บทที่ 315 คาดเดา (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 315 คาดเดา (3)

เสามนุษย์

หรือก็คือต้นไม้มนุษย์ ความหมายก็คือยึดถือคนเป็นต้นไม้ เพาะปลูกทีละเมล็ด แล้วปล่อยให้มันเติบโตแข็งแกร่งขึ้นและผลิดอกออกผล

ในตอนที่ลู่เซิ่งนึกถึงความเป็นไปได้นี้ เขาก็สัมผัสอย่างเลือนรางได้ว่ามีกลิ่นอายหลายสายลอยขึ้นอย่างขมุกขมัวจากบนร่างของคนที่อยู่รอบๆ

กลิ่นอายล่องลอยเลือนรางเหมือนกับหมอกเหมือนกับควัน ถ้าไม่ใช่เขามีความรู้สึกถึงพลังงานอย่างแก่นมารแข็งแกร่งสุดขีดคงจะสัมผัสไม่เจอ

ลู่เซิ่งเงยหน้ามองไป คนที่อยู่รอบๆ หรือแม้แต่เฉิงค่งจื่อที่อยู่ริมหน้าผาผู้นั้นมีกลิ่นอายปริศนาหลายสายกระจายออกมาจากบนร่างทั้งหมด

กลิ่นอายทั้งหมดรวมตัวเป็นทะเลสาบพร่ามัวผืนหนึ่งเหนือศีรษะ พร้อมกับกระเพื่อมและไหลเวียน

‘นี่คือ…!?’ ลู่เซิ่งจับจ้องทะเลสาบผืนน้อยนั้นเขม็ง

ทะเลสาบลมปราณที่ไร้สีและโปร่งแสง ครอบคลุมอยู่เหนือศีรษะของคนทุกคนที่อยู่รอบๆ เกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมตลอดเวลาเหมือนกับทะเลสาบที่เป็นของเหลวจริงๆ

“ตอนนี้ให้นึกถึงดวงอาทิตย์ที่ลอยขึ้นมา ดูดซับแสงหมื่นสาย…” เฉิงคงจื่อส่งเสียง

เสียงเพิ่งจะขาดลง เส้นแสงสายหนึ่งก็ลอยขึ้นมาจากบนศีรษะของคนบางคนที่อยู่ด้านล่าง เส้นแสงสีทองพุ่งเข้าไปในทะเลสาบด้านบน ก่อนจะดูดซับไอหมอกไปทั่วเหมือนกับงู

บางคนกลับไม่ขยับเขยื้อน บนศีรษะปรากฏแสงสีทองรางๆ แต่ไม่อาจรวมตัว ไม่ทันไรก็ถูกเส้นสีทองเส้นอื่นทำลายและดูดซับจนสลายหายไป

‘ว่าแล้ว…’ ลู่เซิ่งตื่นตระหนก เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ คนของที่นี่ ผู้ฝึกฝนของที่นี่โหดร้ายกว่าต้าซ่งมาก

ในต้าซ่งถ้าใครไม่มีคุณสมบัติ ไม่มีสายเลือด ก็ได้แต่เป็นคนธรรมดาใช้ชีวิตไปอย่างว่าง่าย

แต่ว่าที่ต้าอิน ต้องแย่งชิงสารกายของคนอื่นๆ มาทำให้ร่างกายของตัวเองแข็งแกร่ง ผู้ที่แข็งแกร่งจะยิ่งแข็งแกร่ง ผู้ที่อ่อนแอจะยิ่งอ่อนแอ ความต่างของระดับชั้นถ่างกว้างกว่าเดิม

เขาเห็นได้อย่างรำไรว่าเฉิงค่งจื่อนั่นกลืนกินหมอกควันเยอะที่สุด โดยกลืนกินทะเลสาบผืนน้อยไปมากกว่าครึ่ง ศิษย์ที่มีคุณสมบัติที่เหลือได้แค่แบ่งกันกลืนกินส่วนที่เหลือเท่านั้น

