียดก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ถูกทำมาอย่างประณีตมาก ครั้งนี้หวงเลี่ยงชวนทำได้ดีจริง ๆ การออกแบบของเขาดีว่าธนบัตรที่เคยใช้ยมโลกแห่งเก่ามาก แต่เจ้าจะต้องคิดทุกอย่างให้ดีเสียก่อน เพราะหลังจากดำเนินการไปแล้วเจ้าจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้อีก”

ใบหน้าของนางเคร่งขรึม “มันอาจจะเป็นไปไม่ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ แต่การปลอมแปลงจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เจ้าจะต้องพิจารณาให้รอบคอบเกี่ยวกับมาตรการในการต่อต้านการปลอมแปลง หากเป็นที่ยมโลกแห่งเก่า หัวหน้าแผนกการเงินนั้นอยู่ขั้นฝู่จวิน เขาจะทำสัญลักษณ์ลงบนธนบัตรแต่ละฉบับด้วยเศษเสี้ยวไฟวิญญาณของตัวเอง และนั่นก็หมายความว่าผู้ที่จะสามารถปลอมแปลงธนบัตรได้จะต้องอยู่ขั้นฝู่จวินเป็นอย่างต่ำ น่าเสียดายที่เราในเวลานี้ไม่สามารถใช้วิธีนั้นได้”

“ขั้นฝู่จวินคือตัวตนที่สามารถสร้างผลกระทบต่อหลายมณฑลหรือหลายนครรวมกัน และการทำสัญลักษณ์ลงบนธนบัตรล้านฉบับพร้อมกันก็เป็นเรื่องง่ายๆ ต่อให้ข้าใช้พลังทั้งหมดของตัวเอง ข้าก็คงทำไม่ได้มากกว่าแสนหรือสองแสน ซึ่งนั่นอาจจะเพียงพอกับจำนวนประชากรในยมโลกตอนนี้ แต่ทันทีที่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นข้าจะต้องยุ่งจนขยับตัวไปไหนไม่ได้แน่ ๆ และหากไม่มีผู้ใดขึ้นเป็นขั้นฝู่จวินในเวลานี้ พวกเราก็อาจจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคิดหามาตรการป้องกันใหม่…. เดียวนะ ข้ารู้ว่าสายตาแบบนั้นของเจ้ามันหมายความว่าอะไร… นี่เจ้ากำลังคิดว่าอะไรอยู่ ?!”

เสียงของอาร์ทิสเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก “เจ้าคงกำลังคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหาไม่มีผู้ใดก้าวขึ้นเป็นขั้นฝู่จวินเพราะเจ้าคิดที่จะให้ข้านั่งอยู่หน้าเครื่องพิมพ์และทำสัญลักษณ์ลงบนธนบัตรพวกนั้นตลอดเวลา !! ข้าจะบอกอะไรให้เลยนะ ไม่มีทาง ! ข้าไม่ทำ ! ต่อให้ข้าตายก็ตาม ! ฝันไปเถอะ ! ไสหัวไปซะ !”

ฉินเย่กะพริบตารัว ๆ เขายิ้มออกมาอย่างอึกอัก “จะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร ? ท่านคิดว่าข้าเป็นจ้าวนรกที่ไร้เหตุผลขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรือ… ? ฮ่า ๆๆๆ….”

“ฝันไปเถอะว่าข้าจะเชื่อท่าทางเสแสร้งของเจ้า !” อาร์ทิสส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “ข้าจะกลับไปที่ยมโลกเพื่อตรวจสอบเรื่องที่นั่น หากข้าอยู่ที่นี่ไปนานกว่านี้ ข้าก็ไม่แน่ใจเลยว่าพรุ่งนี้ยมโลกจะยังมีรัฐมนตรีและจ้าวนรกอีกหรือไม่….”

เมื่อเอ่ยจบ นางก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว

และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่ฉินเย่ปาดเหงื่อเย็น ๆ บนหน้าผากของตนเองออก บ้าไปแล้ว… ใครจะไปคิดว่าแม่นักเกมเมอร์หญิงตนนี้จะสามารถอ่านความคิดของเขาได้ในทันทีที่มันผลุดขึ้นมา… นี่เขาขอความเป็นส่วนตัวบ้างไม่ได้เลยหรือไร ?!

