ตอนที่ 433 ยึดมั่นในปณิธาน ไม่สนคำวิจารณ์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 433 ยึดมั่นในปณิธาน ไม่สนคำวิจารณ์ โดย ProjectZyphon

เพียงชั่วข้ามคืน หลินสวินได้กลายเป็นคนดังที่ทุกคนในนครต้องห้ามต่างให้ความสนใจอย่างที่สุดอีกครั้ง

แม้แต่ปุถุชนคนธรรมดาก็ยังรู้ว่า เจ้าแห่งภูเขาชำระจิตในนครต้องห้ามเป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าที่ไม่ธรรมดา

เพียงแต่ข่าวลือที่สร้างความฮือฮาอย่างมากเหล่านี้ กลับพลิกผันในวันถัดมา…

“อะไรกัน หลินสวินไม่ถูกเลือกหรือ”

“ข้าว่าแล้วเชียว เขาบุ่มบ่ามก่อเรื่อง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าบีบให้หลิงเทียนโหวคุกเข่า จักรพรรดินีไม่มีทางให้โอกาสดีเช่นนี้กับเขาแน่”

“นี่ก็คือบทลงโทษ! แม้หลินสวินจะเก่งกาจ แต่นิสัยกลับยโสโอหังนัก”

“เฮ้อ น่าเสียดาย”

“เหอะๆ ข้าว่าบทลงโทษเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น เขาดุร้ายป่าเถื่อนเพียงนี้ ทั้งยังล่วงเกินคนใหญ่คนโตมากมาย ต่อไปย่อมไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขแน่”

ไม่นานเสียงพิพากษ์วิจารณ์ทำนองนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งนครต้องห้าม

ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากข่าวเดียวกัน

ลือกันว่าในงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังผ่านการประลองชั้นยอด ไป๋หลิงซี ซ่งอี้และเว่ยฉือเจ๋อต่างแสดงฝีมือได้อย่างโดดเด่น เข้าตาบุคคลชั้นยอดจากภายนอกและรับไว้เป็นศิษย์!

อีกทั้งหลังจากงานเลี้ยงเมื่อวานจบลง ทั้งสามได้ถูกพาออกจากจักรวรรดิจื่อเย่าทันที มุ่งหน้าไปฝึกปราณยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกปราณ!

นี่เป็นโอกาสทองที่พบเจอได้ยาก!

ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ในนครต้องห้ามล้วนไม่รู้ว่า ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกปราณ’ ที่ว่า ก็คือดินแดนรกร้างโบราณ

และไม่รู้ว่าคนที่พาพวกไป๋หลิงซีออกไป อันที่จริงมาจากสำนักโบราณสามแห่งที่แตกต่างกันในดินแดนรกร้างโบราณ

ทว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้กระทบกับความสนใจของพวกเขาต่อเรื่องนี้เลย!

กลับกันเพราะเรื่องนี้ดูลึกลับมาก ทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกว่า พวกของไป๋หลิงซีไม่ต่างอะไรกับปลาที่ว่ายข้ามประตูมังกร ก้าวเดียวทะยานถึงฟ้า

และเป็นเพราะข่าวลือนี้อีกเช่นกันที่ทำให้ทุกคนเพิ่งจะตระหนักได้ว่า คนที่แสดงฝีมือได้โดดเด่นที่สุดในงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีอย่างหลินสวิน กลับพลาดโอกาสทองนี้ไป!

ด้วยเหตุนี้นครต้องห้ามก็ลุกเป็นไฟ วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างดุเดือด

แทบจะทุกคนคิดว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหลินสวินยโสโอหังเกินไป ไม่เพียงแค่ทำให้ราชวงศ์โกรธ ยังทำให้จักรพรรดินีไม่พอใจด้วย จึงตัดโอกาสทองที่หลินสวินควรได้รับ

มิเช่นนั้นเพียงแค่ฝีมือของหลินสวินที่สามารถเอาชนะฉือฉางเฟิง สยบหลิงเทียนโหว มีหรือจะไม่ถูกบุคคลชั้นยอดจากภายนอกเหล่านั้นเลือก?

แบบนี้แหละที่เรียกว่าหนีกรรมที่ตนก่อไว้ไม่พ้น!