และคนที่มีคุณสมบัติที่ว่าก็มีไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน

คาบเช้าจบลงอย่างรวดเร็ว

พวกจงหยวนล้วนมีคุณสมบัติ แม้จะยังไม่เกิดความรู้สึกถึงปราณ แต่ก็สัมผัสได้ในขั้นต้นแล้วว่าร่างกายของตนผิดปกติอยู่บ้าง ดังนั้นแต่ละคนต่างก็คาดหวังและกระตือรือร้นเล็กน้อย กำลังจับกลุ่มสนทนาซุบซิบกันอย่างกระปรี้กระเปร่า

ส่วนคนที่ไม่มีเส้นสีทองล้วนมีท่าทางเหมือนเหนื่อยล้าอิดโรยมานาน

ลู่เซิ่งยืนเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่ใกล้ๆ

ฝาครอบสีทองอ่อนชั้นหนึ่งปรากฏเหนือท้องฟ้าของพรรคอาทิตย์วสันต์อย่างเลือนราง ก่อนหน้านี้เขานึกว่านี่คือค่ายกลป้องกันที่พรรคอาทิตย์วสันต์ร่วมมือกันสร้างขึ้นมา แต่ตอนนี้พอมองดูสิ่งนี้อีกครั้ง เขาค่อยเข้าใจว่านี่คือค่ายกลดูดซับสารกาย

ค่ายกลนี้จะดูดซับสารกายทั้งหมดในร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านล่างทุกวินาที

‘เป็นโลกที่โหดร้ายจริงๆ’ เดิมทีสิ่งที่เห็นตอนเขาเข้าพรรคล้วนเป็นภาพที่กลมเกลียวปรองดอง แต่ตอนนี้หลังจากได้ทราบความจริง พลันรู้สึกได้ถึงความอำมหิตในจิตใจของพรรคอาทิตย์วสันต์

ทว่าเขาคิดอีกมุมหนึ่ง เกรงว่าผู้ฝึกฝนเหล่านี้จะไม่รู้ว่าแก่นสารของวิชานี้คืออะไร

ผู้แข็งแกร่งกินผู้อ่อนแอ ผู้อ่อนแอกินผู้อ่อนแอกว่า ผู้อ่อนแอกว่ากินคนธรรมดา และถ้าคนธรรมดา…ฝึกวรยุทธ์ไม่สำเร็จก็จะอ่อนแอกว่าเดิม

“พี่ลู่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง มีความรู้สึกชาๆ คันๆ เทือกนั้นหรือไม่” จางไคหรงเข้ามากระซิบถาม

ลู่เซิ่งไม่สนใจเขา

“พี่ลู่ย่อมไม่มีปัญหา ถามเรื่องพวกนี้ออกจะไร้สาระไม่ใช่หรือ” จงหยวนพูดแทนลู่เซิ่ง

“ในสามวันต้องมีความรู้สึกถึงปราณจึงจะกลายเป็นศิษย์ภายในได้” เฉินเฟิงหนันร้อนใจอยู่บ้าง แต่นอกจากนั้นส่วนใหญ่เป็นความมั่นใจและความคาดหวัง “ที่แล้วมาพรรคอาทิตย์วสันต์ของพวกเรามีจำนวนศิษย์ภายในอยู่ที่หนึ่งร้อยสามสิบสองคน ทุกๆ ปีจะทดสอบครั้งหนึ่งเพื่อคัดผู้อ่อนแอและยกระดับผู้แข็งแกร่ง แต่ความรู้สึกถึงปราณยังไม่พอหรอก ทุกคนอยากจะไปเรียนทักษะป้องกันตัวหน่อยหรือไม่”

ต่างคนต่างพูดคุยหัวข้อไร้สาระขณะเดินทางกลับ ใกล้จะเที่ยงแล้ว น่าจะได้เวลากินข้าวเที่ยงสักที

