พ่อบ้านถอยออก ท่านอ๋องตวนลุกจากเตียงไปยืนมองนอกหน้าต่างสักพัก ย้อนคิดถึงท่วงท่าอันน่ารังเกียจเดียดฉันท์ของฉีเฟยอวิ๋น ตอนนี้กลับไม่ชิงชังมากลแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นรอแม่ทัพฉีกลับมาจากพระราชวังถึงจวน เมื่อสองพ่อลูกเจอกัน แม่ทัพฉีเล่าให้ฟังว่าฝ่าบาทไม่ได้ลงทัณฑ์เรื่องนี้ แค่ตรัสว่าจะหารือกันอีกในงานราชการพรุ่งนี้เช้า
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเรื่องไม่ผ่านไปเร็วขนาดนั้นหรอก ยังต้องรอดูเจตนาของฝ่าบาทต่อ ส่วนเหล่าขุนนางขั้นสูงไม่กล้าเป็นอริกับจวนอ๋องเย่
หลังพูดคุยกับแม่ทัพฉีเสร็จ ฉีเฟยอวิ๋นจึงจะกลับจวนอ๋องเย่
เมื่อเดินเข้าห้องฉีเฟยอวิ๋นนั่งเหม่อลอยอยุ่บนเตียง เดิมทีนางมีเจตนาดี คาดไม่ถึงว่าจะทำร้ายจวนอ๋องเย่ได้
ประตูเกิดเสียง จากนั้นก็ถูกผลักเข้ามา ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าก็เห็นหนานกงเย่เดินเข้ามา
“ท่านอ๋อง”
ครั้งนี้ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นด้วยความสมัครใจ พลางย่อตัวทำความเคารพ
“ไม่มีชีวิตชีวาอย่างนี้ เสียเปรียบหรือ?” หนานกงเย่เดินไปยังด้านหน้าเตียงอย่างอารมณ์เสีย พลางปลดเสื้อแล้วเริ่มถอดขึ้นมา
ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีกะจิตกะใจต่อปากต่อคำกับเขา
หนานกงเย่ถอดอาภรณ์รอฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นจึงจะกล่าวว่า “ข้าสงสารผู้ลี้ภัยพวกนั้น อยากช่วยเหลือพวกเขา แต่คาดไม่ถึงว่าเรื่องจะบานปลายใหญ่โตเพียงนี้ เรื่องนี้เกรงว่าท่านพ่อข้าเข้าวังกราบทูล ไม่ใช่วิธีคลี่คลายปัญหาแน่นอน มีคนจ้องตาเป็นมันอยู่ทั้งในวังและนอกวัง”
“ใช่ เพราะเจตนาดี ทว่าขอเพียงมีสมองก็ย่อมรู้ดี หากช่วยเหลือได้ก็ช่วยตั้งนานแล้ว คนพวกนั้นยอมหนาวตาย ยอมอดตายก็ไม่ยอมใช้สองมือประเคนชีวิตให้อยู่รอด เจ้าไปวันนี้ ไปพรุ่งนี้ แต่ไปได้ตลอดชีวิตหรือไม่ พวกเขาไม่คิดจะยืนด้วยลำแข้งตัวเอง เจ้าให้เท่าไหร่ก็เปรียบดั่ง โยนซาลาเปาหมูให้สุนัขที่ไปแล้วไปลับ ไม่หวนกลับ มันไม่มีประโยชน์อันใด” ทุกถ้อยคำของหนานกงเย่ตราตรึงใจยิ่ง ฉีเฟยอวิ๋นผงกศีรษะเห็นด้วย
“จริง” ธรรมชาติของมนุษย์เรามักจะใฝ่ต่ำเสมอ โดยเฉพาะกลุ่มที่ชินกับความยากแค้น
บางครั้ง การที่ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ใช่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสมอไป อาจเป็นเพราะมีความหมายอีกขั้นหนึ่ง
“นอนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท จะอธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจ” กล่าวจบ หนานกงเย่ก็พลิกผ้าห่มไปนอนตำแหน่งที่ฉีเฟยอวิ๋นว่างเว้นไว้ ฉีเฟยอวิ๋นถอดอาภรณ์ตัวนอก จากนั้นก็เข้าไปนอนด้านใน
นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน หนานกงเย่ตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางเข้าวัง ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มจิ้งจอกหางสั้นครึ่งค่อนวันโดยที่ไม่นั่งพักเลยสักนิด นางเดินวนไปวนมาเพื่อรอฟังข่าวคราว
ในที่สุดก็เห็นคนกลับมา นางรีบอุ้มจิ้งจอกหางสั้นเดินเข้าไปหา
“ทำไมหรือ?”
