ตอนที่ 200 ขึ้นครองราชย์

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซีกล่าวกับจิ่วเยี่ย “จิ่วเยี่ย เรื่องนี้ข้าพอจะเดาออกอยู่บ้างแล้ว หากข้ายังรับมือกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าได้ เจ้าห้ามลงมือเด็ดขาด เจ้าจงเก็บพลังเอาไว้ควบคุมคำสาปของเจ้าเถอะ หากคำสาปของเจ้าระเบิดขึ้นทำเอาเจ้าอาการกำเริบอีก ไม่แน่บางทีข้าก็ไม่อาจยับยั้งให้เจ้าได้”

จิ่วเยี่ยพยักหน้า กล่าวว่า “อืม คืนนี้เจ้าพักผ่อนให้พอเถอะ”

มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าวเช่นกันว่า “อืม พักผ่อนให้เต็มที่ วันพรุ่งนี้จะได้มีแรงรับมือกับสตรีบ้าคลั่งผู้นั้น”

……

อรุณรุ่งวันนี้  ทั่วทั้งจื่อตูเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่เพียงแต่บนถนนหนทาง  โรงน้ำชาตามข้างทางทั้งเมืองยังเต็มไปด้วยผู้คน  แม้ว่าตระกูลมู่จะมีพื้นที่มากมายในเมืองหลวง ทว่าก็ยังเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินกันขวักไขว่

อย่างไรก็ตาม เส้นทางจากจวนตระกูลมู่ไปยังแท่นบูชาพระพุทธศาสนา และเส้นทางจากพระราชวังไปยังแท่นบูชาพระพุทธศาสนานั้น ถูกเหล่าองครักษ์จัดเตรียมที่ทางให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้องค์ก่อนที่ดูแลตระกูลมู่เป็นอย่างดี  จักรพรรดินีพระนางนี้ พระองค์ดูแลตระกูลมู่เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน

รถม้าของตระกูลมู่เริ่มออกเดินทางไปยังแท่นบูชาพระพุทธศาสนา

ที่นี่เป็นแท่นบูชาพระพุทธศาสนาสำหรับกราบไหว้บูชาฟ้าดิน โดยปกติแล้วบริเวณรอบ ๆ เป็นลานที่กว้างขวางอย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คนมารวมตัวกันเนืองแน่น

บนแท่นบูชามีที่นั่งสำหรับมู่เฉียนซีโดยเฉพาะ ไม่พอ นั่นยังเป็นตำแหน่งที่นั่งที่ใกล้กับราชวงศ์ที่สุด

เมื่อซวนหยวนหลี่เทียนเห็นมู่เฉียนซีมา เขาก็รีบวิ่งไปหานางก่อนจะกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ เจ้าไม่ควรมาที่นี่ เสด็จแม่… เสด็จแม่แปลกประหลาดไปมาก”

เสด็จแม่ที่แท้จริงของซวนหยวนหลี่เทียนนั้น แท้จริงแล้วสวรรคตไปตั้งแต่เขายังเล็ก ๆ  และเขาได้รับการดูแลจากจักรพรรดินีพระองค์นี้ ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างใกล้ชิดกับจักรพรรดินีโอวหยางหว่าน ทว่าในวันนี้ ใจเขากลับรู้สึกหวาดกลัวจักรพรรดินีอยู่ลึก ๆ

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเฉยเมย “หลี่อ๋อง เจ้าเป็นห่วงตัวเองปกป้องตัวเองให้ดีเถอะ ไม่ต้องกังวลเรื่องข้าหรอก”

ซวนหยวนหลี่เทียนยิ้มเจื่อน ๆ  จริงอย่างที่นางกล่าว… ตระกูลมู่ของนางมียอดฝีมือระดับจักรพรรดิมากมาย เขาไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลใจเลยว่านางจะมีอันตรายใด ๆ

