ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 223 สาวงามทั้งเจ็ด

จอมศาสตราพลิกดารา

สาวน้อยผู้นี้เป็นบุตรสาวคนเดียวของคหบดีที่ทำผิดคนหนึ่ง บิดาทำผิดกฎจักรวรรดิ ทรัพย์สมบัติถูกริบเป็นของหลวง บุตรธิดาถูกลงโทษส่งเข้าหน่วยเลี้ยงรับรอง เพราะหน้าตาไม่ธรรมดา ดังนั้นหลังจากหน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอันอบรมแล้วก็นำมาเป็นของประมูลชิ้นแรก นับเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย

ผ้าไหมที่คลุมอยู่บนหน้าถูกกระชากออก ผมดำขลับสยายลงมา สาวน้อยหวีดร้อง ลืมตาอย่างขลาดกลัว เมื่อมองเห็นภาพฝูงชนมากมายรอบๆ ก็ทั้งอับอายทั้งโมโหทันใด มือทั้งสองอยากจะปกปิดจุดสำคัญบนเรือนร่างไว้ แต่มือถูกล่ามเอาไว้ด้วยกัน ปิดตรงนั้นก็โผล่ตรงนี้ มิอาจปกปิดได้เลย จึงรู้สึกเศร้าระทมโดยพลัน

นางทำท่าจะวิ่งหนีลงจากเวที แต่หญิงรับใช้วัยกลางคนร่างกำยำสองคนจับเอาไว้ จะดิ้นหลุดได้อย่างไร?

“ไม่นะ ปล่อยข้า…ฮือๆๆ …ท่านพ่อ ท่านแม่ ช่วยหว่านเอ๋อร์ด้วย…” นางร้องไห้อย่างตื่นตระหนกและไร้ที่พึ่ง

ทว่า ท่าทางอ่อนแอไร้ที่พึ่งเช่นนี้ยิ่งทำให้นางดูน่ารักน่าทะนุถนอม กลับยิ่งกระตุ้นความใคร่ดิบเถื่อนของผู้ชายทั้งหลายโดยรอบ พวกคหบดีอ้วนพุงพลุ้ยบนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติเริ่มโหวกเหวก กระเหี้ยนกระหือรือกันแล้ว

ผู้ดำเนินการประมูลแนะนำประวัติของสาวน้อยคนนี้และกฎเกณฑ์การประมูลจบก็เอ่ยขึ้น “นักโทษหญิงสวีหว่านเอ๋อร์ อายุสิบห้า คนเมืองฉางอัน เชี่ยวชาญการขับร้องร่ายรำ เป็นสาวพรหมจรรย์ เริ่มประมูลที่ห้าพันตำลึงทอง ทุกครั้งประมูลเพิ่มไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยตำลึงทอง…เริ่มประมูลได้ ผู้ต้องการเชิญเสนอราคา”

“ห้าพันหนึ่งร้อยตำลึงทอง…”

“ห้าพันสามร้อยตำลึงทอง…”

“ห้าพันห้าร้อยตำลึงทอง…อย่าแย่งข้านะ”

บนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ เสียงตะโกนเซ็งแซ่ดังไปทั่วในพริบตา

โดยเฉพาะหนึ่งในนั้น ชายวัยกลางคนหน้าตาชั่วร้ายตะโกนได้อารมณ์ที่สุด พูดเสียงดังว่า “ทุกท่านๆ ข้าเจ้าของโรงรับจำนำต้าทง สตรีนางนี้คือลูกเพื่อนสนิทของข้า โปรดเห็นแก่หน้าข้าด้วย…” เขาเสนอราคาห้าพันเก้าร้อยตำลึงในทันที ดวงตาฉายประกายเร่าร้อน

คนข้างๆ ก่นด่าเสียงดัง “เจ้ากับบิดาของสวีหว่านเอ๋อร์เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน แต่กลับทรยศลับหลัง ทำให้ตระกูลเขาบ้านแตกสาแหรกขาด ตอนนี้ยังคิดจะครอบครองลูกสาวของเขาอีก เลวกว่าเดรัจฉานจริงๆ…”

