ทุกคนล้วนแต่รู้อยู่แล้วว่าอีกเรื่องหนึ่งที่ว่า ก็คือเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาท
เมื่อมองไปที่เหล่าเชื้อพระวงศ์และองค์ชาย นอกจากซวนหยวนหลี่เทียนก็ไม่มีผู้ใดโดดเด่นเลย มิหนำซ้ำองค์ชายพระองค์อื่นยังคงเป็นผู้หลบหนีความผิดอยู่
โอวหยางหว่านเปล่งเสียงดังก้อง นางประกาศออกมาว่า… “ราชสำนักขอประกาศให้รู้ถ้วนทั่วกันบัดเดี๋ยวนี้ว่า… ผู้ที่จะสืบทอดบัลลังก์คนต่อไปนั่นก็คือ มู่เฉียนซีแห่งตระกูลมู่”
เสียงที่ดังก้องของนาง ราวกับเสียงสายฟ้าฟาดลงกลางเส้นประสาทรับความรู้สึกของทุกผู้คน พวกเขาตกใจไปตาม ๆ กัน ในขณะนั้นมีคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน “เป็นไปได้อย่างไร ? เป็นท่านผู้นำตระกูลมู่ได้อย่างไรกัน ?”
“ต้องเป็นเรื่องสับสนเป็นแน่ เหตุใดถึงเป็นท่านผู้นำตระกูลมู่ ?”
“ใช่…”
เดิมทีที่ซวนหยวนจือสละราชบัลลังก์ให้กับฮองเฮาก็ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดอยู่แล้ว ใครเล่าจะคิดว่าองค์จักรพรรดินีที่เพิ่งขึ้นครองราชย์กลับมาประกาศว่าองค์รัชทายาทคือมู่เฉียนซีแห่งตระกูลมู่
หรือว่าพวกนาง…?
สตรีทั้งสองนางนี้ แน่นอนว่าเป็นสตรีผู้แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นจื่อเยี่ย
ทว่าผู้นำตระกูลมู่ นางไม่เหมือนกับองค์จักรพรรดินี องค์จักรพรรดินีมีกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวอย่างยิ่ง ในขณะที่ผู้นำตระกูลมู่ ถึงแม้ว่านางจะเป็นสตรีที่ชอบทำตัวตามอำเภอใจ แต่นางก็มิใช่คนไร้เหตุไร้ผล นางไม่ทำอะไรใครก่อนตราบใดที่ไม่ไปยั่วยุนาง
จักรพรรดินีโอวหยางหว่านกล่าว “ทุกคนอาจจะสงสัยว่าเหตุใดข้าถึงให้มู่เฉียนซีเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรต่อจากข้า นั่นก็เป็นเพราะว่าซีเอ๋อร์เป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของข้ากับเฟิงอวิ๋น”
เวลานี้ดวงตาโอวหยางหว่านพร่ามัว ราวกับว่าตกอยู่ในห้วงภาพลวงตาที่พระองค์สร้างขึ้นมาเอง
“โอ้สวรรค์โปรดช่วยบอกด้วย! เป็นไปได้อย่างไรกันนี่ ?!”
“เป็นไปไม่ได้!”
“ไม่…”
ความตระหนกตกตื่นแล่นเข้าครอบงำจิตใจผู้คนทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่จักรพรรดินีกล่าว ทว่าซวนหยวนจือที่เป็นเหมือนขันทีในเวลานี้ เขาไม่โกรธแต่อย่างใด กลับมีรอยยิ้มอย่างเบิกบานใจราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผู้ใดจะทนก็ทนไป หากแต่มีคนหนึ่งที่ไม่อาจทนได้อีกต่อไปแล้ว ทันใดนั้นเสียงเย็นชากล่าวขึ้นอย่างรุ่มร้อน “โอวหยางหว่าน ท่านอย่าได้พูดจาส่งเดช! ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับท่าน!”