องค์หญิง องค์ชาย เหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ ตระกูลมู่ ตระกูลเยวี่ย ตระกูลเหวิน และตระกูลใหญ่ ๆ อีกหลากหลายต่างก็มากันพร้อมหน้า แม้กระทั่งสำนักตานจี้และสำนักซวนเหลย ก็ได้ส่งตัวแทนมาเช่นกัน

ทันใดนั้นใครบางคนตะโกนขึ้นมา “องค์จักรพรรดินี องค์จักรพรรดิเสด็จแล้ว”

โอวหยางหว่านในวันนี้ สวมชุดคลุมยาวสีดำปักลายมังกรสีทองอร่าม  พระองค์นั้น เมื่อสวมชุดสีดำเช่นนี้แล้วเผยให้เห็นสัดส่วนเว้าโค้งทรงเสน่ห์ที่สง่างาม อีกทั้งใบหน้าเย้ายวนนั้นของพระองค์ สามารถทำให้ผู้คนตกตะลึงในความสง่าของพระองค์ได้ไม่น้อยเลย

เกิดความคิดผุดขึ้นในใจผู้คนทันทีที่องค์จักรพรรดินีปรากฏกาย

‘สวรรค์โปรด! ไม่นึกเลยว่าองค์จักรพรรดินีจะสง่างามเช่นนี้’

‘ความงามระดับจักรพรรดิโดยแท้ ช่างเป็นความงามที่หาได้ยากนัก’

‘ความงามที่สามารถทำลายล้างแคว้นนี้ได้ อยู่ที่นี่แล้ว!’

แต่ว่า… ซวนหยวนจือในขณะนี้ เขากลับสวมชุดขันทีเดินตามหลังองค์จักรพรรดินี ดูต่ำต้อยยิ่งกว่าข้ารับใช้เสียอีก

เมื่อมู่เฉียนซีเห็นเช่นนี้ มุมปากของนางกระตุกเล็กน้อย ซวนหยวนจือกลายเป็นขันทีไปแล้วหรือนี่ โอ้! สตรีอดีตฮองเฮาผู้นี้บ้าคลั่งไม่เบาเลยทีเดียว

ในขณะที่สายตาของโอวหยางหว่านจับจ้องมองมู่เฉียนซีนั้น ท่าทีที่โหดร้ายและสายตาครอบงำผู้คนของนางพลันเปลี่ยนกลายเป็นสายตาอ่อนโยน ทว่าสายตาที่อ่อนโยนของพระองค์ ทำให้มู่เฉียนซีขนลุกขนพอง รู้สึกขยะแขยงอย่างไรก็ไม่สามารถอธิบายได้

โอวหยางหว่านเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ามู่เฉียนซี มองนางด้วยสายตาตำหนิเล็กน้อยขณะกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ ข้าส่งชุดไปให้เจ้าเจ้าไม่ชอบหรือ ? เหตุใดถึงไม่สวมชุดนั้นมา ?”

มู่เฉียนซีกล่าวตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ด้วยความเคารพท่านจักรพรรดินี ข้ารับใช้ของข้าไม่ทันระวัง พลั้งเผลอไปทำชุดเลอะ วันนี้จึงมิได้สวมมาเจ้าค่ะ ว่าแต่ชุดนี้ดูไม่งามหรือเจ้าคะ ?”

โอวหยางหว่านยิ้มพลางกล่าว “งามสิ อาภรณ์ใดที่สวมอยู่บนกายซีเอ๋อร์ย่อมต้องงดงามมากอยู่แล้ว ซีเอ๋อร์จะสวมชุดใด ข้าก็คิดว่างดงามทั้งนั้น”

ซวนหยวนหลี่เทียนที่อยู่ข้าง ๆ เห็นรอยยิ้มขององค์จักรพรรดินีที่ดูสดใสดุจดั่งบุปผาเบ่งบาน เขารู้สึกสั่นกลัวขึ้นมาเล็กน้อยไม่ทราบว่าเพราะเหตุอันใด ?

