บทที่ 314 คาดเดา (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 314 คาดเดา (2)

หลังจากเรื่องวุ่นวายจบลง พวกคนคุ้มกันของอู๋เฉวียนเซิงก็ไม่มีหน้าอยู่ต่ออีก พากันหนีไป อู๋เฉวียนเซิงก้มหน้ายืนอึดอัดอยู่ด้านหลังลู่เซิ่ง

เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่ลู่เซิ่งลงมือ ตอนนี้เขาต้องถูกชายฉกรรจ์คนนั้นตัดขาขวาไปแล้ว

“พี่ลู่ เมื่อครู่ขอขอบคุณท่าน…” เขาหวนนึกถึงพละกำลังที่ลู่เซิ่งแสงออกมาเมื่อครู่ พลันเข้าใจว่าลู่เซิ่งมากราบอาจารย์พร้อมวิชา คนแบบนี้มีไม่มากนัก แต่ก็ไม่น้อยเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนที่อายุค่อนข้างมาก ลู่เซิ่งอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว สมควรเป็นคนประเภทนี้

“พอแล้วๆ เข้าแถวเงียบๆ ไปเถอะ” ลู่เซิ่งคร้านจะสนใจเด็กน้อยผู้นี้ เป็นการดีที่ชอบผูกมิตร แต่ว่าการรับยอมรับสหายทุกคนโดยไม่แบ่งแยก นั่นเป็นเส้นทางแห่งความตาย

เรื่องในครั้งนี้เป็นการสั่งสอน ถ้าหากเขาได้สติก็ดี แต่ถ้ายังไม่ได้สติแล้วเกิดเรื่องขึ้นมาอีก ก็ไม่มีคนมากมายมาคอยช่วยแล้ว

อู๋เฉวียนเซิงไม่ได้พูดอีก

ทว่าไม่นานก็มีคนจากพรรคอาทิตย์วสันต์มาอีกคน เป็นคนหนุ่มพกกระบี่ ดูท่าทางจะอายุเท่ากับลู่เซิ่ง

เขาเดินไปถึงด้านข้างลู่เซิ่ง

“เมื่อครู่เป็นเจ้าลงมือกระมัง พละกำลังไม่เลว ทรงพลังโดยกำเนิดหรือ”

ลู่เซิ่งพยักหน้า

“อย่างนั้นก็ดี ไม่ต้องต่อแถวแล้ว ตามข้ามา” คนหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ลู่เซิ่งรู้ว่าตัวเองดึงดูดความสนใจพรรคอาทิตย์วสันต์เข้าแล้ว จากนั้นก็เดินตามคนผู้นี้ออกจากแถวขบวนไปยังจุดรับสมัครที่อยู่ด้านหน้าสุดโดยตรง

คนที่รับสมัครเป็นสตรีวัยกลางคนที่หน้าผากมีรอยเหี่ยวย่นเลือนราง ท่าทางเป็นมิตรมากเช่นกัน นางยิ้มให้ลู่เซิ่ง ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ชื่อแซ่ของเจ้าคือ?”

“ลู่เซิ่ง”

“ลู่ที่หมายถึงเส้นทาง เซิ่งที่หมายถึงชัยชนะ ใช่หรือไม่”

“ขอรับ”

“บ้านเกิดเล่า”

“จันทราหลับใหล”

“อายุ”

“ยี่สิบสาม”

แต่ละคำถามถูกถามออกมาอย่างต่อเนื่อง ลู่เซิ่งตอบอย่างรวดเร็ว ข้อมูลเหล่านี้ย่อมได้รับการเรียบเรียงไว้แต่แรกแล้ว ไม่นานการลงทะเบียนก็จบลง คนหนุ่มพาเขาไปยืนกับคนอีกหลายคนที่ผ่านการคัดเลือกแล้วอยู่ด้านข้าง