ร่างสตรีชุดม่วงยืนขึ้นบนขั้นบันไดแท่นบูชา นางจ้องมองไปที่จักรพรรดินีชุดดำด้วยสายตาอาบยาพิษ ขณะนั้นทั้งสองก็ได้สบตากัน ในที่สุดสตรีผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งแคว้นจื่อเยี่ยก็ได้เผชิญกันซึ่ง ๆ หน้า
โอวหยางหว่านกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ซีเอ๋อร์ อย่าก่อเรื่องสิ เรื่องราวเหล่านี้ข้ามิได้ตั้งใจจะปิดบัง วันนี้ฐานะที่แท้จริงของเจ้าได้เปิดเผยขึ้นแล้ว ข้าจะชดเชยให้เจ้าเอง”
มู่เฉียนซีใบหน้าบึ้งตึง น้ำเสียงเย็นชาเปล่งออกมา “อย่าทำให้ข้ารังเกียจมากไปกว่านี้เลย ท่านแม่ของข้าไม่ใช่ท่านเด็ดขาด ท่านแม่ของข้าเป็นคนที่ท่านพ่อของข้ารักสุดหัวใจ แต่ท่าน ท่านพ่อของข้าไม่เคยเห็นหน้าท่านเสียด้วยซ้ำไป”
คำพูดนี้ของมู่เฉียนซีจี้จุดเจ็บที่สุดของโอวหยางหว่าน ใบหน้าของพระองค์พลันดุร้ายทันที กล่าวอย่างโหดร้ายว่า “ซีเอ๋อร์ ขึ้นมานี่และทำตัวเป็นบุตรสาวของข้าแต่โดยดี เราจะรอเฟิงอวิ๋นกลับมาด้วยกัน”
“ข้าจะปกครองแคว้นจื่อเยี่ยและจะกลืนกินแคว้นอื่น ๆ ทั้งหมด ข้าจะเป็นจักรพรรดินีคนแรกของเซี่ยโจว เมื่อเฟิงอวิ๋นกลับมาเขาจะได้รู้ เขาจะเข้าใจเรา และครอบครัวของเราสามคนก็จะกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข” องค์จักรพรรดินีกล่าวด้วยใบหน้าที่มีความสุขอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซี “ท่านหย่าแม้แต่จะคิด หากท่านพ่อของข้ากลับมา ท่านพ่อจะต้องพาท่านแม่ข้ากลับมาด้วย และพวกเราสามคนก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ส่วนท่านเป็นเพียงแค่ทางผ่านท่านไม่รู้ตัวรึ ? ความรักลม ๆ แล้ง ๆ ของท่านมันไม่มีความหมายและไม่มีประโยชน์ ต่อให้ท่านบ้าคลั่งเพียงใดก็ไร้ประโยชน์”
“เป็นไปไม่ได้! ไม่จริง! เฟิงอวิ๋นรักข้า รักข้าเพียงคนเดียว เป็นเพราะเขาไม่เคยเห็นหน้าข้าอย่างไรเล่า เขาจึงยังไม่รักข้า”
“แต่… แต่หากเขาเห็นข้า มองตาข้า เขาต้องรักข้าอย่างสุดหัวใจเป็นแน่ ข้ารักเขามากมายเช่นนี้ เขาจะต้องรักข้า”
“สตรีผู้นั้นมีอะไรดีกว่าข้ารึ ? มันมีดีตรงไหนกัน ? เหอะ! ข้ามีดีกว่ามันเป็นพันเท่า!”
มู่เฉียนซีกล่าวเยาะเย้ย “ท่านหยุดหลอกตัวเองได้แล้ว ท่านแม่ของข้าดีกว่าท่านเป็นหมื่น ๆ เท่า ท่านไม่มีทางเทียบกับท่านแม่ข้าได้ ไม่มีทาง!”