ดูเหมือนว่าเขาคงทำอะไรไม่ได้… เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาและหยิบรายงานของหวงเลี่ยวชวนขึ้นมาอ่านต่อ

แต่ถึงอย่างนั้น หลังจากที่ได้ไล่อ่านเนื้อหาของมันไปเป็นเวลากว่าสิบนาทีเขาก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากันยุ่ง

เกิดอะไรขึ้น ?!

การผลิตของธนบัตรนรกควรจะเป็นข่าวดีของดีที่สุด แต่มันกลับไปเป็นเช่นนั้น

“เชี่ยเอ้ย !!” เขาสบถออกมาสุดเสียง ใส่พลังของตนเข้าไปในเศษตราจ้าวนรกและหายไปจากห้องทันที

……

ย้อนกลับมาที่ประตูนรก ด้านหลังของรูปปั้นพระกษิติครรภโพธิสัตว์

เครื่องปั่นไฟหลายเครื่องส่งเสียงหึ่ง ๆ ออกมาเบา ๆ เครื่องปริ้น เครื่องพิมพ์ตัวเลข เครื่องย้อม และเครื่องมืออีกจำนวนมากถูกตั้งเรียงกันไว้อย่างเป็นระเบียบ หวงเลี่ยงชวนเดินไปมาอย่างเป็นกังวลท่ามกลางเครื่องจักรทั้งหมด ในขณะที่วิญญาณอีกหลายสิบตนยืนอยู่โดยรอบ เขาเงยหน้าขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว “ท่านฉินยังไม่กลับมาอีกอย่างนั้นหรือ ?”

น่าเสียดายที่ไม่มีใครเอ่ยตอบ เพราะคำตอบนั้นมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว หวงเลี่ยงชวนทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้านหลังของตนและคลึงหน้าผากของตนอย่างรุนแรง

“เหล่าหวง ท่านอย่าคิดมากนักเลย” ชายวัยกลางคนพยายามปลอบเขา “อย่างที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ เราไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น เพราะอย่างไรแล้ว เราเพียงสำรวจตัวเลือกโดยการลองผิดลองถูกกันไปเรื่อย ๆ ก่อนที่จะรายงานให้ท่านฉินได้ทราบเมื่อเจอปัญหา”

“แต่ตอนนี้เรากำลังเจอปัญหาจริง ๆ” หวงเลี่ยงชวนเอ่ยออกมาอย่างเดือดดาล “แล้วทีนี้จะทำอย่างไร ? เราจะผลิตธนบัตรต่อได้อย่างไร ? จะหาวัสดุมาจากที่ไหน ? เจ้าคิดว่า… ท่านฉินจะพูดว่าอย่างไรเมื่อท่านมาถึง ?”

ความกังวลพุ่งจนถึงขีดสุด เขาเริ่มเดินไปมาราวกับมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทันใดนั้นพลังหยินที่อยู่โดยรอบพลันแปรปรวน ตามมาด้วยการปรากฏตัวขึ้นของกระแสน้ำวนพลังหยินซึ่งฉินเย่ก้าวออกมา เท้าทั้งสองข้างยืนหยัดอยู่กับพื้นและรูปลักษณ์ทั้งหมดดูสง่างามเช่นเคย ด้วยพลังหยินที่ไหล่ออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ฉินเย่ตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล “หวงเลี่ยงชวน เจ้าได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องการจัดตั้งระบบการเงิน สิ่งสำคัญที่สุดในการดำเนินการทุกอย่างก็คือการมีเงินหมุนเวียนเพียงพอ แต่ตอนนี้เจ้ากลับกำลังบอกข้าว่ามันเป็นไปไม่ได้อย่างนั้นหรือ ?! แล้วตลอดที่ผ่านมาทั้งหมดเจ้ามัวแต่ทำสิ่งใดอยู่ ?!”

ครื่นนนนน !