ด่านนี้หลักๆ แล้วเป็นการตรวจสอบข้อมูล และการคัดเลือกอย่างหยาบๆ

ลู่เซิ่งมองเห็นอู๋เฉวียนเซิงอย่างรวดเร็ว แถวมาถึงตำแหน่งของเขาแล้ว กระบวนการทดสอบคือการสอบถามข้อมูลเล็กน้อย รวมถึงการทดสอบข้อมูลอย่างคร่าวๆ

การทดสอบข้อมูลที่ว่าคือคนตรงจุดรับสมัครยื่นนิ้วออกไปจิ้มบนนิ้วของผู้สมัคร จากนั้นก็เรียบร้อย

ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีพลังงานเล็กๆ ที่เหมือนปราณภายในมุดเข้าไปในร่างของผู้ถูกทดสอบ

อู๋เฉวียนเซิงรอคอยผลลัพธ์ด้วยสีหน้ากระวนกระวาย

ทว่าผลลัพธ์ยังคงไม่ผ่านเหมือนเดิม

“คนต่อไป” คนของพรรคอาทิตย์วสันต์ไม่มองเขาอีก เรียกคนต่อไป

อู๋เฉวียนเซิงเดินออกมาอย่างผิดหวัง มองมาทางลู่เซิ่งพลางส่ายหน้าอย่างขมขื่น จากนั้นก็เดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย

ลู่เซิ่งไม่ได้มีการแสดงออกต่อการจากไปอย่างผิดหวังของเขา โลกก็เป็นแบบนี้ ไม่มีความยุติธรรมโดยกำเนิด ทุกๆ วันมีคนนับไม่ถ้วนถูกคัดทิ้งตั้งแต่จุดเริ่มต้น

หลังการทดสอบผ่านไปอีกสักพัก คนที่ผ่านการทดสอบก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็ครบยี่สิบคน

สตรีจากพรรคอาทิตย์วสันต์คนหนึ่งเดินออกมา พอเห็นว่าคนครบแล้ว ก็นำคนยี่สิบคนนี้ผละออกจากทะเลสาบสามประสพ

ลู่เซิ่งอยู่ในขบวน คอยจดจำเส้นทางรอบๆ ไปด้วย ไม่นานทุกคนก็มาถึงด้านหน้าอารามกลางป่าแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปทีละคน มีนักพรตที่สวมเสื้อคลุมสีขาวมีวัยชรามากแล้วคนหนึ่งทดสอบความสามารถในการจดจำ

นักพรตเฒ่าสอนการเคลื่อนไหวคล้ายๆ กายบริหารให้ทั้งหมดสิบท่า โดยสอนแค่ครั้งเดียว เรียนได้ถึงเท่าไหร่ ก็แบ่งไปตามคุณสมบัติระดับนั้นๆ

สำหรับคนอื่นๆ การเคลื่อนไหวนี้คลุมเครือยากเข้าใจ ทว่าสำหรับลู่เซิ่ง สามารถจดจำการเคลื่อนไหวนี้ได้หมดอย่างง่ายดายเพียงยกมือ

แต่เป้าหมายของเขาไม่ใช่การมาอวดวรยุทธ์แสดงบารมี หากมาเพื่อรับการบ่มเพาะของพรรคอาทิตย์วสันต์อย่างเป็นระบบ

ตั้งแต่เรียนหนังสือ ไปถึงทักษะ ธรรมเนียมประเพณี และข้อห้ามต่างๆ สุดท้ายยังมีการสืบทอดมรรคายุทธ์ที่แท้จริง

ลู่เซิ่งผ่านขั้นตอนที่สองอย่างง่ายดาย ชื่อได้รับการจัดอยู่ในสี่อันดับแรก

จากนั้นก็เป็นด่านที่สาม การต่อสู้ หลังจากลู่เซิ่งใช้ ‘ความทรงพลังโดยกำเนิด’ ตบศิษย์พี่สองคนคว่ำในครั้งเดียว การทดสอบนี้ก็จบลงก่อนกำหนด