สีหน้าของชายกลางคนหน้าตาชั่วช้าเปลี่ยนไปทันที ตะโกนว่า “นั่นมันแค่ข่าวลือ…หกพันตำลึงทอง ไม่ต้องมาแย่งกับข้าแล้ว” เขาจ้องความงามของสวีหว่านเอ๋อร์ตาเป็นมันมานาน นี่เป็นโอกาสที่หายากยิ่ง เมื่อคิดถึงความสุขสมที่ได้ย่ำยีหลานสาวลูกเพื่อนสนิทคนนี้ไว้ใต้ร่างให้สาแก่ใจ เขาก็ยิ่งตื่นเต้น

สุดท้าย ราคาก็เสนอไปถึงหกพันห้าร้อยตำลึงทอง ชายกลางคนหน้าตาชั่วช้าคนนี้นำหน้า

ผู้ประมูลคนอื่นไม่เสนอราคาอีกแล้ว

อย่างไรเสียสวีหว่านเอ๋อร์ก็ไม่ใช่นางโลมคนดัง ไม่มีชื่อเสียง อย่าเห็นว่าตอนคัดเลือกนางคณิกาอันดับหนึ่งก่อนหน้านี้ประเดี๋ยวๆ ก็ตบรางวัลหมื่นตำลึงทอง นั่นมีผลประโยชน์เกี่ยวพันอยู่ภายใน เทียบได้กับผู้สนับสนุนให้ความช่วยเหลือบนโลกประมาณนั้น คนธรรมดาอย่างสวีหว่านเอ๋อร์ประมูลได้มากกว่าหกพันตำลึงทองก็นับว่าราคาสูงแล้ว

และขั้นตอนทั้งหมดนี้ แขกผู้มีเกียรติชั้นยอดในเขตหอไม่มีฝั่งไหนเสนอราคาเลย

เห็นได้ชัดว่าสตรีตระกูลคหบดีคนนี้ไม่เข้าตาพวกเขา

ในหอหมายเลขสิบแปด

ซางกวนอวี่ถิงเอาแต่ฝืนเก็บความเห็นอกเห็นใจซึ่งเอ่อล้นขึ้นมาไว้ เห็นเด็กสาวน่าสงสารคนนี้จะตกไปอยู่ในกรงเล็บปีศาจของชายวัยกลางคนที่เหมือนเดรัจฉานคนนั้น ในที่สุดก็ทนไม่ไหว โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่สวีหว่านเอ๋อร์ประสบพบเจอคล้ายกับตน จึงอดเห็นใจไม่ได้ นางหันไปมองหลี่มู่ อยากจะพูดอะไรแต่ก็ลังเล

หลี่มู่ยิ้มเล็กน้อย แตะแขนของนาง จากนั้นหันไปมองเจิ้งฉุนเจี้ยนแวบหนึ่ง

เจิ้งฉุนเจี้ยนรู้งาน พูดอยู่ตรงหน้าของวิเศษหยกขาวที่เสียบป้ายว่า “เจ็ดพันตำลึงทอง”

……

“เจ็ดพันตำลึงทอง”

เสียงค่อนข้างแหบแห้งดังมาจากหอแขกผู้มีเกียรติที่เงียบงันมาโดยตลอด ประกาศดังฟังชัดไปถึงรอบเวทีหลักภายใต้การผลักดันจากค่ายกลเวทขยายเสียง

ในดวงตาของผู้ดำเนินการประมูลบนเวทีหลักฉายแววตกใจเช่นกัน ไม่นึกว่าเพิ่งจะเป็นจานเรียกน้ำย่อยก็ทำให้แขกผู้มีเกียรติชั้นยอดเอ่ยปากได้แล้ว นี่ช่างเหนือความคาดหมายนัก แต่ว่าเขาก็ไม่ลังเล ประกาศเสียงดัง “เขตหอ แขกผู้มีเกียรติชั้นยอดหมายเลขสิบแปดเสนอราคาเจ็ดพันตำลึงทอง…”

เขตที่นั่งแขกผู้มีเกียรติเงียบลงทันที

ชายวัยกลางคนหน้าตาชั่วร้ายคนนั้นพลันเปลี่ยนสีหน้า ใบหน้าเผยอาการดิ้นรนลังเล

เขายังเสนอราคาได้อีก แต่ปัญหาคือในสถานการณ์แบบนี้ หากเสนอราคาอีกอาจจะล่วงเกินแขกผู้มีเกียรติชั้นยอดคนหนึ่งได้ ขอแค่เป็นบุคคลที่สามารถเข้าไปในเขตหอ ถ้าไม่ร่ำรวยเงินทองก็สูงศักดิ์มาก ไม่ใช่คนที่จะเที่ยวไปล่วงเกินได้