เสียงของเด็กหนุ่มดังก้องไปทั่ว เขาใจดีมากแล้วที่ไม่ประกาศความผิดพลาดของบุคคลตรงหน้าต่อหน้าพลเมืองทั้งหมดของยมโลก แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความโกรธของเขาก็ยังมีพลังจนทำให้ประตูนรกสั่นไหวอย่างรุนแรง ชายสูงวัยสั่นเทาด้วยความกลัวและรีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที

“ข้า… คิดผิด…” ภายในหัวของเขาตื้อไปหมด คำพูดทั้งหมดที่เตรียมเอาไว้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเมื่อเผชิญหน้ากับความโกรธเกรี้ยวของฉินเย่ และเขาก็รู้ดีว่าทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้คนตรงหน้าใจเย็นลงก็คือยอมรับความจริงว่าตนนั้นไม่มีความสามารถเพียงพอ

“คิดผิด ? หากคำพูดมีน้ำหนักเพียงพอแล้วจะมีกฎหมายลงโทษไปทำไมกัน ?!” ฉินเย่กำลังโกรธเป็นอย่างมาก และเขาก็ใกล้จะเปลี่ยนไปอยู่ในสถานะยมทูตเต็มที ปลายผมของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวหยกในขณะที่ดวงตาของเขาเริ่มเปลี่ยนสี ในขณะที่หวงเลี่ยงชวน ในอีกด้านหนึ่ง เม้มปากแน่นด้วยความหวาดกลัว เม็ดเหงื่อเย็นผุดพรายขึ้นมาบนหน้าผาก เขาไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว

ทั่วทั้งประตูนรกถูกปกคลุมด้วยความเงียบในชั่วพริบตา เหล่าผู้ตรวจสอบอดีตกรรมที่นั่งอยู่ที่ด้านหน้าประตูรีบลดเสียงลง ในขณะที่พวกวิญญาณที่นั่งให้ข้อมูลอยู่ต่างมองมาที่รูปปั้นอย่างวิตก วินาทีนั้น ความเงียบที่ตึงเครียดและบีบคั้นก่อตัวขึ้น ฉินเย่ใช้เวลากว่าสิบวินาทีก่อนที่เขาจะสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ในที่สุด พลังหยินที่ไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเขาเริ่มลดลง เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกขณะที่เดินไปที่โถงเสริม “ตามมา ยืนรออะไรอยู่ ? การยืนเฉย ๆ จะทำให้งานเสร็จหรืออย่างไร ?!”

แม้ในอดีตจะเคยเป็นมหาเศรษฐีและนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่หวงเลี่ยงชวนก็รู้ดีว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้นั้นถือว่าฉินเย่เมตตาเขามากแล้ว สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือเดินตามอีกฝ่ายไปติด ๆ ลูกน้องกว่าสิบคนของเขาเองก็มองหน้ากันอย่างอึกอักก่อนจะเดินตามผู้เป็นหัวหน้าไปเช่นกัน

………

ภายในโถงเสริม ซูตงเซวี่ยรีบไล่เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ออกไปทันทีที่นางสัมผัสได้ถึงความโกรธของฉินเย่ และเปิดทางให้เด็กหนุ่มเพื่อที่จะสามารถเดินมานั่งประจำที่ของตนได้ อาร์ทิสได้นั่งรออยู่ด้านข้างก่อนแล้ว ฉินเย่นั่งลงบนที่นั่งประจำของตนและเคาะโต๊ะเบา ๆ จากนั้นเขาก็ไล่สายตามองวิญญาณทั้งหมดที่เดินตามเขาเข้ามาก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเย็นยะเยือก “พูดมา เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่”

“เจ้าเพิ่งจะมาบอกข้าว่าเรามีวัสดุไม่เพียงพอในเวลานี้ ? เหตุใดจึงไม่บอกข้าตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่ข้าลงมาที่นี่ ?! หรือว่าเจ้าจงใจรอให้ข้าประกาศออกไปก่อนว่าเราจะจัดตั้งระบบการเงินขึ้นมาแล้วถึงจะบอกข้าว่าเรามีทรัพยากรไม่เพียงพอ ?! เจ้ากำลังพยายามทำให้รัฐบาลของยมโลกกลายเป็นตัวตลกหรืออย่างไร ?!”

ยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งโมโหมากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุดเขาก็ตบโต๊ะอย่างแรงและลุกยืนขึ้น พรึ่บ ! พลังหยินระเบิดออกมาจากร่างกายของเขาอีกครั้งและฉินเย่ก็เปลี่ยนไปอยู่ในร่างยมทูตภายในชั่วพริบตา ครั้งนี้หวงเลี่ยงชวนรู้ดีว่าเขาไม่สามารถนิ่งเงียบได้อีกต่อไป ชายสูงวัยรีบคุกเข่าลงและเอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่า “ฝ่าบาท… ข้าเองก็ไม่คาดคิดเช่นกัน…”

อดทนไว้… ฉินเย่จ้องอีกฝ่ายเขม็งขณะที่พยายามสูดหายใจเข้าออกเพื่อสงบสติลงก่อนจะสามารถข่มเปลวไฟแห่งความโกรธที่ลุกโชนอยู่ภายในท้องของตัวเองได้สำเร็จ

เขาเองก็ไม่สามารถตำหนิอีกฝ่ายได้เช่นกัน เพราะอย่างไรแล้ว ชายสูงวัยก็เคยบอกแล้วว่าตนนั้นไม่มีประสบการณ์ในการจัดตั้งระบบการเงินมาก่อน นอกจากนี้ตัวเขาเองก็เริ่มสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ต้น และเขาก็รู้ดีว่ามันจะต้องเกิดปัญหาขึ้นมากมายระหว่างทาง ในฐานะของผู้ปกครองดินแดนและผู้นำ มันก็เป็นหน้าที่ของเขาเช่นกันที่จะไม่ลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาเพียงเพราะความผิดแค่ครั้งเดียว

แน่นอน หวงเลี่ยงชวนนั้นมีความสามารถ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถประสบความสำเร็จได้มากมายขนาดนั้นเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิต การจะลงโทษอีกฝ่ายเพียงเพราะความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นน่าเสียดายเกินไป

ภายในโถงเสริมนั้นเงียบจนทุกคนสามารถได้ยินเสียงลมหายใจที่รุนแรงและขาด ๆ หาย ๆ ของฉินเย่ได้อย่างชัดเจน หวงเลี่ยงชวนนั้นอึดอัดเป็นอย่างมาก เขารู้สึกเหมือนตัวเองสามารถตายได้ทุกเมื่อ หลังจากผ่านไปหนึ่งนาทีเต็ม ในที่สุดฉินเย่ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม “ลุกขึ้น นั่งซะ และบอกข้ามาว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

เขารู้สึกโมโหกับความมั่นใจในความสามารถของตัวเองจนเกินไปของหวงเลี่ยงชวนเป็นอย่างมาก เพราะอีกฝ่ายเพิ่งมารู้ทีหลังว่าสิ่งที่ตนได้รับมอบหมายมานั้นยากกว่าที่คิด แต่แม้ว่าจะโมโห สิ่งที่สมควรได้รับการแก้ไขก็ต้องได้รับการแก้ไข

ในกรณีนี้ ฉินเย่รู้ดีว่าการระบายอารมณ์อย่างไม่จำเป็นของเขาไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น

เสียงของเขาดังก้องไปทั่วห้อง ภายในใจของหวงเลี่ยงชวนนั้นรู้สึกกดดันมาตลอด ดังนั้นทันทีที่เขาสัมผัสได้ถึงความเมตตาในน้ำเสียงของฉินเย่ ร่างของชายสูงวัยก็สั่นเทาจนแทบจะล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่กล้าที่จะนั่งลงและยังคงยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกับมองผู้ใต้บังคับบัญชาของตนอย่างสื่อความหมาย

“เรื่องทั้งหมดเป็นเช่นนี้ฝ่าบาท…” ลูกน้องของหวงเลี่ยงชวนนำธนบัตรสีดำอีกใบหนึ่งออกมาและอธิบาย “ตอนนี้พวกเราสามารถผลิตธนบัตรที่ท่านเห็นอยู่นี้ออกมาได้จำนวนหนึ่ง แต่… ถึงแม้ว่าพวกมันจะดูค่อนข้างประณีตสวยงาม แต่ข้าเกรงว่าพวกมันอาจจะไม่พร้อมที่จะใช้หมุนเวียนในระบบในตอนนี้”

“เพราะเหตุใดกัน ? ข้าได้เห็นธนบัตรใหม่นี้แล้ว และข้าก็ค่อนข้างพอใจมากทีเดียว” ฉินเย่ขมวดคิ้ว