หนานกงเย่สวมใส่ชุดขุนนางสีม่วงลายมังกรโบยบินเหนือเมฆ ศีรษะสวมมงกุฎมังกรเก้าเศียรประดับด้วยไข่มุกทองคำ เมื่อเทียบกับปกติแล้ว เขาแลดูมีชีวิตชีวากว่าเยอะ
ทว่าชั่วขณะนี้ฉีเฟยอวิ๋นไร้อารมณ์จะเชยชมสิ่งเหล่านี้ สนใจเรื่องเมื่อวานมากกว่า
“ด้วยบุญญาธิการของพระชายาอ๋อง ข้าจึงได้รับงานมาหนึ่งชิ้น” สีหน้าหนานกงเย่ภาคภูมิใจ ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจเอาซะเลย
“หมายความว่าอย่างไรเพคะ?”
หนานกงเย่หลุบตามองจิ้งจอกหางสั้นแวบหนึ่ง “ไปเล่นที่อื่น”
ถึงแม้จิ้งจอกหางสั้นมีใจปกป้องฉีเฟยอวิ๋นอย่างแรงกล้า ทว่าก็ไม่กล้าขัดขืนคำสั่งหนานกงเย่ เขาพึ่งเอ่ยปาก จิ้งจอกหางสั้นก็รีบกระโดดลงจากอ้อมแขนฉีเฟยอวิ๋นทันทีทันใด ก่อนจะวิ่งไปเล่นอีกทาง
บัดนี้ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า “เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่เพคะ?”
“เรื่องผู้ลี้ภัยได้รับความใส่ใจจากฝ่าบาทแล้ว เดิมทีมีผู้ลี้ภัยเพียงร้อยกว่าชีวิต ซึ่งสำหรับแคว้นต้าเหลียง หรือกระทั่งแค่เมืองหลวงก็ไม่ถือว่าเป็นอะไร ทว่าจู่ๆก็มีผู้ลี้ภัยแห่กันรวมตัวกว่าหลายร้อยชีวิต โดยอาจถึงพันด้วยซ้ำ จึงไม่อาจละเลยได้อีกต่อไป เพราะเหล่าผู้ลี้ภัยอยู่ในเมืองหลวงไม่รู้ว่าจะทำอะไรบ้าง ยังไม่กล่าวถึงความปลอดภัยของฝ่าบาทเลย แม้แต่บรรดาท่านอ๋องหรือจวิ้นอ๋องก็ประมาทไม่ได้
ฝ่าบาทอยากจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสม จำเป็นต้องมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือ” หนานกงเย่นั่งไปพลาง อธิบายไปพลาง
ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยด้วยความสงสัย “เหตุผลนี้คืออะไร?”
หนานกงเย่จิบชาก่อน แล้วกล่าวต่อว่า “เดือนก่อนมีจวิ๋นอ๋ององค์หนึ่งสิ้นชีพและมีเงินตราหายไป สืบเรื่องนี้อย่างไรก็ไม่อาจหาคำตอบได้ ฝ่าบาทมอบหมายให้ข้ารับหน้าที่นี้ โดยให้อำนาจกับข้าเป็นกรณีพิเศษ ขอเพียงสืบความจริงเจอ ไม่ว่าจะเป็นลูกเจ้าหลานเธอของตระกูลอ๋อง หรือแม้แต่ราษฏรกับยาจกขอทาน ข้าก็สามารถประหารชีวิตก่อนแล้วค่อยกราบทูลได้”
“อย่างนี้คือคิดจะเข่นฆ่าคนใช่หรือไม่?”