เขามองเรือนร่างและใบหน้างดงามปนโศกของสวีหว่านเอ๋อร์บนเวทีจัดแสดง พลางคิดถึงแผนการและการเตรียมการเพื่อวันนี้ของตน ชายกลางคนหน้าตาชั่วช้าคิดแล้วคิดอีก ก่อนจะถอนหายใจอย่างผิดหวัง นั่งกลับลงไป ไม่กล้าเสนอราคาอีก

เขากลัวแล้ว

สุดท้ายก็ไม่มีใครเสนอราคาอีก

สวีหว่านเอ๋อร์ถูกหลี่มู่ประมูลไปได้ด้วยราคาเจ็ดพันตำลึงทอง

ของประมูลชิ้นแรกในค่ำคืนนี้สิ้นสุดลงเช่นนี้เอง ราคาสูงไม่ธรรมดา สำหรับหน่วยเลี้ยงรับรองแล้ว นี่เป็นการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน

การประมูลดำเนินต่อไป

……

ด้วยการฉุดกระชากลากถูของหญิงรับใช้วัยกลางคนทั้งสอง สวีหว่านเอ๋อร์ถูกพามายังนอกหอหมายเลขสิบแปด

“ท่านลูกค้า ของประมูลของท่านมาถึงแล้ว” สาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าห้องรายงานอย่างนอบน้อม

เสียงหนึ่งข้างในลอยออกมา “เอาเข้ามา”

ประตูห้องเปิดออก สวีหว่านเอ๋อร์ถูกผลักเข้าไป จากนั้นประตูก็ปิดลงอีกครั้ง

สวีหว่านเอ๋อร์ที่ตื่นกลัวอับอายและสิ้นหวังตัวสั่นเทิ้ม ร้องตกใจขณะเข้าไปด้านใน นางหวาดกลัวสุดขีด โซซัดโซเซเข้าไป ดวงตาปิดสนิท ใต้แพขนตายาวมีหยดน้ำตาไหลเป็นสาย ไม่กล้าลืมตาขึ้นสักนิด เหมือนว่าขอแค่หลับตาเอาไว้ก็จะแยกออกจากโลกใบนี้และไม่ใครถูกทำร้าย…

เคร้ง

เสียงเบาๆ ดังขึ้น

สวีหว่านเอ๋อร์พลันรู้สึกว่าข้อมือเบาโหวง โซ่คล้องมือสีเงินหายไป

นางลืมตาขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก็มองเห็นหน้ากากแมวลายอ้วนน่ารักเคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้าตัวเอง

“กรี๊ด…” นางกรีดร้องอีกครั้ง

……

การประมูลต่อมาดำเนินไปอย่างราบรื่น

ในเวลาหนึ่งชั่วยาม มีสตรีสิบคนประมูลออกไป ส่วนมากเป็นคุณหนูตกอับจากตระกูลร่ำรวย ในนั้นมีหกคนถูกผู้ประมูลลึกลับในหอแขกผู้มีเกียรติชั้นยอดหมายเลขสิบแปดประมูลไปได้ แต่ขอแค่แขกผู้มีเกียรติในเขตหอเอ่ยปาก ไม่ว่าคนในที่นั่งแขกผู้มีเกียรติทั่วไปต้องการขนาดไหน ก็ไม่กล้าเสนอราคาแข่งอีกต่อไป

ส่วนคนในหอแขกผู้มีเกียรติชั้นยอดอื่นๆ ก็ไม่ได้เอ่ยปากประมูลแข่งกับหมายเลขสิบแปด

ดังนั้นการประมูลแข่งของหมายเลขสิบแปดจึงราบรื่นเป็นอย่างมาก

และสำหรับหน่วยเลี้ยงรับรอง หอหมายเลขสิบแปดไม่ได้เอ่ยประมูลจากราคาเริ่มต้น แต่รอจนราคาสูงในระดับหนึ่งแล้วถึงจะเสนอราคา หน่วยเลี้ยงรับรองจึงยอมรับได้ทุกอย่าง ไม่มีทางขาดทุน

ที่นั่งแขกผู้มีเกียรติทั่วไป คนทั้งหลายกล้าโมโหกลับไม่กล้าพูด

พวกเขาล้วนมีเป้าหมายในระดับหนึ่งถึงได้จ่ายเงินมัดจำ ทว่ารวมสวีหว่านเอ๋อร์เข้าไปด้วย สาวงามวัยแรกแย้มเจ็ดคนถูกหอหมายเลขสิบแปดประมูลไป พวกเขาล้วนกลับไปมือเปล่า ถึงแม้จะไม่กล้าสู้ แต่คำบ่นโอดครวญนั้นขาดไม่ได้

“แขกผู้มีเกียรติหมายเลขสิบแปดเป็นใครกันแน่?”