ลู่เซิ่งกลับยังคงนึกทบทวนถึงภาพฝาครอบสีทองอ่อนกลางท้องฟ้าที่เห็นเมื่อครู่

ถ้าหากเขาเดาไม่ผิดล่ะก็ ต้าอินนี่…สถานการณ์คงทารุณยิ่งกว่าต้าซ่งเสียอีก

หลังจากกินข้าวเที่ยง เขาก็ไม่ได้กลับไปนอนหลับพักผ่อน แต่ว่าแสร้งทำเป็นเดินเตร่โดยไม่สนใจใคร จนมาถึงตำหนักธุรการด้านหลัง

ที่นี่เป็นสถานที่ที่คนทำงานจิปาถะเช่นก่อฟืน ทำกับข้าวและหาบน้ำอาศัยอยู่ ศิษย์ที่มีคุณสมบัติธรรมดาซึ่งเพิ่งเข้ามาใหม่จะได้รับการจัดสรรให้มาอยู่ที่นี่เพื่อทำงานทั่วไปก่อน

หากเกิดความรู้สึกถึงปราณก็จะมีคุณสมบัติกลายเป็นศิษย์ ไม่ว่าภายในหรือภายนอก อย่างน้อยไม่มีทางเป็นคนงาน ถ้าหากไม่เกิดความรู้สึกถึงปราณ เช่นนั้นก็ได้แต่ทำงานเป็นคนรับใช้แล้ว

ลู่เซิ่งเดินผ่านบริเวณห้องครัวก่อน หากมองจากด้านนอกอาคารจะเห็นคนไม่น้อยกำลังกุลีกุจอตักน้ำผ่าฟืน บรรยากาศคึกคักยิ่ง

เสื้อผ้าเข้ารูปที่สะอาดเรียบร้อยของเขาดูสะดุดตาอยู่บ้างในบริเวณที่มีควันหนาแน่นนี้

ไม่รอให้มีคนเข้ามาถามเขาว่ามีธุระอะไร ลู่เซิ่งก็ผละไปก่อน เขาผ่านเรือนรักษากฎ ตำหนักสวัสดิการ ตำหนักโอสถ แล้วเดินไปถึงตำหนักเสาะหาพื้นฐานอันเป็นแห่งสุดท้าย

ด้านหน้าตำหนักเสาะหาพื้นฐานเย็นเยียบวังเวง บางครั้งถึงจะเห็นว่ามีศิษย์ที่มีสีหน้าเหม่อลอยเดินออกมาจากด้านใน ศิษย์เหล่านี้เดินแบกห่อสัมภาระออกจากอารามภายใต้การจับจ้องขององครักษ์

“ไม่! ไม่เอา! ข้าไม่อยากไป!” ได้ยินเสียงกรีดร้องจากด้านในตำหนักได้เลือนราง

“เช่นนั้นก็ไปทำงานเป็นคนรับใช้เถอะ เกิดความรู้สึกถึงปราณเมื่อไหร่ค่อยเป็นศิษย์ภายนอก” เสียงของสตรีที่สงบราบเรียบดังออกมาจากด้านใน

ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้าประตู ไม่นานนักก็เห็นศิษย์สวมอาภรณ์สีเทาที่เหม่อลอยหลายคน ประคับประคองกันเดินออกมา คนหนึ่งในนี้เป็นเด็กสาวที่สองตาบวมเพราะร้องไห้ เข่าเต็มไปด้วยเลือด มีสหายคนหนึ่งประคองอยู่ นางหน้าซีดขาว กัดริมฝีปากแน่น เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่านางจะเป็นคนส่งเสียง

พวกเขาล้วนเห็นลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ด้านนอก พอเห็นอาภรณ์สีเขียวกับสัญลักษณ์บนตัวเขา ดวงตาก็ฉายแววริษยาและยำเกรง จากนั้นก็รีบก้มหน้าลงด้วยกลัวว่าจะถูกคนพบเห็นความรู้สึกอันซับซ้อนในดวงตา