ลู่เซิ่งต้องการเรียนรู้ทุกสิ่งของที่นี่ตั้งแต่ต้นอย่างเป็นระบบ ดังนั้นเขาเลยบอกว่าไม่รู้จักหนังสือ จากนั้นก็ได้รับการจัดการให้ออกจากอาราม และมุ่งหน้าไปยังอารามใหญ่ที่อยู่ในส่วนลึกของป่าเขา

เขาเข้าไปในอารามใหญ่ ไม่นานก็ได้รับการจัดสรรไปยังโถงแห่งความเขลา

นั่นเป็นสถานที่ที่สอนหนังสือให้แก่ศิษย์อย่างเขา

ไม่นาน เวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านพ้นไป

ลู่เซิ่งรู้จักระบบตัวหนังสือที่ต้าอินใช้เป็นปกติในขั้นต้นแล้ว จากนั้นก็อ่านภูมิศาสตร์ เรื่องประหลาด ตำนาน ชีวประวัติในหอเก็บหนังสือเป็นจำนวนมาก จนพอจะรู้จักต้าอินอย่างคร่าวๆ เป้าหมายแรกของเขาบรรลุแล้ว

ต่อมาก็ถึงเวลารับสืบทอดวิชาของพรรคอาทิตย์วสันต์อย่างเป็นทางการ

ก๊อกๆๆ

ห้องที่ทำจากไม้ถูกเคาะเบาๆ

“พี่ใหญ่ลู่ ถึงคาบถ่ายทอดวิชาตอนเช้าแล้ว” นอกประตูมีเสียงตะโกนอย่างระมัดระวังดังมา

ลู่เซิ่งนั่งอยู่บนเตียง ควันสีดำอันเลือนรางพลิกไปมาทั่วร่าง พอได้ยินเสียง ควันสีดำทั่วร่างของเขาก็พลันสั่นไหวทีหนึ่ง ก่อนที่ทั้งหมดจะมุดเข้าไปในจมูกของเขา หายไปไม่เหลือแม้แต่น้อย

“จงหยวนหรือ เจ้าไปก่อนเถอะ ข้าจะตามไปทีหลัง” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบ

จงหยวนและคนอีกสี่คนเป็นเพื่อนบ้านที่ได้รับการจัดสรรให้อยู่ในสถานที่เดียวกันกับเขา ทั้งกลุ่มมีห้าคน ทั้งยังเป็นศิษย์ที่มีความพิเศษทุกคน

ลู่เซิ่งทรงพลังโดยกำเนิด จงหยวนรวดเร็วโดยกำเนิด ยังมีจางไคหรงกับเฉินเฟิงหนันผิวหนังหนาโดยกำเนิด

หวังอวิ่นหลงที่เป็นคนสุดท้ายมีกายชีพจรปลอดโปร่ง เทียบกับพวกลู่เซิ่งแล้ว หวังอวิ่นหลงได้รับความโปรดปรานจากคนในพรรคอาทิตย์วสันต์มากกว่า หลังจากเข้าสำนักได้หนึ่งเดือน ขณะพวกเขายังเรียนวิชาพื้นฐานด้วยกัน หวังอวิ่นหลงก็เริ่มฝึกฝนร่างกาย อาบน้ำสมุนไพร และฝึกฝนวิชาภายนอกแล้ว เขาจะหายไปทุกๆ ระยะเวลาหนึ่ง ว่ากันว่ามีผู้อาวุโสต้องการรับเป็นศิษย์

หลังจากจงหยวนรอสักพัก ก็เห็นลู่เซิ่งเปิดประตูออกมา นางมีนิสัยเปิดเผย ไม่สนใจใคร จึงไม่ตะขิดตะขวงกับการที่เป็นสตรีสักคน มาเคาะประตูห้องของบุรุษด้วยตัวเอง จากนั้นทั้งสองคนก็ไปรวมตัวกับอีกสองคนที่เหลือ