นี่คือความคิดในใจของผู้ฝึกปราณมากมาย

หลินสวินบ้าคลั่งเกินไปจริงๆ พอลองนับดูตั้งแต่เขาเข้ามาอยู่ในนครต้องห้าม ก่อนอื่นคือซัดลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฮวาและซ่งจนร่วง หลังจากนั้นก็เกือบฆ่าฮวาอู๋โยวโดยไม่พูดไม่จา

เท่านี้ยังไม่หมด ยามเข้ารับการทดสอบรับรองเป็นปรมาจารย์สลักกวิญญาณ เขาก็ทำให้ฉู่ไห่ตงผู้กล้ารุ่นเยาว์จากตระกูลนักสลักวิญญาณโกรธจนเกือบจะเป็นลม ต้องแบกรับฉายาฉาวโฉ่ว่าเป็น ‘ไอ้โง่’

จนกระทั่งตอนหลังเขาเข้าไปอยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกตก็ยังไม่รามือ ใช้ฝีมือการซ่อมกระบี่เบิกฟ้าทำให้รองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณฉู่ซานเหอหัวเสียจนลาป่วยถอยทัพไป

และเมื่อคืนในงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี เขาก็บีบให้หลิงเทียนโหวคุกเข่า ล่วงเกินราชวงศ์และทำให้จักรพรรดินีทรงกริ้ว…

เรียกได้ว่าเรื่องทั้งหมดที่หลินสวินทำ ใจกล้าบ้าบิ่นขึ้นเรื่อยๆ ดูไม่กลัวฟ้ากลัวดินอย่างที่สุด!

ยามนี้ในที่สุดเขาก็ถูกกดข่มอย่างโหดร้ายทารุณ เสียโอกาสทองชั้นดี ใครได้ยินเรื่องนี้แล้วจะไม่ทอดถอนใจบ้าง

“นับแต่วันนี้ไป หลินสวินคงไม่ได้อยู่อย่างสงบแน่”

หลายคนต่างตระหนักได้อย่างเฉียบแหลมว่า ที่หลินสวินถูกกดขี่ในครั้งนี้มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น

“ได้ยินว่าเมื่อคืนหลังจากหลินสวินกลับจากพระราชวังก็ได้ขอลากับสำนักศึกษามฤคมรกต กลับไปปิดด่านเก็บตัวยังภูเขาชำระจิต เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ตัวเขาเองยังรับรู้ได้ว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดี จึงตัดสินใจหนีปัญหา กลายเป็นเต่าหดหัวไปแล้ว”

ไม่นาน ข่าวที่หลินสวินกลับไปเก็บตัวฝึกที่ภูเขาชำระจิตก็แพร่กระจายออกมา ยิ่งเป็นการยืนยันว่าหลินสวินถูกกดดันอย่างหนัก จนไม่กล้าแผลงฤทธิ์เหมือนที่ผ่านมาอีก

“กระแสลมมักเปลี่ยนทิศได้ตลอด หลินสวินมีชื่อเสียงไวก็ถูกกดลงไว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเขาอวดดีเกินไป”

นี่คือความคิดของคนส่วนใหญ่

ก็เหมือนสุภาษิตที่บอกว่า ยิงปีนขึ้นไปสูงเท่าไหร่ ตกลงมาก็ยิ่งเจ็บหนักเท่านั้น!

……

แน่นอนว่าคนที่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงต่างรู้ว่า หลินสวินอาจจะต้องประสบปัญหาอีกมากมาย แต่ว่าคนที่กล้าท้าทายหลินสวินนั้นมีไม่มากแล้ว!

ก็เหมือนที่หลินสวินล่วงเกินผู้มีอิทธิพลมากมายขนาดนั้น ทั้งยังก่อเรื่องใหญ่โตในงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี แต่จนกระทั่งตอนนี้เขายังอยู่อย่างปลอดภัยหายห่วง เท่านี้ก็เป็นการยืนยันอ้อมๆ แล้วว่า หลินสวินไม่ใช่คนที่จะถูกสยบได้ง่ายดายขนาดนั้น!

ถ้าใครอยากฉวยโอกาสนี้รังแกหลินสวิน ย่อมเป็นการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่เหล่าผู้มีอิทธิพลที่หลินสวินเคยล่วงเกิน จนตอนนี้ยังทำอะไรเขาไม่ได้ ถ้าคนทั่วไปคิดจะไปหาเรื่องหลินสวิน ก็เหมือนกับการรนหาที่ตายไม่ใช่หรือ

เรียกได้ว่าแม้หลินสวินจะยโสโอหัง แม้จะป่าเถื่อน แต่เขามีชื่อเสียงอันโด่งดัง ไม่ใช่คนที่ผู้มีอำนาจทั่วไปสามารถหาเรื่องได้

อีกอย่างเด็กหนุ่มผู้กล้าที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดินอย่างหลินสวิน ถ้าคิดจะเหยียบย่ำเขา คงต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนว่าจะรับมือกับการแก้แค้นของเขาได้หรือไม่!