เขากวาดตามองดูเล็กน้อย เห็นคนเหล่านั้นเดินผ่านเขาไปจนลับสายตา

เขาหันซ้ายหันขวาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวผละจากมา

ยามบ่ายเดิมทีเป็นเวลาที่ควรฝึกฝนวิชาต่อ เพื่อสร้างความรู้สึกถึงปราณ ทว่าลู่เซิ่งไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาควบคุมปราณแบบนี้ได้อยู่แล้ว นั่นคือการกลายพันธุ์ประเภทหนึ่งของปราณภายในที่เขาฝึกฝนในยามปกติ บริสุทธิ์และแข็งแกร่งกว่าปราณภายใน ทว่าแก่นสารยังคงเป็นปราณภายใน

คนที่นี่เรียกปราณแบบนี้ว่าปราณเหมือนกัน แต่จะเรียกรวมๆ ว่าปราณจริงแท้เพื่อแบ่งแยกออกมาจากปราณภายในที่ฝึกได้จากวิชาภายในทั่วไป

ปราณจริงแท้แข็งแกร่งกว่าปราณภายใน แต่สู้ปราณเหลว ปราณมาร และแก่นมารไม่ได้ นับเป็นพลังงานที่อยู่ตรงกลาง

ทว่าสิ่งที่ลู่เซิ่งตกใจก็คือ วิธีการฝึกฝนปราณจริงแท้ถึงกับเป็นการแย่งชิงสารกายและปราณของคนอื่นๆ

เขาออกจากตำหนักธุรการ จากนั้นก็ออกจากอารามเพียงคนเดียว

พรรคอาทิตย์วสันต์ไม่มีการจำกัดอิสรภาพของศิษย์ อยากไปก็ไป อยากกลับก็กลับ น่าจะเป็นเพราะแน่ใจว่าไม่มีใครอยากไปจากที่นี่ จึงได้หละหลวมแบบนี้

ลู่เซิ่งไปถึงเมืองจันทราหลับไหล หาคฤหาสน์ตระกูลอู๋ของอู๋เฉวียนเซิงเจอในพื้นที่คึกครื้นแห่งหนึ่งจากที่อยู่ที่ได้รู้เมื่อก่อนหน้า

ระหว่างทางเขาสัมผัสได้ว่าสายตาที่คนเดินถนนรอบๆ มองมายังตนเองผิดปกติอยู่บ้าง

สายตาซับซ้อนที่ประกอบด้วยความอิจฉา ยำเกรง หวาดกลัวผสมปนเปกัน ลู่เซิ่งรู้สึกว่าตนเองเหมือนไฟสป็อตไลต์เป็นครั้งแรก สายตาทั้งหมดจับอยู่บนร่างของตนจากทุกทิศทุกทาง

สามารถเห็นได้ถึงอิทธิพลที่เครื่องแต่งกายของพรรคอาทิตย์วสันต์มีต่อคนธรรมดา

ตรงหน้าคฤหาสน์ตระกูลอู๋ ข้ารับใช้เฝ้าประตูสองคนพิงประตูหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน กำลังคุยอะไรกันอยู่ พอเห็นลู่เซิ่งเข้าใกล้ ทั้งสองก็ตื่นตัว ครั้นเห็นคำว่าอาทิตย์วสันต์ที่ปักติดอยู่บนเสื้อลู่เซิ่ง ทั้งสองก็เค้นรอยยิ้มประจบ พร้อมเข้ามาหาด้วยตนเอง

“ที่แท้เป็นใต้เท้าจากพรรคอาทิตย์วสันต์มาเยือน ไม่ทราบใต้เท้ามามีธุระอะไรหรือ ถ้ามาหานายผู้เฒ่า วันนี้เขาเดินทางไกลยังไม่กลับมา” ข้ารับใช้พูดอย่างเอาใจ