ทั้งสี่คนเดินไปยังสถานที่เรียนคาบเช้า

จางไคหรงเป็นคนรื่นเริง กล่าววาจาสนุกสนานได้เก่ง คอยหยอกล้อจงหยวนตลอดเวลา ถูกทุบตีหลายครั้งก็ไม่ถือสา

เฉินเฟิงหนันจะกล่าวแทรกสองสามประโยคทุกครั้ง ทั้งสามคุยกันอย่างออกรส ลู่เซิ่งเดินเงียบๆ อยู่ด้านหลังโดยไม่สนใจใคร

เขามีนิสัยอย่างนี้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้อยู่ร่วมกับคนทั้งสามมาหนึ่งเดือน ทุกคนจึงรู้ดี มีแต่จงหยวนที่จะคอยหันไปคุยกับลู่เซิ่งสักสองสามประโยค เพื่อไม่ทิ้งอีกฝ่ายให้โดดเดี่ยว

ตอนนี้ลู่เซิ่งกำลังสะสางสถานการณ์ที่ได้ศึกษามาในเวลาหนึ่งเดือน

เขารู้ผ่านการอ่านตำราและการหลอกถามอ้อมๆ ว่า ระดับพลังชั้นสูงสุดของต้าอินก็คือเจ้าแห่งอาวุธเพชฌฆาต

เจ้าแห่งอาวุธปกครองตระกูลขุนนางระดับสุดยอดกับสามสำนักใหญ่ เป็นตัวตนอันน่ากลัวที่ควบคุมอาวุธเพชฌฆาตได้โดยสมบูรณ์

ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่านี่คือการควบคุมโดยสมบูรณ์ ไม่ใช่การพึ่งพิง

เขาสัมผัสได้อย่างเลือนรางถึงความแตกต่างกับผู้ถืออาวุธในต้าซ่ง จากในคัมภีร์ เจ้าแห่งอาวุธเหมือนจะมีความสัมพันธ์ในระดับเดียวกันกับอาวุธเพชฌฆาต ไม่ใช่พึ่งพาอาศัยเหมือนอย่างต้าซ่ง

ต่อจากเจ้าแห่งอาวุธจึงเป็นศัสตราเทพคลั่ง เป็นอาวุธเทพศัสตรามารหรืออาวุธเพชฌฆาตที่ไม่ขึ้นกับใคร

ต่อจากนั้นค่อยเป็นระดับผู้ถืออาวุธ

ลู่เซิ่งคำนวณระดับของตนเองดูคร่าวๆ ตอนนี้เขาสามารถต่อสู้ซึ่งหน้ากับระดับจ้าวแห่งมารได้ชั่วขณะหนึ่ง จึงน่าจะอยู่ในจุดสูงสุดของระดับผู้ถืออาวุธแล้ว

ระดับของต้าอินเหนือกว่าจินตนาการของเขา เดิมทีเขานึกว่าที่นี่อย่างมากสุดก็มีถึงแค่ระดับจ้าวแห่งมาร กระนั้นภายหลังค่อยพบว่าที่นี่ยังมีระดับศัสตราเทพคลั่งกับระดับเจ้าแห่งอาวุธ ซึ่งจากการบันทึกล้วนเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าผู้ถืออาวุธอยู่ด้วย

ศัสตราเทพคลั่งอาจจะเป็นระดับจ้าวแห่งมาร ส่วนเจ้าแห่งอาวุธ…เขาจินตนาการไม่ออกแล้ว

‘มิน่าพิภพมารถึงไม่เลือกต้าอินเป็นจุดแตกหัก ที่แท้ทางนี้เป็นกำลังหลักของโลกมนุษย์นี่เอง…’ ลู่เซิ่งเข้าใจแล้ว เทียบกับต้าอินทางต้าซ่งไม่ต่างอะไรกับบ้านนอกในซอกหลืบ

