หลังจากกลับไปยังจวนอ๋องเย่ ฉีเฟยอวิ๋นพึ่งเห็นหนานกงเย่ที่กลับมาจากการสืบสวน พวกเขาทานข้าวด้วยกันแล้วฉีเฟยอวิ๋นเลยถามว่า “ท่านสืบได้หรือเปล่า?”
“ยังเลย”
หนานกงเย่นั้นกลับไม่รีบไม่ร้อนหลังจากทานอาหารแล้วค่อยจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นก็ทานอาหารเแล้วเดินตามกลับไป หนานกงเย่อาบน้ำเรียบร้อยแล้วและเตรียมตัวพักผ่อน
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่านอนด้วยกันแล้วน่าจะไม่ปลอดภัย ดังนั้นควรกลับไปก่อนจะดีกว่า
ฉีเฟยอวิ๋นกลับถึงเรือนเตรียมพร้อมที่จะพักผ่อนเนื่องจากวันนี้นางก็ยุ่งมาทั้งวันแล้ว
แต่ทันทีที่นอนลงก็มีคนเคาะประตูห้อง
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังประตูแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตูอย่างจนใจ
หนานกงเย่ยืนอยู่ที่ประตูพอเห็นหน้าก็ไม่ได้เกรงใจอันใดเลย: “ตั้งแต่วันนี้ไปข้าจะพักผ่อนด้วยกันกับพระชายา”
กล่าวจบหนานกงก็เดินผ่านประตูไปยังหน้าเตียงนอนแล้วเปิดผ้าห่มออกจากนั้นก็นอนลงไป
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ต้องการโต้แย้งถึงเรื่องนี้เลยจริงๆ
หลังจากปิดประตูแล้วก็กลับไปนอน
เมื่อปิดไฟลงหนานกงเย่ถามว่า: “ในช่วงสองสามวันนี้นึกสิ่งใดได้บ้าง?”
ฉีเฟยอวิ๋นงงงวยอยู่ครู่หนึ่ง คนกำลังจะผล็อยหลับก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีก
“ไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดสายตาท่านอ๋องได้เลย”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าหนานกงเย่พูดเรื่องอะไร
“เจ้าทายาพิษไปทั่วทั้งร่างแล้วค่อยกลับไปยังจวนแม่ทัพเพื่อต้องการล่องูออกจากถ้ำ หากข้าไม่รู้ก็จะไม่ดูไร้ประโยชน์เกินไปหรอกหรือ?”
หนานกงเย่พลิกตัวแล้วโอบไปยังเอวของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นคิดจะยกยกมือขึ้นผลักเขาออก หนานกงเย่จึงได้กล่าวว่า: “แม้ว่าตอนนี้ข้าจะไม่กอดเอาไว้ พอหลับไปแล้วแล้วในเรือนก็หนาวเช่นนี้พระชายาก็เสียบเข้ามาอยู่ดี”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกผิดหวังเศร้าสร้อยเหลือคณา เหตุใดชายหนุ่มผู้นี้ถึงได้แก้ต่างเช่นนี้นะ
“งั้นท่านอย่าได้แตะต้องไปเรื่อยเปื่อย”
มือของฉีเฟยอวิ๋นค่อยๆคลายลง อันที่จริงนางก็รู้ว่าถึงแม้จะแยกจากกันตอนนี้ หลับไปแล้วก็แนบชิดเข้าไปในอ้อมแขนของหนานกงเย่อยู่ดี
ที่จริงในเรือนออกจะหนาวไปสักหน่อย เตาถ่านมีหลายเตาแต่ไกลไป ใกล้เกินไปก็กลัวไฟไหม้และสำลักควันไฟ
ผู้คนสมัยโบราณไม่ได้โง่เขลา ถูกพิษจากเขม่าควันก็ไม่ใช่จะไม่เคยพบ โดยเฉพาะเรือนขนาดใหญ่จำพวกนี้ซึ่งต้องได้รับการป้องกัน
เตาถ่านในเรือนของฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้อยู่ใกล้เตียง รวมทั้งถึงยามพลบค่ำก็มอดลงแล้วจะมีประโยชน์อันใดได้
ที่นี่ไร้ซึ่งสิ่งของที่ไห้ความร้อนตอนหลับเลยหนาวเป็นธรรมดา เทียบไม่ได้กับชั้นปูยกสูงที่หนานกงเย่โน่น
แม้ว่าฉีเฟยอวิ๋นจะไม่รู้ว่ามีไว้เพื่ออะไรและมีโต๊ะวางอยู่ด้านบนราวกับว่าเป็นที่ซึ่งหนานกงเย่ใช้ในยามว่าง
แต่เทียบกับเตียงแข็งกระด้างด้านล่างแล้วไม่รู้ว่าดีกว่าตั้งเท่าไหร่
คิดอยากลองดูอยู่
หนานกงเย่หดแขนเข้ามาแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกดึงเข้าไปแนบไว้ด้วยกัน
ลมหายใจของหนานกงเย่รดยังต้นคอของฉีเฟยอวิ๋น ลมหายใจนั้นยิ่งอยู่ยิ่งร้อน เขาไม่ได้ตอบรับว่าจะไม่แตะต้องดังนั้นมือของเขาจึงไม่ซื่อสัตย์เลยจริงๆ
แต่เรื่องสำคัญก็ไม่ได้ลืม