“ประมาณนั้น” หนานกงเย่กล่าวเสียงเรียบ “นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว หากคลี่คลายเรื่องนี้ได้สำเร็จก็จะสามารถสยบผู้ลี้ภัยที่อยู่นอกเมืองได้ด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง “ถ้าเป็นเยี่ยงนี้ ช่างไร้เมตตาเสียจริง เพียงเพราะฝ่าบาทกังวลพระทัย จึงได้……”
ถ้อยคำต่อจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นไม่เอ่ยถึง ต้องควบคุมปากของตัวเองเสียหน่อยถึงจะดี
“แล้วท่านจะสืบคดีก่อน? หรือจะฆ่าคนก่อน?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกผิดเล็กน้อย หากปลิดชีวิตผู้คนจริงๆ คนพวกนั้นก็ต้องตายเพราะนาง
“ย่อมสืบคดีก่อนอยู่แล้ว จากนั้นก็ถือโอกาสจับพวกจองหอง สำหรับผู้ลี้ภัยนอกเมือง หากพวกเขาไม่ก่อความวุ่นวายก็ไม่จับ แต่ทำเมื่อไหร่ ข้าต้องฆ่าหนึ่งคนเพื่อข่มขวัญชีวิตนับร้อยที่เหลือแน่นอน” เพราะถึงอย่างไรเขารับภารกิจยุ่งยากนี้มา หากไม่ลากชีวิตผู้คนออกมาฆ่าเพื่อตักเตือน เรื่องนี้ก็คงจัดการยาก
หนานกงเย่ยกดวงตาหงส์มองฉีเฟยอวิ๋น “ข้าได้รับภารกิจดีๆนี้ ล้วนแล้วแต่พึ่งบารมีของพระชายาอ๋องทั้งสิ้น ข้าควรขอบคุณพระชายาอ๋องถึงจะถูก”
หนานกงเย่จงใจเน้นย้ำคำว่า ภารกิจดีๆ หากไม่ใช่เพราะนาง เขาจะเป็นท่านอ๋องที่ว่างงาน ไยต้องลำบากตรากตรำไปรับหน้าที่วุ่นวายพวกนี้ด้วย
“โชคดีที่ครั้งนี้มีท่านอ๋องช่วยเหลือ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ วันหน้าต้องตอบแทนพระคุณท่านอ๋องแน่เพคะ และจะไม่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอีกเพคะ จะได้ไม่ทำให้ท่านอ๋องเดือดร้อนอีกเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกผิดจริงแท้
หนานกงเย่ไม่รู้ว่าควรเอ่ยสิ่งใดดี ใคร่ครวญดูแล้ว จึงกล่าวว่า “่ช่างเถอะ ครั้งนี้ฝ่าบาทมอบหมายงานให้ข้าทำ คงคิดมานานแล้ว คงกลัวว่าข้าจะอยู่เฉยๆจนกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ เรื่องที่เจ้าทำ ถึงแม้จะสามารถมองได้ทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ก็ตาม แต่ก็ทำให้เขามีช่องว่างสั่งงานให้ข้าได้จริงๆ”
ฉีเฟยอวิ๋นอ้าปาก รู้สึกประหลาดใจเหลือหลาย มีเพียงเขาเท่านั้นแหละที่กล้าวิจารณ์ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันอย่างนี้
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าหนานกงเย่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามแล้ว มิฉะนั้นเขาสามารถไปจับคนนอกเมืองได้เลย
ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่มากขึ้นหนึ่งปราด
“ขอบพระทัยเพคะ”
เมื่อหนานกงเย่ยกถ้วยน้ำชาเพื่อดื่ม ได้ยินฉีเฟยอวิ๋นกล่าวขอบคุณเขา ดวงตาหงส์พลันมีประกายแสงแปลกประหลาดแวบผ่าน “พระชายาจริงใจหรือไม่?”
“จริงใจแน่นอน” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเหนื่อยจริงแท้ คนผู้นี้อย่าหยั่งเชิงเวลาพูดได้ไหม?
“การขอบคุณแบบนี้ไม่ค่อยเป็นรูปธรรม หากคืนนี้ข้าอยากร่วมหลับนอน พระชายาจะยินดีไหม?”
“เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นแล้ว ท่านไม่มีอะไรอย่างอื่นอยากพูดหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกปวดหัว คนผู้นี้ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน เป็นถึงท่านอ๋องแท้ๆ พูดไม่ทันไรก็เอ่ยแต่เรื่องขึ้นเตียง เรื่องอับอายเช่นนี้ เขาเอ่ยราวกับรับประทานอาหาร คงมีเขาคนเดียวแหละที่กล้าพูด
“ไม่ใช่ไม่มีหรอก วันนี้เข้าวังฝ่าบาทรับสั่งถึงเรื่องพระชายา” หนานกงเย่กล่าวต่อ ใบหน้าหล่อเหลาเข้มขรึม คล้ายกับเรื่องที่เขาจะพูดนั้นเป็นการเป็นงานมาก
ทว่าฉีเฟยอวิ๋นมองอย่างไรก็รู้สึกเหมือนอันธพาลไม่มีผิดเพี้ยน
“อย่างไร?” เห็นฉีเฟยอวิ๋นหน้าแดงระเรื่อ หนานกงเย่ลุกขึ้นแล้วยังไม่วายกล่าวต่อ ปูทางได้ที่แล้ว ภายในใจก็เริ่มรู้สึกหวั่นไหว
ไก่งามเพราะขน สตรีงามเพราะแต่ง ทว่ายามที่สตรีหน้าแดงก่ำก็มีทิวทัศน์ที่งดงามวิจิตรไม่เบา
ไม่ว่าที่ผ่านมาเพราะเหตุใด จึงไม่สังเกตเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็หน้าแดงเป็นด้วย
“จะอย่างไรเล่า ฝ่าบาทก็แค่ถามดู ทั้งคนนอกและฝ่าบาทล้วนรู้กันว่าข้ากับเจ้าเข้ากันไม่ได้ แค่ถามดูเฉยๆ” ฉีเฟยอวิ๋นนึกอย่างอื่นไม่ได้ ทว่าก็รู้สึกกลุ้มใจยิ่งนัก ฝ่าบาทอาจจะไม่ได้กล่าวถึง ทว่าหนานกงเย่จงใจใช้เป็นข้ออ้าง และนางต้องรับมือด้วย
นางซาบซึ้งที่ช่วยนางเรื่องในวัดเฉิงหวงนอกเมืองมาก ทว่าเขาไร้ยางอายเกินไปหรือเปล่า คิดจะแลกเปลี่ยนกับนางขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ฝ่าบาทกล่าวถึงเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ ซึ่งข้าก็กราบทูลไปแล้ว” เมื่อเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา สีหน้าหนานกงเย่พลันจริงจัง ฉุกคิดถึงเรื่องสำคัญได้ จึงไม่อาจแกล้งแหย่นางอีก
“เมื่อไหร่? ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ เรื่องสนมเป็นเรื่องเก่านี่ เอ่ยขึ้นมาอีกแล้วหรือ?
หนานกงเย่จิบชา “เมื่อวานสองสามีภรรยาท่านอ๋องตวนเข้าวัง พระชายาตวนกล่าวว่านางมีบุตรยาก จากนั้นก็เป็นฝ่ายเสนอให้ท่านอ๋องตวนมีสนมเอง และบังเอิญเปิดเผยเรื่องเจ้ามีบุตรยากด้วย”
“……”
ฉีเฟยอวิ๋นนับถือจริงๆ หลบอยู่ในจวนแล้วยังเจอลูกปีนด้วย
จวินฉูฉู่ใจจงอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าจงใจก็จงใจสิ นางไม่ใส่ใจหรอก
ฮองเฮาวางยาแล้ว หากไม่เป็นไรสิแปลก
เพียงแต่นึกถึงหนานกงเย่ต้องมีพระสนม นางก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“แต่ข้าบอกกับพวกเขาว่า ตอนนี้กำลังรักษาอย่างจริงจังอยู่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีภายในเดือนสองเดือนนี้ก็ได้”
ฉีเฟยอวิ๋นมอง “ดังนั้นท่านอยากหลับนอนกับข้าเพราะอยากได้บุตร?”