“คนยิ่งใหญ่แบบนี้ ทำไมตะกละตะกลามนัก? ทาสสาวที่ราบทุ่งหญ้ากับภรรยาและบุตรสาวของขุนพลเจิ้นกั๋วยังไม่เริ่มออกประมูลก็เอาไปแล้วเจ็ดคน สาวงามบ้านๆ พวกนี้ก็เข้าตาคนใหญ่คนโตที่แท้จริงได้อย่างนั้นรึ?”

“คงไม่ใช่คนตำแหน่งเล็กๆ บังเอิญได้ป้ายแขกผู้มีเกียรติชั้นยอดมาแสร้งทำท่าวางโตกระมัง?”

คำวิจารณ์และคำถากถางต่างๆ ดังมาจากเขตแขกผู้มีเกียรติทั่วไป

……

สาวงามพริ้มเพราทั้งเจ็ด ร่างสวมชุดผ้าโปร่งบาง เผยเรือนกายวับๆ แวมๆ หากมองให้ละเอียด ร่างขาวเนียนงดงามแทบจะเห็นได้ทุกซอกทุกมุม พวกนางเบียดอยู่ด้วยกันทั้งเนื้อตัวสั่นเทา นัยน์ตาเผยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว กลิ่นอายพรหมจรรย์จางๆ ตลบไปทั่วห้อง

หลี่มู่นวดขมับอย่างจนปัญญา

ส่วนฮวาเสี่ยงหรงมองหลี่มู่อย่างซาบซึ้งใจ ดวงตาที่อยู่ใต้หน้ากากปีกหงส์สีทองอ่อนโยนดุจสายวารี

สตรีที่น่าสงสารเหล่านี้ แน่นอนว่าเป็นสินค้าประมูลที่หลี่มู่ให้เจิ้งฉุนเจี้ยนประมูลมาภายใต้ความเห็นอกเห็นใจเปี่ยมล้นของฮวาเสี่ยงหรง เพื่อไม่ให้นางเศร้าหมองใจ จ่ายไปประมาณหกหมื่นตำลึงทอง สำหรับฐานะของหลี่มู่ในตอนนี้เป็นแค่เศษเงินเท่านั้น

“ไปเอาเสื้อผ้ามาให้พวกนางใส่หน่อยเถอะ” หลี่มู่สั่ง สาวงามที่บอบบางน่ารักงดงามเพลินตากลุ่มหนึ่งปรากฏกายในห้อง ถึงแม้จะเป็นภาพอ่อนช้อยงามล้ำไร้ขีดจำกัด แต่พูดตามตรง หลี่มู่รับมือไม่ค่อยจะไหวจริงๆ

เจิ้งฉุนเจี้ยนรับคำแล้วไปจัดการ

สาวน้อยที่น่าสงสารทั้งเจ็ดได้ยินคำของหลี่มู่ก็อุ่นใจขึ้นเล็กน้อย ดูท่าทางเจ้านายลึกลับผู้สวมหน้ากากผีสีเงินมีรอยยิ้มประหลาดคนนี้จะไม่ใช่คนเหี้ยมโหดกักขฬะ…มาถึงในที่แบบนี้แล้ว ก็ทำได้แค่ใช้วิธีนี้มาปลอบตัวเองเท่านั้น

“ขอบคุณนายท่าน” สวีหว่านเอ๋อร์เข้ามานานที่สุด ตอนนี้สงบลงเล็กน้อยแล้ว นางหัวไวรีบเอ่ยขอบคุณ

สตรีคนอื่นๆ ถึงแม้จะหวาดกลัวเหมือนลูกเป็ดพลัดหลงกับแม่ แต่ก็รีบเลียนแบบ เอ่ยขอบคุณอย่างว่าง่าย พยายามทำตัวให้ดูเรียบร้อยเชื่อฟัง จะได้ไม่ลำบาก