สตรีผู้นี้โหดร้ายยิ่งนัก หลังจากที่ได้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดินีไม่รู้ว่าสั่งฆ่าสังหารคนไปเท่าไหร่แล้ว ทว่าอยู่ต่อหน้ามู่เฉียนซี กลับแสดงท่าทางอ่อนหวานอ่อนโยนเป็นคนใจดี ช่างแปลกประหลาดเสียจริง

พระองค์ดีกับซีเอ๋อร์เช่นนี้ คงจะไม่คิดทำร้ายซีเอ๋อร์หรอกใช่หรือไม่ ?!

ขณะนี้ เวลาอันเป็นมงคลยิ่งใกล้จะมาถึงแล้ว  แน่นอนว่าโอวหยางหว่านจะต้องขึ้นไปบนแท่นบูชา ไปประกาศให้ใต้หล้ารู้ว่านางคือจักพรรดินีอย่างเป็นทางการ

พิธีกรรมเป็นไปด้วยความซับซ้อน มู่เฉียนซีรอไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

เมื่อพิธีกำลังจะเสร็จสิ้น ทันใดนั้นเสียงตะโกนของคนผู้หนึ่งดังลั่นขึ้น “นางสตรีปีศาจ! เจ้ากล้าทำลายล้างราชวงศ์ซวนหยวนของข้า ยึดบัลลังก์ราชวงศ์ซวนหยวน เจ้าบังอาจยิ่งนัก!”

ทันใดนั้นร่างผู้เฒ่าในชุดขาวสามท่านปรากฏตัวขึ้น ท่านผู้เฒ่าทั้งสามนี้เป็นองครักษ์เก่าแก่ของราชวงศ์ซวนหยวน หากราชวงศ์ซวนหยวนไม่ตกอยู่ในอันตรายถึงที่สุด พวกเขาไม่มีทางปรากฏตัวออกมาให้ผู้คนเห็นเช่นนี้แน่

นอกจากท่านผู้เฒ่าชุดขาวทั้งสามแล้ว ยังมีเจ้าสำนักแห่งสำนักซวนเหลย ซึ่งนำนักฆ่าติดตามมาด้วย

เจ้าสำนักซวนเหลยกล่าว น้ำเสียงแฝงอารมณ์โกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด “นางปีศาจช่างบังอาจยิ่งนัก!  เจ้าต้องหยุดการกระทำของเจ้าบัดเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นเจ้าไม่ตายดีแน่!”

รอยยิ้มอันชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของโอวหยางหว่าน “ข้าจะต้องไม่ตายดีรึ ? ข้าว่าพวกเจ้าต่างหากที่รนหาที่ตาย”

“ข้ารู้ว่าราชวงศ์ซวนหยวนเป็นหุ่นเชิดให้กับสำนักซวนเหลยของพวกเจ้า ในเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว พวกเจ้าคิดว่าข้าไม่เตรียมพร้อมมาหรืออย่างไร ?”

เจ้าสำนักซวนเหลยเบิกตากว้างตระหนกตกใจ “เป็นไปได้อย่างไร ?”

โอวหยางหว่านตอบกลับ “ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่สำนักซวนเหลยต้องจบสิ้น พวกเจ้าต้องกลายเป็นของเซ่นไหว้ในพิธีขึ้นครองราชบัลลังก์ของข้า”

“ลงมือ!”

ทันใดนั้นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิหลายคนปรากฏตัวออกมาจากมุมมืด ก่อนจะเข้าไปรุมล้อมพวกผู้เฒ่าชุดขาวกับเหล่านักฆ่าเอาไว้

สีหน้าของผู้เฒ่าชุดขาวทั้งสามและเจ้าสำนักซวนเหลยพลันเปลี่ยนไปในทันที “จะ… เจ้า เหตุใดเจ้าถึงมียอดฝีมือระดับจักรพรรดิมากมายเช่นนี้ได้ ?”

โอวหยางหว่าน “ข้าซ่อนตัวอยู่ในแคว้นจื่อเยี่ยมานานหลายปี เจ้าคิดว่าข้าปลูกฝังยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเหล่านี้ไม่ได้รึ ?   …ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าให้รอดแม้แต่คนเดียว!”