อย่างไรก็ตาม ความฮือฮาที่หลินสวินก่อขึ้นในงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี เปรียบเสมือนดาบสองคมที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ก็เป็นการทำให้ ‘ชื่อเสียงร้ายกาจ’ ของหลินสวินจารึกเข้าไปในจิตใจของผู้ฝึกปราณมากมายในนครต้องห้ามไปโดยปริยาย

……

บนภูเขาชำระจิต ตอนที่พญาแร้ง เสี่ยวเคอและหลินจงรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ ก็พอจะเข้าใจว่าเหตุใดหลังจากหลินสวินกลับจากงานฉลองพระชนมพรรษาจักรพรรดินีแล้ว จึงเลือกกลับมาเก็บตัวอย่างกะทันหัน

เพียงแต่พวกเขาไม่คิดว่านี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่หลินสวินเก็บตัวฝึก

“การปิดด่านเก็บตัวของหลินสวิน ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จักรพรรดินีเรียกพบแน่ แต่ไม่ใช่เพราะถูกกดดัน”

พญาแร้งวิเคราะห์ข้อสรุปออกมา

“บางทีเขาอาจสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ยากจะคาดเดาบางอย่าง”

เสี่ยวเคอพึมพำ

“ที่น่าชิงชังที่สุดคือ ในสำนักศึกษามฤคมรกตนั่นมีศิษย์คนหนึ่งที่ชื่อจั่วอวี้จิง พูดจาสามหาวกล่าวหาว่านายน้อยใจกล้าเทียมฟ้า กล้าท้าทายดูหมิ่นเกียรติของราชวงศ์ ถือเป็นความผิดอย่างมหันต์ ถ้ามีโอกาสได้ประลองกับนายน้อย เขาจะทำให้นายน้อยได้เจอบทเรียนอย่างสาสม”

หลินจงพูดอย่างขึ้งโกรธ “จั่วอวี้จิงคนนี้คิดจะฉวยโอกาสเหยียบหัวนายน้อย เพิ่มชื่อเสียงให้ตัวเองเห็นๆ”

“ตระกูลจั่วงั้นหรือ”

พญาแร้งเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

“ใช่ ได้ยินมาว่าคนผู้นี้ยังเป็นบุคคลชั้นยอดในสาขายุทธ์วิถีของสำนักศึกษามฤคมรกตด้วย ถูกจัดอยู่ในอันดับสามบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ มาจากตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่ว”

หลินจงพูดขึ้นอย่างรวดเร็วต่อ

“เพราะคำพูดนี้ของเขา ทำให้เกิดความฮือฮาไปทั่วทั้งสำนักศึกษามฤคมรกต ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อชื่อเสียงของนายน้อยอย่างมาก”

“ตระกูลจั่วและตระกูลฉินก็คือคนร้ายตัวหลักๆ ที่เข้ามาแย่งชิงกิจการของภูเขาชำระจิตตระกูลหลินเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ตอนนี้สามตระกูลรองของตระกูลหลินอย่างธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุเองก็หวังให้ตระกูลจั่วและตระกูลฉินลงมือ เพื่อพลิกสถานการณ์แย่งภูเขาชำระจิตกลับคืนไป” พญาแร้งพูดด้วยท่าทางสงบ “การที่จั่วอวี้จิงแห่งตระกูลจั่วทำอวดดีในสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

“แต่ว่า…”

หลินจงกล่าวเสียงถอดถอนหายใจ “ยามนี้นายน้อยเก็บตัวฝึก ก็ไม่รู้ว่าจะฝึกสำเร็จเมื่อไหร่ เราจะนิ่งดูดายโดยไม่ทำอะไรเลยจริงหรือ”

“ใช่ ไม่ทำ”

พญาแร้งระบายยิ้มบางๆ “เราควรทำอะไรก็ทำ แม้โลกภายนอกจะวุ่นวายกันเพียงใด อย่างน้อยๆ ในภูเขาชำระจิตนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถรบกวนเราได้”

พูดถึงตรงนี้ พญาแร้งพลันขมวดคิ้วพูด “แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างยุ่งยาก”

“เรื่องอันใดหรือ”

หลินจงถาม

“ศัตรูที่คิดจะเล่นงานภูเขาชำระจิตไม่น้อย บางทีพวกเขาอาจจะทำอะไรเราไม่ได้ แต่ก็สามารถไปโจมตีตระกูลหลินแห่งแสงอุดรได้”

พญาแร้งไตร่ตรองแล้วพูดขึ้น “หลินจง ข้ามีคำแนะนำหนึ่ง อยากให้เจ้าไปที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรด้วยตัวเอง เล่าสถานการณ์ทั้งหมดตอนนี้ให้พวกเขา พยายามเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาย้ายมายังภูเขาชำระจิตทั้งตระกูล”

หลินจงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ท่านพญาแร้งวางใจเถอะ เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”

“ส่วนเรื่องอื่น…”

พญาแร้งครุ่นคิดก่อนพูดต่อ “ก็คงทำได้แค่รอให้หลินสวินออกด่าน แล้วค่อยจัดการ”

……

ในขณะที่โลกภายนอกกำลังวุ่นวาย หลินสวินก็ได้เข้าสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์แล้ว

เขาปิดด่านฝึกคราวนี้ ไม่ใช่เพื่อขัดเกลาพลังปราณซะทีเดียว เพราะเขาเพิ่งเข้าบรรลุสู่ขั้นปลายแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณ ปิดด่านฝึกตนอีกก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก

แต่ห้องโถงมรรคาสวรรค์กลับแตกต่าง

หลินสวินมีคุณสมบัติเพียงพอต่อการเข้าไปท้าชิงในด่านทดสอบที่สี่ของทางเดินเมฆาหยก ตั้งแต่ตอนที่พลังปราณบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว

เพราะก่อนหน้านั้นถูกปัญหาจุกจิกต่างๆ รัดตัว ทำให้จนถึงตอนนี้หลินสวินเพิ่งจะตัดสินใจเข้าไปทดสอบ

เมื่อเทียบกับอันตรายที่มาจาก ‘เวลาห้าปี’ สำหรับหลินสวินแล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ภารกิจเร่งด่วนที่สุดตอนนี้ ก็คือการพยายามทำให้ตัวเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเท่าที่จะทำได้!

และการเข้าไปผ่านบททดสอบในห้องโถงมรรคาสวรรค์ สำหรับหลินสวินแล้วถือเป็นโอกาสทองที่ทำให้ความสามารถของเขาเปลี่ยนไปเหมือนได้เกิดใหม่เลยทีเดียว!

ภายในห้องโถงมรรคาสวรรค์ยังคงกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทางเดินเมฆาหยกทอดยาว จุดสิ้นสุดคือบานประตูมรรคาสวรรค์ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่อย่างนั้นราวกับไม่ได้เปิดมานานมากแล้ว

เมื่อยืนอยู่ตรงนี้แล้วทอดสายตามองไปรอบๆ หลินสวินก็ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ ทุกอย่างในโลกภายนอกกำลังผันเปลี่ยน แม้แต่ตัวเองก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ มีเพียงในนี้ที่เงียบสงบ กว้างสุดลูกหูลูกตา ไร้ซึ่งร่องรอยของกาลเวลามาโดยตลอด

มีกลิ่นอายอันคุ้นเคยคละคลุ้งเต็มไปหมดและวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวหลินสวิน ทันใดนั้นเสียงที่เย็นเยียบราบเรียบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางผืนฟ้าและปฐพี…

“ผู้กล้า ‘อาณาเขตเดินทาง’ ด่านที่สี่ของทางเดินเมฆาหยกนี้ เจ้ามีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ยิ่งใช้เวลาในการเผด็จศึกมากเท่าไหร่ โอกาสที่ได้รับก็จะยิ่งมาก พร้อมเริ่มทดสอบหรือไม่”

หลินสวินอึ้งงัน เงื่อนไขในการทดสอบครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงอดถามไม่ได้ว่า “ถ้าพลาดจะเป็นอย่างไร”

ครู่ต่อมาเขานึกขำ เป็นไปได้อย่างไรที่อีกฝ่ายจะตอบข้อข้องใจของตัวเอง มิเช่นนั้นคงตอบคำถามมากมายของตนตั้งแต่บททดสอบด่านแรกแล้ว

แต่สิ่งที่หลินสวินคาดไม่ถึงคือ ครั้งนี้เขาได้คำตอบแล้ว!

“ด่านนี้ไม่มีคำว่าพลาด”

เสียงอันเย็นเยียบราบเรียบนั่นยังคงไร้ซึ่งความรู้สึก

แต่สำหรับหลินสวินแล้ว การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้กลับทำให้เขาตะลึง นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามายังห้องโถงมรรคาสวรรค์จนตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เสียงลึกลับนั่นตอบคำถามของเขา ซึ่งเป็นการยืนยันอย่างไม่ต้องสงสัยว่า อีกฝ่ายมีความตระหนักรู้จริงๆ!

อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่

นี่จะใช่ดวงจิตหนึ่งที่ผู้ปกครองห้องโถงมรรคาสวรรค์แห่งนี้ทิ้งเอาไว้หรือไม่

……………….