มีเพียงสาวน้อยผมสั้นอายุสิบเจ็ดปี หน้าตามีความสง่างามอย่างบุรุษ โดดเด่นไม่เหมือนใคร คิ้วกระบี่ดวงตาเป็นประกาย มีความงดงามที่แตกต่างบางอย่าง ในดวงตายังคงมีประกายหวาดระแวงและเคียดแค้นวาบผ่าน นางยืนเชิดหน้าไม่พูดจาอยู่ตรงนั้น ท่าทางเศร้าสลดเหมือนทหารกล้าที่เตรียมตัวยืดคอรับความตายทุกเวลา

หลี่มู่ก็ไม่ถือสา ถอดหน้ากากออก แย้มยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าว “ไม่ต้องขอบใจข้า เป็นอวี่ถิงที่ทนให้พวกเจ้าตกอยู่ในกรงเล็บมารถ้ำปีศาจไม่ได้ ดังนั้นจึงประมูลพวกเจ้ามา หากพวกเจ้าจะขอบคุณก็ขอบคุณอวี่ถิงเถอะ นับจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าคือคนข้างกายอวี่ถิง ทุกอย่างให้ฟังคำของนาง”

“เอ๊ะ…” มีสาวน้อยคนหนึ่งส่งเสียงตกใจ

ไม่ใช่ว่านางมองฐานะที่แท้จริงของหลี่มู่ออก แต่เพราะคิดไม่ถึงว่าเจ้านายคนใหม่จะอายุน้อยขนาดนี้ คิ้วเข้ม ตาโต องอาจสง่างาม ดูแล้วมีมาดอย่างจอมยุทธ์ น่าจะไม่ใช่คนเลวอะไร

ซ่างกวนอวี่ถิงมองหลี่มู่แวบหนึ่งอย่างซาบซึ้ง จากนั้นถอดหน้ากากของตนออก ความงดงามกลบแสงผู้อื่นทันที ทั่วทั้งห้องสว่างวาบ มีสีสันราวเทพศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นมา

รูปโฉมของซ่างกวนอวี่ถิงดุจเทพเซียน แสงเทพสว่างทั่วห้อง

สตรีเหล่านั้นต่างเกิดความรู้สึกละอายตัวเองในใจอย่างอดไม่ได้ในบัดดล

หนึ่งในนั้นเหม่อไปชั่วขณะ ก่อนพลันตั้งสติได้ อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างตกใจ “ท่าน…ท่านคือแม่นางฮวา ฮวาเสี่ยงหรง?”

ซ่างกวนอวี่ถิงแย้มยิ้มเอ่ย “ฮวาเสี่ยงหรงเป็นชื่อในอดีตไปแล้ว นับจากวันนี้ไป ในโลกไม่มีฮวาเสี่ยงหรงอีก ข้าชื่อซ่างกวนอวี่ถิง น้องสาวทุกคนเรียกข้าว่าพี่ซ่างกวนได้ และก็ไม่ต้องเป็นห่วงไป ต่อแต่นี้พวกเจ้าปลอดภัยแล้ว พี่มู่ไม่ใช่คนไม่ดี ไม่มีทางบีบบังคับพวกเจ้า”

สาวงามทั้งหลายต่างพึมพำอย่างตกใจยินดี

สวีหว่านเอ๋อร์หัวไวสุด ได้ยินซ่างกวนอวี่ถิงพูดเช่นนี้ก็รู้แล้วว่านางคือฮวาเสี่ยงหรงจริงๆ นี่ก็ไม่แปลก นอกจากฮวาเสี่ยงหรงนางคณิกาอันดับหนึ่งในคืนนี้ ยังจะมีใครงามดั่งเซียนจนข่มผู้อื่นแบบนี้อีก นางตระหนักอะไรได้จึงโพล่งออกมา “เป็นแม่นางฮวาจริงๆ ด้วย…เช่นนั้น…ท่านผู้นี้…หรือจะเป็น…เซียนกวีวิถียุทธ์หลี่มู่?”

เสียงของนางสั่นเล็กน้อย ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

คราวนี้สาวงามคนอื่นๆ ก็ตั้งสติกลับมา มองไปยังหลี่มู่ด้วยสีหน้าตกใจและวาดหวัง

………………………