“ยาพิษนั้นได้ทำร้ายอีกฝ่ายแล้วหรือไม่?” หนานกงเย่กล่าวโดยแนบกายไว้กับฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นกลืนน้ำลายเฮือกหนึ่ง: “อืม”
“ยานั่นฆ่าคนได้ด้วยหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว: “ไม่ได้หรอก ข้ากลัวถูกฆ่าปิดปากเลยใช้ยาพิษที่ค่อยๆออกฤทธิ์ ในเวลาสองสามวันดูไม่ออกต้องใช้เวลาสี่ห้าวันถึงจะดูออก
ยานั้นล้างไม่ออกเมื่อสัมผัสแล้วจะซึมเข้าสู่ผิวหนัง ถึงเวลาก็จะเป็นแผลเน่า เพียงแค่วันสองวันยังสามารถทนได้ หากเป็นเวลานานก็จะมีผลถึงชีวิต ยิ่งกว่านั้นไม่ได้ตายในทันที อย่างน้อยก็ใช้เวลาเป็นสิบวันเป็นครึ่งเดือน หากมากกว่านั้นก็เป็นร้อยวัน ”
“มียาที่รุนแรงเช่นนั้นอยู่หรือ?” หนานกงเย่ลูบคลำแล้วแก้สายรัดเสื้อด้านในของฉีเฟยอวิ๋นออก ฉีเฟยอวิ๋นตกอยู่ในภวังค์อยู่บ้าง นึกถึงเรื่องที่พบเจอในวันนั้นก็หนานกงเย่ปลดเสื้อด้านในของนางออกแล้ว กว่านางจะรู้สึกตัวหนานกงเย่ได้ลุกขึ้นประกบปากของนางซะแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ทำตามอยู่แล้ว แต่คราวนี้หนานกงเย่ก็เตรียมการมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าฉีเฟยอวิ๋นจะต่อสู้ดิ้นรนอย่างไรก็ถูกหนานกงเย่จัดการได้อยู่หมัด ฉีเฟยอวิ๋นกรีดร้องออกมาหลังจากดิ้นรนอยู่หลายครั้ง
อาอวี่ซึ่งอยู่ด้านนอกตกใจจนตัวสั่น หนานกงเย่ก็ตกใจมากเช่นกัน
จากนั้นก็เห็นฉีเฟยอวิ๋นบิดตัวกลมเจ็บปวดทุรนทุรายจนไม่กล้าขยับเขยื้อน
หนานกงเย่ก็ไม่ได้ดีไปถึงไหน เขาทำเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรกตัวเขาเองก็กระสับกระส่ายมาก
เดิมทีอ่านหนังสือด้านนี้ไว้ไม่น้อยและก็เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่ในความจริงไม่ใช่เรื่องที่สามารถควบคุมได้ด้วยการเตรียมการที่มากเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการเจ็บปวดเช่นนี้ในตอนนี้ของฉีเฟยอวิ๋น
หนานกงเย่ก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนจึงรอจนกระทั่งฉีเฟยอวิ๋นดึงหนานกงเย่ครั้งหนึ่ง เขาทำลงไปอย่างเร่งรีบเลยไม่สามารถควบคุมสภาวะการณ์นี้ได้ และผลสุดท้ายก็จบลง
ฉีเฟยอวิ๋นก็งงงวยเช่นกัน ความลุกลี้ลุกลนไม่สงบนิ่งในร่างกายของนางดูเหมือนจะไม่ได้รับการบรรเทาเลยจึงงรู้สึกทรมานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่นางไม่กล้าให้หนานกงเย่แตะต้องนางอีก
ห่มผ้าไว้โดยไม่ได้ออกเสียงอันใด
หนานกงเย่สีหน้าเศร้าสลด อารมณ์ไม่ดีเลยหลับไม่ลงทั้งคืน
ทว่าฉีเฟยอวิ๋นกลับนอนหลับตั้งนานแล้ว ซบอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเย่โดยไม่อยากจากออกไป
หนานกงเย่แหงนหน้าของนางขึ้นเล็กน้อย บีบไปสองทีก็ยังไม่พอใจเลยลุกขึ้นจุดประกายจิตวิญญาณของการต่อสู้ขึ้นใหม่โดยการบีบไปยังคางของฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นลืมตาขึ้นแล้วเห็นหนานกงเย่ก็ตกใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมา หนานกงเย่กล่าวว่า: “ข้าคงต้องลองดูอีก”
“อย่า……”
ยังไม่ทันกล่าวสิ่งใดหนานกงเย่ใช้พละกำลังอย่างเต็มที่รั้งนางกลับไป
ฉีเฟยอวิ๋นดิ้นรนสองครั้งจากนั้นสิ่งของในร่างกายก็เริ่มสั่นอีกครั้งราวกับว่าจะออกมากโดยไม่สามารถควบคุมได้
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกอึดอัดจริงๆ ของสิ่งนั้นดูเหมือนจะเป็นยาเม็ดหนึ่งซึ่งกำลังแตกออกเป็นน้ำแพร่กระจายไป
ทันใดนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ลืมตาขึ้นและหอบอย่างแรง: “เป็นยาจุ้ยซินหวัน?”