“สมองข้าไม่ได้ตื้นปานนั้น เพียงแต่ตอนนี้ไม่อยากมีสนม ข้าก็มีวิธีนี้วิธีเดียวแล้ว” หนานกงเย่เอ่ยอย่างมีเหตุมีผล
ฉีเฟยอวิ๋นประเมินหนานกงเย่ด้วยประโยคที่ว่า แก่นสารนั้นดี ทว่าเป้าหมายนั้นเลวร้าย
ถึงกระนั้นเรื่องผู้ลี้ภัยนอกเมืองถือว่าผ่านพ้นไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกโล่งอก สำหรับเรื่องอื่นก็ปล่อยวางไว้ก่อน
พักผ่อนสองวัน หนานกงเย่ก็ขึ้นม้าปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบคดีคนเสียชีวิตเดือนก่อน
เครื่องชำระล้างที่ฉีเฟยอวิ๋นตระเตรียมให้พระพันปีก็ลุล่วงแล้ว เมื่อได้รับของรางวัลจากการถวายสิ่งของให้แด่พระพันปีแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ถือโอกาสเข้าเฝ้าจักรพรรดิอวี้ตี้ด้วย
การเข้าเฝ้าครั้งนี้มีความพิเศษเล็กน้อย ฉีเฟยอวิ๋นเข้าพบจักรพรรดิอวี้ตี้ที่พระที่นั่งบำรุงฤทัย เหล่านางกำนัลทั้งหลายต่างถอยห่างออกไป เหลือเพียงพวกเขาสองคน
จักรพรรดิอวี้ตี้มองประเมินฉีเฟยอวิ๋นอย่างละเอียดลออจนใจลอย
“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอตรวจดูอาการของพระองค์นะเพคะ”
“อืม”
จักรพรรดิอวี้ตี้นั่งลง ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปอย่างกระฉับกระเฉง เมื่อจับชีพจร นางก็เปิดทักษะการรับรู้อาการ จากนั้นก็ปล่อยมือ
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นยืน พร้อมกับประสานสองมือ กล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท พระองค์หายดีแล้วเพคะ”
“เช่นนี้แสดงว่าข้าจะมีบุตรเป็นของตัวเองในไม่ช้าแล้วสินะ?” จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวเสียงเรียบเฉย
ฉีเฟยอวิ๋นเงียบชั่วครู่ “หม่อมฉันไม่กล้ายืนยันเพคะ”
“เจ้าช่างซื่อตรงนัก เจ้าว่าหากข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ฮองเฮากับพวกพระสนมเอกจะมีข่าวดีเมื่อไหร่?” จักรพรรดิอวี้ตี้มองสำรวจฉีเฟยอวิ๋น
“พูดยากเพคะ ร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกันเพคะ บางคนเร็ว บางคนช้าเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างพินิจพิจารณา
คงมีความเป็นไปได้ยากกับฮองเฮา ฮองเฮาเสวยโอสถแล้วยังให้นางกับจวินฉูฉู่ทานด้วย ทว่าหากนางทานยาแก้พิษก็มีความเป็นไปได้อยู่
เพียงแต่หลังพบเจอกันหลายหน ฉีเฟยอวิ๋นจึงรู้สุขภาพของเฉินอวิ๋นชูดี ประการแรกก็คือนางอายุมากแล้วหากตั้งครรภ์เมื่อใดก็อาจเสี่ยงถึงชีวิตได้ ประการที่สองนั้นคือ นางเคียงข้างกายจักรพรรดิอวี้ตี้มานานหลายปี เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แค่มีบุตรหรือไม่อย่างไรแล้ว
“ใช่หรือ?” จักรพรรดิอวี้ตี้ลุกเดินไปอีกด้าน ฉีเฟยอวิ๋นค่อยๆเงยหน้ามอง
ถึงแม้อายุของจักรพรรดิอวี้ตี้กับแม่ทัพฉีจะไล่เลี่ยกัน ทว่าดูแล้วจักรพรรดิอวี้ตี้อ่อนเยาว์กว่าเยอะ
“ข้าอยากมีลูกเป็นของตัวเอง มันจะลดความยุ่งยากได้มากเลย ข้ายิ่งหวังให้ฮองเฮาเป็นคนคลอดบุตรให้ข้า”
ฉีเฟยอวิ๋นชะงัก แต่ต้องให้ฮองเฮายินยอมถึงจะได้
จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสถาม “ความรักของเจ้ากับอ๋องเย่เป็นอย่างไรบ้าง ยังเหมือนเดิมหรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าถ้อยคำนี้ช่างพิสดารนัก เงียบไปหลายเพลา จึงจะตอบว่า “เหมือนเดิมเพคะ”
“อืม กลับไปเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นทูลลาออกจากพระที่นั่งบำรุงฤทัยด้วยสภาพจิตใจที่รู้สึกไม่ชอบมาพากล