เมื่อโอวหยางหว่านรับสั่งคำสั่งนองเลือด เหล่าบรรดายอดฝีมือระดับจักรพรรดิชุดดำลงมือกวัดแกว่งกระบี่สังหารในทันที  แท่นบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ในเวลานี้เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดดูน่าหวาดกลัว

กระบวนท่าและวิชาของคนชุดดำเหล่านี้แปลกประหลาดยิ่งนัก พวกเขาใช้ยาพิษในการสังหารร่วมด้วย  คนของสำนักซวนเหลยและเหล่าผู้เฒ่าในตอนนี้นั้นอ่อนแอไปอย่างสิ้นเชิง

— ตูม!  ตูม!  ตูม! —

ภายในชั่วพริบตาเดียวพวกเขาก็ตายและบาดเจ็บกันไปมากถึงครึ่งหนึ่งแล้ว

“หนีเร็ว!”

เก็บชีวิตและกองกำลังที่เหลือเอาไว้ โอกาสหน้าตั้งตัวได้จะกลับมาเอาคืนใหม่ พวกเขาไม่สามารถทำเพื่อราชวงศ์ซวนหยวนได้อีกต่อไป  ณ เวลานี้ต้องเอาชีวิตตัวเองให้รอดเสียก่อน

โอวหยางหว่านกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาในทันที “คิดจะหนีรึ ? ไม่มีทาง!”

ร่างสีม่วงกะพริบไปดักหน้าของผู้เฒ่าทั้งสามและเจ้าสำนักซวนเหลยเอาไว้ได้ จากนั้นนางแกว่งมือเบา ๆ…

— ตูม!  ตูม!  ตูม! —

ในที่สุดร่างทั้งสี่ก็ล้มลงไปกับพื้น ริมฝีปากของทั้งสี่พลันกลายเป็นสีดำ สิ้นลมหายใจในฉับพลัน

มู่เฉียนซีคิดในใจ ‘ความแข็งแกร่งของสตรีบ้าคลั่งผู้นี้น่าจะเป็นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสี่หรือระดับห้าเป็นแน่แท้ นางถึงได้บดขยี้สิ้นซากเช่นนี้ ยากที่จะต่อกรกับนางโดยแท้’

เมื่อทุกคนเห็นจักรพรรดินี ต่างก็เหงื่อไหลตาม ๆ กัน  สตรีผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก อีกทั้งนางยังทรงพลังเหลือเกิน!

ในที่สุด สำนักซวนเหลยเหลือเพียงชื่อ  ผู้เฒ่าที่เป็นองครักษ์ของราชวงศ์ซวนหยวนทั้งสามถูกสังหารลงในพิธีขึ้นครองราชบัลลังก์นี้

โอวหยางหว่านกล่าว “ใต้หล้านี้ผู้แข็งแกร่งคือข้า สตรีก็เป็นผู้ครองแผ่นดินได้  เอาล่ะ มีใครในที่นี้มีความเห็นอื่นหรือไม่ ? หากมีก้าวออกมา”

ทุกคนต่างเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก จักรพรรดินีแข็งแกร่งเกินไป แม้แต่เจ้าสำนักซวนเหลยและเหล่าผู้เฒ่าทั้งสามยังสิ้นลมหายใจด้วยน้ำมือของนาง หากมีใครไปยั่วยุให้นางไม่พอใจละก็ นั่นเท่ากับรนหาที่ตาย

โอวหยางหว่านหันหลังกลับอย่างสง่างามก่อนจะกล่าวว่า “ในเมื่อไม่มีใครมีความเห็น เช่นนั้นเริ่มพิธีต่อได้”

หลังจากพิธีขึ้นครองราชบัลลังก์เสร็จสิ้น โอวหยางหว่านกล่าวว่า “เรื่องที่น่ายินดีในวันนี้ นอกจากจะเป็นเรื่องที่ข้าได้ขึ้นครองราชย์แล้ว  มีอีกเรื่องที่จะประกาศให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน”

.