“เพราะมันไม่ทนต่อการขีดข่วนเลยสักนิด” ลูกน้องของหวงเลี่ยงชวนอธิบาย “พวกเราได้ทำการทดสอบความต้านทานในการขีดข่วนกับธนบัตรต้นแบบทันทีที่เราผลิตมันออกมา แต่เราก็พบว่ามันเกิดความเสียหายเร็วมาก และที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเขาใช้กระดาษธรรมดาในการผลิต”

“กุญแจสำคัญในการผลิตเงินก็คือการเลือกวัสดุสำหรับกระบวนการผลิต ในกรณีนี้ กระดาษที่ใช้ผลิตนั้นไม่ใช่กระดาษธรรมดาทั่วไป แต่คือส่วนผสมที่เรียกว่ากระดาษฝ้ายหรือกระดาษที่เกิดจากการผสมกันระหว่างผ้าฝ้ายและเยื่อไม้ การผลิตวัสดุเหล่านี้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยรัฐ รวมถึงส่วนผสมที่แน่นอนและวัสดุที่ใช้ด้วย หลังจากที่พวกเราได้กระดาษฝ้ายที่เหมาะสมแล้ว เราจึงจะสามารถพิมพ์ลายลงบนธนบัตรได้ และในส่วนนั้น… หมึกที่ใช้ในการพิมพ์ลายก็ไม่ใช่หมึกธรรมดาเช่นกัน แต่มันคือหมึกที่มีชื่อว่าหมึกพิมพ์พิเศษสลับสี หรือหมึกพิมพ์เปลี่ยนสี”

พร้อมกับสีหน้าที่ขมขื่น หวงเลี่ยงชวนเอ่ยต่อจากที่ลูกน้องของตนได้ค้างเอาไว้ “ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับหมึกพวกนี้มาก่อน การผลิตและการใช้หมึกเหล่านี้ถูกทางรัฐควบคุมอย่างเข้มงวดถึงขนาดที่พวกเขาส่งทหารไปคุ้มกันการขนส่ง นอกจากนี้เราได้เริ่มพิมพ์ลายพิมพ์เส้นนูน รหัส และตัดกระดาษให้เป็นรูป ตอนแรกข้าคิดว่ากระดาษและหมึกสามารถแทนที่ด้วยวัสดุธรรมดาได้ แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น…”

เขาแย้มยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและนำธนบัตรฉบับหนึ่งออกมา “นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราได้ทำการทดสอบความทนทานต่อการขีดข่วน…”

ฉินเย่มองธนบัตรตรงหน้า พื้นผิวของมันเลือนรางและมีร่องรอยเสียหายเต็มไปหมด มันดูราวกับถูกใช้งานมาหลายปีแล้ว

ทั้ง ๆ ที่มันเพิ่งถูกผลิตมาเมื่อไม่ถึงสองวันก่อนด้วยซ้ำ !!

“จากการคาดการณ์ของเรา ธนบัตรจะกลายเป็นเช่นนี้หลังจากที่ถูกเปลี่ยนมือไปร้อยครั้งเท่านั้น” หวงเลี่ยงชวนถอนหายใจ “ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ธนบัตรบนแดนมนุษย์นั้นทนทานกว่ามาก และสามารถคงอยู่ได้นานกว่าหนึ่งปีแม้ว่าจะถูกเปลี่ยนมือนับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ตาม ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจที่จะหยุดการผลิตไว้ก่อน”

ฉินเย่รับธนบัตรมาจากมือของชายสูงวัยและถูมันเบา ๆ ก่อนจะสรุปออกมาว่า “อีกนัยหนึ่งก็คือ วัสดุที่เรายังขาดอยู่ก็คือหมึกพิมพ์พิเศษสลับสีและกระดาษฝ้าย ? เช่นนั้น…”

เขาตบธนบัตรลงกับโต๊ะและกวาดสายตาไปมองผู้ใต้บังคับบัญชาของหวงเลี่ยงชวน “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าผลที่ตามมานั้นรุนแรงถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่แรก ? จะต้องรอให้เราเริ่มผลิตมันออกมาจริง ๆ ก่อนถึงจะสามารถบอกข้าได้หรืออย่างไร ? นอกจากนี้การมีอยู่ของหมึกพิมพ์พิเศษสลับสีและกระดาษฝ้ายก็น่าจะเป็นความลับของรัฐ แล้วเจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร ? เจ้าเป็นใครกันแน่ ?”