ประตูด้านหลังเปิดออก มีเงาคนวิ่งไปแจ้งคนในคฤหาสน์

“ข้ามาหาอู๋เฉวียนเซิง” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ

“นายน้อยไม่ผ่านการทดสอบนี่นา…ไฉนจึงรู้จัก…” คนรับใช้คนหนึ่งอดพึมพำขึ้นมาไม่ได้ ทว่าก็ถูกอีกคนถองใส่เพื่อให้หยุดพูด

“ท่านรอประเดี๋ยว พวกเราจะไปแจ้งนายน้อยทันที!”

ลู่เซิ่งถูกพาเข้าไปในคฤหาสน์ ยังเดินไปไม่ถึงโถงใหญ่ ก็เห็นอู๋เฉวียนเซิงรีบวิ่งเข้ามา ใบหน้าเขาแดงเรื่อ โค้งให้ลู่เซิ่งทั้งๆ ที่อยู่ไกล

“พี่ใหญ่ลู่! ขอบคุณบุญคุณช่วยเหลือเมื่อก่อนหน้า!”

“เหนื่อยเพียงยกมือเท่านั้น” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย “ข้ามาเพราะมีบางเรื่องอยากถามเจ้า”

“พี่ใหญ่มีเรื่องใด ขอแค่ผู้น้องทราบ จะไม่ปิดบังเด็ดขาด!” อู๋เฉวียนเซิงกล่าวอย่างตื่นเต้น

ดูท่าทางเขาจะปลาบปลื้มมาก หลังจากไม่ผ่านการทดสอบติดต่อกัน ตำแหน่งในตระกูลของนายน้อยผู้นี้ก็ร่วงตกไปหมื่นจั้ง ย่ำแย่ลงไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่าเมื่อเทียบกับระดับการให้ความสำคัญในตอนแรก

เวลานี้มีศิษย์ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าพรรคอาทิตย์วสันต์อย่างลู่เซิ่งมาหาเขา นี่ยกระดับตำแหน่งของเขาในตระกูลขึ้นไม่น้อย

ทั้งสองเข้าไปในเรือนเล็กของอู๋เฉวียนเซิง ข้ารับใช้ยกของกินเล่นเช่นผลไม้แห้งและผลไม้ทั่วไปมาให้ จากนั้นก็ยกน้ำแกงบ๊วยเปรี้ยวที่เย็นแล้วมาสองถ้วย

“พี่ใหญ่ลู่มีเรื่องอะไรท่านพูดตรงๆ ขอแค่ทำได้ ข้าอู๋เฉวียนเซิงจะช่วยเหลือจนหมดหน้าตักโดยไม่ต่อรองสักคำแน่นอน!” อู๋เฉวียนเซิงเข้าใจผิดคิดว่าลู่เซิ่งมายืมเงิน แต่จะว่าไป ปกติคนที่มาหาเขาแทบทุกคนล้วนมาเพื่อยืมเงินทั้งนั้น

“ข้าไม่ได้มายืมเงิน” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างขอไปที “ข้าเพียงแค่อยากฟังเรื่องราวสองสามเรื่อง”

“ฟังเรื่องราวหรือ พี่ลู่ลองว่ามาก่อน” อู๋เฉวียนเซิงกล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง

“ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่ความลับอะไร ข้าเพียงแค่อยากถามว่าทุกครั้งที่พรรคอาทิตย์วสันต์รับศิษย์ใหม่ ทุกๆ ปีจะมีศิษย์จำนวนมากถูกคัดทิ้ง ศิษย์ที่ถูกคัดทิ้งเหล่านี้เป็นอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่” ลู่เซิ่งถามอย่างจริงจัง