หลังจากทราบสถานการณ์เหล่านี้และได้รู้จักระดับเจ้าแห่งอาวุธ ลู่เซิ่งก็สนใจในระบบการฝึกฝนของต้าอินมากกว่าเดิม

ครั้งนี้เข้าร่วมพรรคอาทิตย์วสันต์ได้อย่างราบรื่น ยังเหลือเวลาอย่างน้อยมากกว่าครึ่งปี กว่าที่กลุ่มใหญ่ของสำนักมารกำเนิดที่ตามหลังตนมาจะมาถึง เขาเหลือเวลาเหลือเฟือในการศึกษาระบบของที่นี่

ทั้งสี่ไปถึงแท่นหินเรียบสีขาวแห่งหนึ่งด้านข้างอารามอย่างรวดเร็ว

ตอนที่พวกเขาไปถึง ที่นี่ก็มีคนมาก่อนไม่น้อยแล้ว

พวกลู่เซิ่งหามุมที่โล่งกว้าง พวกจงหยวนพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ถือว่าเป็นคนดังในหมู่ลูกศิษย์ใหม่ อย่างไรก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์พิเศษ พรรคอาทิตย์วสันต์แสดงท่าทีกับพวกนางต่างจากศิษย์ทั่วไป

ตอนนี้ศิษย์คนอื่นๆ กำลังทำงานกระจุกกระจิก พวกเขาแค่จำเป็นต้องเรียนทุกวัน แล้วรอมาฝึกฝนในวันนี้ก็พอ

ยามเช้าตรู่ อาทิตย์อุทัยลอยขึ้น เส้นแสงส่องผ่านเมฆหมอกลงมาต้องร่างทุกคน ให้ความอบอุ่นจางๆ

กลุ่มคนจำนวนมากมาเกือบครบแล้ว คนมากกว่าร้อยคนรวมตัวกันแน่นขนัดอยู่ด้านหนึ่งพลางส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย

“ครบแล้ว เริ่มกันเถอะ”

เสียงฟ้าวดังขึ้นเมื่อเงาสีขาวสายหนึ่งทะยานขึ้นมาจากด้านในอาราม ก่อนจะตีลังกาหลายตลบ แขนเสื้อใหญ่พองขึ้นเหมือนกับวิหค อาศัยแรงร่อนหยุดอยู่ริมผาด้านหน้าทุกคน

คนผู้นี้เป็นบุรุษวัยกลางคนผอมแห้งหน้าเหลือง ถึงแม้ร่างจะผอมแห้ง แต่ดวงตากลับสุกใส เป็นประกาย

“เงียบๆ” เสียงของเขาดังสนั่นเหนือศีรษะทุกคนดุจเสียงระฆัง

พรรคอาทิตย์วสันต์ตรากฎอย่างเข้มงวด ศิษย์ทั้งหมดเงียบลงทันตา ต่างคนต่างยากจะสะกดอารมณ์ อย่างไรก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จะได้สัมผัสวิชาฝึกฝนในตำนานเล่าขาน

บุรุษวัยกลางคนกวาดตามองรอบๆ แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ

“ข้าคือเฉิงค่งจื่อ รับผิดชอบสอนคาบเช้าให้แก่พวกเจ้า เนื้อหาของคาบเช้าในวันนี้ คือการถ่ายทอดส่วนหนึ่งของวิชาปราณอาทิตย์อุทัย หากเกิดความรู้สึกถึงปราณได้ในสามวัน จะกลายเป็นศิษย์ภายใน หากเกิดความรู้สึกถึงปราณได้ในหนึ่งเดือนจะเป็นศิษย์ภายนอก ถ้าผ่านไปมากกว่าหนึ่งเดือนแล้วยังสามารถรั้งอยู่เป็นคนรับใช้ หรือกลับบ้านไปก็ได้”

