ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 124

ทุกคนเห็นว่าเธอพันแผลเล็ก ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็วางมือ หมอหลวงจึงถามว่า “แล้วบาดแผลที่เหลือไม่พันแล้วหรือ?”

จื่ออานส่ายหน้า “บาดแผลใหญ่ ๆ พวกนี้ต้องรอสักครู่หนึ่ง ข้าต้องเย็บสักหน่อย”

หมอหลวงคิดว่าตนฟังผิดไป “อะไรนะ? เย็บสักหน่อย? จะเย็บอะไร?”

จื่ออานกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะใช้ด้ายอะไร จึงไม่ได้ตอบเขากลับไป

หากเป็นเส้นด้ายธรรมดา คงจะไม่มีความเหนียวแน่พอในการเย็บบาดแผล

เธอคิดอยู่สักพักหนึ่ง ก็เงยหน้าขึ้นตั้งใจว่าจะถามองค์ชายอาน แต่กลับเห็นว่าทุกคนกำลังมองมาที่เธออย่างงง ๆ ราวกับว่ากำลังรอคำตอบของเธออยู่ เธอถึงจะเพิ่งนึกคำถามที่หมอหลวงถามขึ้นมาได้ จึงอธิบายไปว่า “ข้อดีของการเย็บคือช่วยให้บาดแผลสมานกันเร็วขึ้น และป้องกันไม่ให้เลือดไหลออกมา อีกทั้งยังลดโอกาสการติดเชื้อไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น บาดแผลหนึ่งบาดแผล หากไม่มีการเย็บแผล เวลาในการสมานแผลของมันคือสิบวัน แต่หากได้เย็บแผลมันจะใช้เวลาเพียงแค่สี่วันเท่านั้น มันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการสมานแผลได้อย่างเสร็จสมบูรณ์ และยังหลีกเลี่ยงไม่ให้บาดแผลเพิ่มระดับการฉีกออกอีกด้วย…”

เธอหยุดไปครู่หนึ่ง ต่อให้มีการเย็บแผลแผลก็มีโอกาสฉีกออกได้ เฮ้อ เธอพยายามที่จะปรับความรู้สึกของตนเอง แต่พบว่าที่ตนเองวางท่าอย่างดีดูเป็นมืออาชีพนั้น แท้จริงแล้วมันกลับปกปิดความกลัวในใจของเธอไม่ได้เลย

เธอกลัวว่าเขาจะตาย ใจมันก็ร้อนลนไปหมด แล้วตอนที่เธอกำลังจะเปิดปากพูด เสียงมันก็เริ่มสั่นเล็กน้อย “พอจะมีด้ายอะไรที่มันเหนียวสักหน่อยไหม?”

ซูชิงถามออกไปอย่างลองเชิงว่า “จะเย็บบนปากแผลจริง ๆ รึ?”

จื่ออานพยักหน้าอย่างลวก ๆ “ใช่”

เธอไม่อยากจะไปอธิบายอะไร การพ่นคำศัพท์ที่เป็นคำเฉพาะทางแบบนั้นออกมา มีแต่จะทำให้เธอตื่นเต้น

อาการบาดเจ็บที่สาหัสขนาดนี้ แม้ว่าจะเป็นยุคปัจจุบันที่มียารักษาหรือเครื่องมือที่ทันสมัย ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตได้

ตอนนี้เธอกำลังพยายามอย่างมาก แต่แม้แต่ความหวังเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็มองไม่เห็นเลย

เธอไม่กล้ามองตาพวกเขา หรือบางทีผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์อาจคิดว่าเธอสามารถช่วยชีวิตเขาได้ เพราะวิธีการจัดการกับบาดแผลได้อย่างเป็นธรรมชาติของเธอ อาจทำให้พวกเขาเห็นถึงความหวัง แต่จื่ออานที่ได้ฟังเสียงหัวใจและเปิดดูม่านตาของเขาแล้ว ความหวังที่ว่าก็ค่อย ๆ ห่างออกไป

เธอทำได้เพียงแต่ขั้นตอนขั้นพื้นฐานที่สุดเท่านั้น ก็คือห้ามเลือดเย็บแผลแล้วก็พันแผล และจากนั้นก็จะทำได้เพียงแค่เฝ้ามองชีวิตของเขาค่อย ๆ จากไปอย่างช่วยอะไรไม่ได้

ผู้คนที่อยู่ที่นั่นต่างก็เงียบกันไปครู่หนึ่ง แล้วองค์ชายอานก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ใช้เส้นไหมแล้วกัน”

จื่ออานพยักหน้า “ได้เพคะ”

แท้จริงแล้วทักษะการเย็บในยุคโบราณก็มี แต่จื่ออานไม่รู้ว่าทีนี่กลับไม่รู้เรื่องทักษะการเย็บแผลเลย เห็นได้ชัดว่าทักษะทางการแพทย์ที่นี่ค่อนข้างล้าหลังเลยทีเดียว

ตอนที่เธอเรียนแพทย์แผนจีนในยุคปัจจุบัน เธอรู้ดีว่าเครื่องมือการเย็บแผลอันแรกพบจาก “ตำราทั่วไปเรื่องสาเหตุและอาการของโรค เรื่องสภาวะการเกิดแผลในลำไส้” ของราชวงศ์จิ้น แล้วก็เคยจดบันทึกทักษะการเย็บแผลภายนอกเอาไว้คร่าว ๆ การใช้น้ำเกลือฆ่าเชื้อ ฯลฯ ที่ “โรคทั้งห้าสิบสองประการ” มักจะมีบันทึกเอาไว้อย่างละเอียด

แม้จะพูดว่าทักษะการเย็บแผลไม่ได้มีการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย แต่ในฐานะหมอ ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะไม่เคยได้ยิน

สมัยก่อนจะใช้เปลือกของหม่อนในการเย็บแผล หรือไม่ก็เส้นใยป่าน ส่วนเส้นไหมนาน ๆ ครั้งจึงจะมี แต่จื่ออานมีแนวโน้มที่จะใช้เส้นไหม เพราะง่ายต่อการบิด

หลังจากที่ได้เส้นไหมมา จื่ออานก็สั่งให้คนไปเอาเข็มเย็บแผลที่ใหญ่ที่สุดมา

เมื่อเห็นอุปกรณ์ทางการแพทยพวกนี้แล้ว ในหัวจื่ออานก็มีความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างหนักหน่วง

ถึงแม้ว่าเธอจะมีแหวนแห่งจิตวิญญาณ แต่กับเรื่องการบาดเจ็บภายนอกที่สาหัสขนาดนี้ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น

สิ่งที่ใช้ได้เพียงสิ่งเดียวก็คือ เข็มและยาเท่านั้น

ขั้นตอนการเย็บแผลนั้นทั้งยาวนานและลำบาก แม้แต่ผู้ช่วยคนเดียวเธอก็ไม่มี หรือแม้กระทั่งจะใช้สำลีเช็ดเลือดก็ต้องทำเอง