“……”หนานกงเย่ก็ตกตะลึงเช่นกัน
“ท่านว่าอย่างไรนะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นกลั้นจนหน้าแดงแล้วมองดูร่างกายอย่างจริงจัง เดิมทีแค่ลองดูเท่านั้นแต่คิดไม่คิดว่าจะเจอจริงๆ
นางเจอด้วยความแปลกใจ เจ้าของร่างเดิมกับหนานกงเย่กินยาจุ้ยซินหวันในคืนสมรสคืนนั้น กลับยังคงมีเม็ดหนึ่งอยู่ภายในร่างกาย แม้จะมีเพียงเม็ดเดียวแต่ก็เพียงพอที่จะเอาชีวิตได้
ฉีเฟยอวิ๋นกัดริมฝีปากสามารถสัมผัสได้ถึงผลของยาจุ้ยซินหวันซึ่งกำลังกระจายอยู่ไปทั่วร่างกาย
นางหอบอย่างแรงซะจนหนานกงเย่มองด้วยความหวาดกลัว
“เป็นเช่นไร?”
“ยาจุ้ยซินหวันยังคงอยู่ในร่างกายข้าและเริ่มออกฤทธิ์แล้ว!” ฉีเฟยอวิ๋นกลั้นจนหน้าแดงและเหงื่อออกทั่วทั้งร่าง
หากรู้แต่แรกก็สามารถหาวิธีบรรเทาได้ แต่ตอนนี้อย่าคิดว่าจะบรรเทาลงได้เลย!
ตอนนี้หนานกงเย่เป็นยาแก้พิษของนาง
ยาจุ้ยซินหวัน?” หนานกงเย่นึกถึงสถานการณ์ในวันสมรสด้วยความงุนงง
“มีข้าอยู่ กลัวสิ่งใด?”
ฉีเฟยอวิ๋นดึงหนานกงเย่ไว้: “งั้นท่านก็เร็วเข้า!”
“อาอวี่ ไปให้ไกลหน่อย ห้ามผู้ใดเข้ามาในระยะร้อยเมตร”
อาอวี่วุ่นอยู่กับการคุ้มกันนอกสวนดอกกล้วยไม้เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดเข้าไปได้
หนานกงเย่ปลดผ้าม่านเตียงและกลับไปยังตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น
“จำข้าได้หรือไม่?” หนานกงเย่เข้าใกล้ฉีเฟยอวิ๋นก็แนบชิดใกล้ทันที ยานั้นเริ่มเกิดผลฉีเฟยอวิ๋นแทบจะไม่รู้สึกตัวแล้วนางก็พยักหน้าอันแดงราวกับเลือดหยดนั้น
“ข้าจะเบาๆหน่อย”
ฉีเฟยอวิ๋นก็จำไม่ได้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น นางตื่นขึ้นมาก็เป็นเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว
หนานกงเย่นอนอยู่ข้างกาย มือข้างหนึ่งจับข้อมือของนางไว้ พอนางขยับหนานกงเย่ก็ตื่นขึ้น
แต่ไม่ได้เข้าใกล้
ฉีเฟยอวิ๋นปวดไปทั้งร่างคิดจะพลิกตัวยังไม่ไหวเลย
ดังนั้นพวกเขาสองคนจึงไม่ลุกขึ้นพอหลับก็ถึงยามค่ำคืนของวันนั้นแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้หลับไปในครั้งนี้
แต่นางพบว่าหนานกงเย่จ้องมองนางราวกับหมาป่าผู้หิวโหยมองกระต่ายตัวอ้วนพี ไม่ขยบเขยื้อนและละสายตาไปเลยราวกับว่ากำลังคิดการณ์อันใดอยู่
หมายเหตุ
จุ้ยซินหวัน เม็ดยาที่ทำให้ร่างกายเกิดอาการรุ่มร้อนกระสับกระว่าย
ควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่