“ต่อไปนี้คือการฝึกฝนร่างกายกับการเดินลมปราณอย่างเป็นรูปธรรมของวิชาปราณอาทิตย์อุทัย” เฉิงค่งจื่อไม่พูดเยิ่นเย้อ เริ่มถ่ายทอดการเคลื่อนไหว เคล็ดลับ และการเดินลมปราณเพื่อฝึกฝนทันที

ทุกคนพากันเพ่งสมาธิกลั้นลมหายใจ ทบทวนและจดบันทึกการเคลื่อนไหวและเนื้อหาสำคัญที่เขาสอนอย่างละเอียด

ลู่เซิ่งยืนอยู่ตรงกลาง ขมวดคิ้วมองเฉิงค่งจื่อผู้นั้น

การเคลื่อนไหวและเคล็ดเดินลมปราณของวิชาปราณอาทิตย์อุทัยง่ายดายมากสำหรับเขา แต่กลับทำให้เขาเกิดความสงสัย

‘ปราณกำเนิดฟ้าดินหรือ ปราณม่วงอาทิตย์อุทัยหรือ นี่มันบ้าอะไรกัน เราฝึกปราณภายในมาตั้งนาน ทำไมถึงไม่เคยสัมผัสถึงปราณม่วงอาทิตย์อุทัยอะไรนี่ได้เลย’

ในวิชาปราณอาทิตย์อุทัยมีธาตุปราณภายในเช่นกัน แต่ว่าส่วนใหญ่เป็นการนึกจินตนาการว่าโลกภายนอกมีปราณกำเนิดฟ้าดินไหลสู่ด้านในร่างกาย จากนั้นก็ถูกร่างกายดูดซับ

เพียงแต่ไม่ว่าลู่เซิ่งจะสังเกตอย่างไร ก็สัมผัสปราณม่วงอาทิตย์อุทัยและปราณกำเนิดฟ้าดินที่ว่า ใกล้ๆ ตัวเฉิงค่งจื่อไม่ได้

‘ไม่ฝึกการเปลี่ยนสารกายเป็นปราณ หรือฝึกเปลี่ยนสารอาหารเป็นปราณภายใน กลับนึกจินตนาการท่าเคลื่อนไหวที่ใช้ดูดซับปราณกำเนิดฟ้าดินพรรค์นี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะเสกพลังงานจากความว่างเปล่าขึ้นมาได้’ ลู่เซิ่งจับจ้องเฉิงค่งจื่อ ประสาทสัมผัสทั้งห้ารวมถึงการรับรู้ต่อพลังงานครอบคลุมอาณาเขตหลายหมี่รอบๆ ตัวเขาไว้อย่างแน่นหนา

เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย คนอื่นๆ เริ่มฝึกแล้ว มีแต่ลู่เซิ่งกับศิษย์ที่ไม่เข้าใจวิชาส่วนหนึ่งยังนิ่งอยู่กับที่

“พี่ลู่?” จงหยวนกระทุ้งเตือนลู่เซิ่ง

“ไม่เป็นไร” เจ้าเริ่มฝึกไปก่อนเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า” ลู่เซิ่งกล่าวพลางส่ายหน้า

จงหยวนรู้จักนิสัยของลู่เซิ่งดี จึงไม่พูดอะไรมาก หลับตาเริ่มฝึกฝนตามท่าเคลื่อนไหว

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ลู่เซิ่งเริ่มสังเกตเห็นรายละเอียดแล้ว

ตอนแรกลู่เซิ่งยังมองการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในการตอบสนองต่อพลังงานของเฉิงค่งจื่อไม่ออก แต่เมื่อผสานกับการคาดเดามากมายและคาดการณ์แบบจำลองต่อจักรวาลบนโลกในชาติก่อน เขาพลันนึกถึงความเป็นไปได้หนึ่ง…

‘หรือว่า…พวกเขากำลัง…!?’ ทันใดนั้น ลู่เซิ่งเหมือนนึกอะไรออก ลืมตาโตอย่างฉับพลัน

……………………………………….