“อ๊าาาา!” โอวหยางหว่านกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งราวกับคนสติแตก “ซีเอ๋อร์ ข้าให้โอกาสเจ้ามาหลายครั้งหลายครา แต่เจ้าไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย เพราะฉะนั้นข้าจะไม่สุภาพกับเจ้าแล้ว”
เมื่อโอวหยางหว่านกล่าวจบ แท่นบูชานั้นพังทลายลงมาอย่างสมบูรณ์
มู่เฉียนซีตะโกนขึ้นทันที “ถอย! ถอยเร็วเข้า!”
— ครืน! —
แท่นบูชารวมไปถึงบริเวณรอบ ๆ พังทลายลง เกิดพลังอันมหาศาลอย่างน่าหวาดกลัว ทุกคนต่างก็รีบวิ่งหนีเอาตัวรอด เสียงกรีดร้องฟังดูน่ากลัวดังขึ้นรอบ ๆ อย่างต่อเนื่อง
“เกิดอะไรขึ้น ?”
“ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”
— ตูม! —
เสียงดังสนั่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อทุกแท่นบูชาและบริเวณรอบ ๆ จมลงไปใต้ดินเสียงจึงค่อยหยุดลง ผู้เคราะห์ร้ายบางคนตกลงไปในหลุมดำใต้ดินอย่างช้า ๆ ขณะเดียวกันนั้น จักรพรรดินีเริ่มปล่อยพลังจิตสังหารที่น่าหวาดกลัวออกมาแล้ว อีกทั้งยังดึงร่างซวนหยวนจือลอยขึ้นในอากาศ
— ปัง! —
นางเหวี่ยงร่างซวนหยวนจือลงพื้นดินอย่างรุนแรง ทุกคนเห็นภาพน่ากลัวต่างก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่อยากจะเชื่อเลย!
นางเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่รู้ผิดอันใด “ฮ่า ๆ ๆ! ซีเอ๋อร์… พวกเจ้า พวกเจ้าทุกคนจะต้องกลายเป็นหุ่นเชิดของข้าในใต้หล้านี้”
“แค่แคว้นจื่อเยี่ยแคว้นเล็ก ๆ จะไปเพียงพออะไร ? ข้าต้องเป็นที่หนึ่งในแผ่นดินเซี่ยโจว เมื่อถึงตอนนั้นแล้วเฟิงอวิ๋นก็จะรู้ว่าข้ามีดีกว่านางสตรีผู้นั้น”
— ตูม! —
ทันใดนั้นใต้พื้นดินมีการเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือสัตว์ประหลาดสีดำตัวใหญ่ มันพุ่งขึ้นมาจากใต้พื้นดิน สัตว์ประหลาดตัวนี้คือแมลงตัวใหญ่สีดำเปลือกเป็นมันเงา มันมีดวงตานับไม่ถ้วนที่จ้องมองทุกคนด้วยสายตาตะกละตะกลาม
“อาหารข้า นั่นก็อาหารข้า พวกเจ้าทั้งหมดล้วนแต่เป็นอาหารของข้า! มา… มาให้ข้าเขมือบเสียดี ๆ”
โอวหยางหว่านตะโกนสั่ง “ราชาไป๋กู่ ปล่อยสมุนของเจ้าออกมากัดกร่อนพวกมันเสีย!”
หลังจากที่โอวหยางหว่านสั่งการ ทันใดนั้นแมลงสีดำปรากฏขึ้นยั้วเยี้ยในอากาศ แมลงกู่เหล่านี้ เมื่อใดที่พวกมันเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ เมื่อนั้นมนุษย์ผู้นั้นจะต้องกลายเป็นหุ่นเชิดของโอวหยางหว่านอย่างเต็มตัว
“อ๊า! นี่มันแมลงบ้าอะไรกัน!”
“ช่วยด้วย!”