“ศิษย์ที่ถูกคัดทิ้ง…” อู๋เฉวียนเซิงผุดสีหน้างุนงง “เส้นทางฝึกฝนไม่ก้าวหน้าแต่ถอยหลัง เหมือนกับแล่นเรือทวนกระแสน้ำ หากสำเร็จก็ได้ขึ้นมหาวิถี หากไม่สำเร็จย่อมไม่ต้องพูดถึง…ถ้าไม่เกิดความรู้สึกถึงปราณแล้วยังตั้งใจฝึกต่อก็จะส่งผลเสียต่อตัวเองมากกว่าเดิม ถ้าไม่ตาย ส่วนใหญ่ร่างกายก็จะอ่อนแอลง”

“ร่างกายอ่อนแอหรือ”

“ใช่ การฝึกฝนก่อนที่จะเกิดความรู้สึกถึงปราณมีแต่จะสิ้นเปลืองพลังของตัวเอง ต้องฝึกฝนจนเกิดความรู้สึกถึงปราณจึงค่อยฟื้นคืนการขาดสมดุลของร่างกาย เติมเต็มโชคชะตา รวมถึงฟื้นคืนอายุขัยได้ นี่ไม่ใช่แค่พรรคอาทิตย์วสันต์เท่านั้น หลายๆ พรรคที่อยู่ไกลออกไปเป็นเหมือนกันหมด” อู๋เฉวียนเซิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ขอปิดบัง ข้าเคยไปกราบอาจารย์ที่สำนักอื่นๆ แต่ติดอยู่ที่ด่านนี้ทุกครั้งไป ถ้าไม่ใช่บ้านข้าร่ำรวย ทั้งบำรุงด้วยยาจำนวนมาก ทั้งปรับร่างกาย ทั้งฝึกฝนวิชาภายนอก เกรงว่าร่างกายคงจะอ่อนแอทรุดโทรมเนื่องจากการฝึกฝนทำให้ร่างกายขาดดุล”

“ความรู้สึกถึงปราณสามารถฝึกฝนคนเดียวได้ไหม” ลู่เซิ่งถามอีก

“เรื่องนี้…ข้าไม่ทราบ แต่ว่าสำนักหลายสำนักล้วนเหมือนกัน ช่วงแรกจะต้องฝึกฝนในสถานที่ที่สำนักกำหนดไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์ หลังเกิดความรู้สึกถึงปราณจึงน่าจะฝึกฝนคนเดียวได้ ทว่าถ้าไม่มีจิตวิญญาณพื้นฐาน พัฒนาการก็จะช้ามาก” อู๋เฉวียนเซิงตอบ

เขาประหลาดใจอยู่บ้าง เรื่องเหล่านี้มันเป็นความรู้ทั่วไปไม่ใช่หรือ พี่ลู่ถามเรื่องพวกนี้มีเจตนาพิเศษหรือเปล่า เขาไม่เข้าใจ

“เข้าใจแล้ว…” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ถ้ามีปัญหาก็มาหาข้าที่พรรคอาทิตย์วสันต์”

“เอ่อ…” อู๋เฉวียนเซิ่งงุนงง จากนั้นก็เห็นลู่เซิ่งหมุนตัวเดินออกจากเรือนไปทันที เขายังอยากถามว่าถึงเวลาจะไปหาอย่างไร พรรคอาทิตย์วสันต์มีคนตั้งมากมาย

ทว่าลู่เซิ่งไม่ให้โอกาสเขาได้ถาม เงาคนเดินไม่เร็วแท้ๆ แต่พริบตาเดียวก็หายไปแล้ว

พอกลับมาถึงพรรคอาทิตย์วสันต์ ลู่เซิ่งก็เริ่มการฝึกฝนปราณอาทิตย์อุทัยอย่างเป็นทางการ

เช้าวันต่อมา เขาก็ไปรวมตัวเรียนคาบเช้าอยู่ข้างหน้าผาร่วมกันกับคนอื่นๆ

……………………………………….