ภายในชั่วครู่เดียวเท่านั้น กู่เหล่านี้ก็ได้ปรากฏเต็มไปทั่วแคว้นจื่อเยี่ย ผู้ใดที่มีพลังและวิชา หากพลั้งพลาดให้กู่เหล่านี้จ้องตาเข้า ก็จะต้องกลายเป็นอาหารของพวกมันทันที
มู่อวู่ซวงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มจากแมลงดำ กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เกิดเรื่องขึ้นจนได้”
“ราชาไป๋กู่เคยเป็นสัตว์ศักดิสิทธิ์ที่ปกป้องนิกายไป๋กู่ พวกมันปรากฏขึ้นที่นี่แล้ว”
ทั่วทั้งเมืองหลวงพลันมืดครึ้ม ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวขึ้นบ้าง น้ำเสียงเคร่งขรึมของเขาแฝงไปด้วยความกังวล “ให้ตายเถอะ เฉียนซียังอยู่ที่นั่น!”
“อวิ๋นอ๋อง สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายยิ่งนัก ทั่วทั้งท้องฟ้าและแผ่นดินเต็มไปด้วยแมลงกู่น่าขยะแขยง พวกมันน่ากลัวยิ่งนัก เรารีบออกไปจากเขตวังหลวงกันนะขอรับ” ข้ารับใช้คนสนิทของซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าว ใบหน้าเปียกไปด้วยเหงื่อ
ซวนหยวนชิงอวิ๋น “เฉียนซีช่วยข้าออกมาจากคุกหลวง เวลานี้นางกำลังตกอยู่ในอันตราย ข้าจะเพิกเฉยต่อนาง หนีเอาตัวรอดไม่ได้เด็ดขาด!”
สถานการณ์ที่แท่นบูชาเต็มไปด้วยอันตราย มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่โดนกู่เหล่านั้นรุกรานเข้าร่างกาย เยวี่ยเจ๋อมองดูสถานการณ์อย่างร้อนใจ เขาถอยกลับไปยืนข้าง ๆ มู่เฉียนซีก่อนจะกล่าวถามนางด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “พี่ใหญ่ เราจะเอาอย่างไรดี ?”
เขาโชคดีมากที่ก่อนหน้านี้ได้กินยาฟ้าดินซวนหวงเข้าไป มิเช่นนั้นหากเขาเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ในขณะที่ตนเองเป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูต มีหวังคนต้องถอยหลังหนีไปตั้งแต่แรกแล้ว
ยาฟ้าดินซวนหวงอีกสี่เม็ด เขาได้มอบมันให้กับคนในตระกูลเยวี่ย เขาวางใจว่าตอนนี้ท่านพ่อของเขามีพลังเพียงพอที่จะเอาตัวรอดได้ หน้าที่ของเขาจึงเป็นการปกป้องพี่ใหญ่ให้ดีที่สุด
จากการรุกรานของกู่เหล่านี้ ผู้ที่มีพลังผู้บำเพ็ญภูต ผู้ฝึกยุทธ์ จอมภูต และจอมยุทธ์ไม่สามารถปกป้องตัวเองจากพวกกู่เหล่านี้ได้ ส่วนผู้ที่มีพลังระดับราชา สามารถใช้พลังปกป้องตัวเองได้ ทว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายบนท้องฟ้าอันดำทะมึนไปด้วยกู่เช่นนี้แล้ว หากไม่ระวังตัว ก็อาจจะโดนกู่เล่นงานได้โดยง่าย
สุดท้ายคือระดับจักรพรรดิ ระดับจักรพรรดิสามารถใช้พลังปกป้องตัวเองได้ มีโอกาสหนีเอาตัวรอดไปได้ แต่ก็ยังไม่สามารถยับยั้งสถานการณ์ตรงหน้านี้ได้
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์นี้ชั่วร้ายอย่างยิ่ง แม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีพลังจักรพรรดิระดับเก้า ก็ใช่ว่าจะรับมือกับมันได้ง่าย ๆ
ทุกคนในเวลานี้ ต่างก็ร้องโหยหวนวอนให้สวรรค์โปรดช่วย
ขณะเดียวกันนั้น โอวหยางหว่านตะโกนสั่งว่า “ไปจับตัวซีเอ๋อร์มาให้ข้า อย่าให้หนีรอดไปได้”
.