ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 123

จื่ออานขณะช่วยชีวิต พลางหันไปสั่งหมอหลวง “รีบไปเตรียมยาขาว เทลงไปก่อน แล้วค่อยเตรียมกุยลู่ทัง เพื่อใช้สำหรับผลิตเลือด เพิ่มตี้หวางทังเข้าไป จากนั้นผสมให้เข้ากันแล้วเอามาให้ข้า”

หมอหลวงลังเลครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “เกรงว่าจะไม่มีประโยชน์แล้ว”

“รีบไป!” จื่ออานตะโกนใส่เขาด้วยโทนเสียงที่เปลี่ยนไป เธอไม่สามารถปล่อยให้มู่หรงเจี๋ยตายได้ มู่หรงเจี๋ยเป็นที่พึ่งเดียวของเธอ อย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นแบบนั้น

องค์ชายอานคว้าคอเสื้อของหมอหลวงคนนั้นเอาไว้แน่น “ทำตามคำสั่งของนาง”

“พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ!” หมอหลวงรีบไปทันที

มู่หรงจ้วงจ้วงเห็นว่าจื่ออานไม่กลัวเลือดและบาดแผล นางค่อย ๆ จัดการไปตามขั้นตอน และยังสามารถออกคำสั่งให้หมอหลวงทำอะไรได้เป็นขั้นเป็นตอน เมื่อเห็นใบหน้าที่หนักแน่นและเด็ดเดี่ยวของนาง ไม่รู้เพราะอะไร อยู่ ๆ ในใจก็เกิดเบาใจขึ้นมา

ดินปืนที่ซูชิงหามาได้มีไม่มาก ทั้งหมดล้วนเอามาจากประทัดทั้งนั้น

จื่ออานนำดินปืนมาวางไว้บนบาดแผลที่เป็นพิษ จากนั้นนำไฟมาลน และหลังจากที่เปลวไฟดับไป เลือดตรงบาดแผลก็ไม่มีแล้ว ซูชิงเข้าใจและปิดปากของตนไปในทันที แบบนี้พิษที่อยู่บนบาดแผลของผิวชั้นนอกก็ไม่มีทางไหลเข้าไปได้

หญิงนางนี้ ช่างมีปัญญายิ่งนัก

บนสนามรบ บางครั้งเวลาบาดเจ็บก็ให้ใช้ดินปืนลนสักหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าประโยชน์ของมันมีไว้ห้ามเลือด แต่คิดไม่ถึงว่าดินปืนยังมีฤทธิ์ช่วยล้างพิษอีกด้วย

หลังจากที่ทำความสะอาดบาดแผลบนร่างกายแล้ว ถึงจะค่อย ๆ ตรวจดูบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ บนใบหน้าและแขน

โชคดีที่บาดแผลบนมือไม่มีตรงไหนที่กระดูกหักหรือเส้นเอ็นอักเสบ แค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น ซึ่งจัดการได้ไม่ยาก

ยาขาวถูกกรอกลงไปพร้อมกับน้ำอุ่น แต่กรามของเขาแน่นมาก จนเกือบจะไม่สามารถกรอกลงไปได้

จื่ออานต้องประคองหัวเขาขึ้นมา จากนั้นให้ซูชิงง้างฟันของเขาออกแล้วจึงสามารถกรอกใส่ลงไปได้

เสียงจากข้างนอกดังมาก ล้วนมาจากตอนที่หมอหลวงกำลังรักษาแล้วออกคำสั่งให้บ่าวรับใช้ไปทำงาน

หลังจากที่กินยาขาวไปแล้ว ต้องรอเวลาสักหน่อยจึงจะสามารถดื่มกุยลู่ทังตามลงไปได้

จื่ออานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เตียง เริ่มลงมือโรยผงห้ามเลือด การสกัดจุดจะใช้เวลามากเกินไปไม่ได้ ฉะนั้นจึงต้องใช้ผงห้ามเลือดโรยลงบนบาดแผลก่อน

และก็จะดึงเข็มออกมาทีเดียวไม่ได้ ต้องดึงออกตามขั้นตอนทีละอันทีละอัน เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้ดึงเข็มออกมาพร้อมกัน มิเช่นนั้นเลือดในร่างกายจะไหลย้อนกลับออกมาทางบาดแผล ถึงต้องนั้นก็จะหมดหนทางห้ามเลือด และเลือดในร่างกายก็จะระบายออกมาเช่นกัน

หมอหลวงเห็นว่าจื่ออานฝังเข็มได้อย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อมองลึกเข้าไปในสายตาก็รู้สึกนับถือนางขึ้นมา

หลังจากดำเนินการฝังเข็มเสร็จ เธอก็ตรวจดูปริมาณเลือดที่ออก โชคดีที่ไม่มีเลือดอะไรไหลออกมา และประสิทธิภาพของผงห้ามเลือดเองก็ออกฤทธิ์ให้เห็นอย่างชัดเจน เธอจึงเริ่มพันแผลอย่างเบามือ

เนื่องจากอากาศร้อนจัด เวลาพันแผลจึงต้องทายาฆ่าเชื้อ และก็จะต้องหมั่นเปลี่ยนผ้าพันแผล มิเช่นนั้นอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย

บริเวณที่มีบาดแผลใหญ่เธอไม่ได้พันแผลเอาไว้ เพราะเดี๋ยวเธอยังต้องทำการเย็บ บาดแผลที่ทั้งใหญ่และยาวขนาดนั้น หากไม่เย็บเอาไว้จะนำมาซึ่งผลกระทบที่ร้ายแรง หรือเกิดการติดเชื้อที่บาดแผลได้

เทคนิคการพันแผลของเธอนั้นดูชำนาญการ แม้แต่หมอจากสำนักฮุ้ยหมินมองแล้วยังแอบประหลาดใจ เทคนิคที่เชี่ยวชาญแบบนี้ อย่างน้อยต้องเป็นหมอที่ชำนาญการแพทย์ด้านการพันแผลมากว่าสิบปีถึงจะทำได้

แต่แม่นางผู้นี้ที่ดูเหมือนจะสิบห้าสิบหกปี โดยเฉพาะการฝังเข็มห้ามเลือดและฆ่าเชื้อที่ทำไปทั้งหมดเมื่อครู่นี้ นางสามารถทำทั้งหมดให้เสร็จในคราเดียวกัน และเผชิญกับผู้ป่วยที่อาการสาหัสได้โดยที่นางไม่มีสีหน้าท่าทีว่ากลัวหรือเป็นกังวลเลย ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นองค์ชายผู้สำเร็จราชการแทน ถึงวิตกกังวลมากเป็นพิเศษ

ซูชิงเมื่อเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเช่นกัน ดูเหมือนว่านางจะทึกทักเอาเองว่าตนเป็นหมอหลวง ว่าหมอจริง ๆ ก็ควรจะเป็นแบบนี้

องค์ชายอานยืนอยู่ข้าง ๆ มาโดยตลอด แต่เขาก็ไม่ได้ดูวิธีการที่จื่ออานจัดการกับบาดแผล เขาได้แต่จ้องที่มู่หรงเจี๋ยตลอด ราวกับว่าคอยนับลมหายใจของเขาว่าจะมีขึ้นมาไหม มีบางช่วงที่หายใจออกนาน แต่ไม่มีลมหายใจเข้าอีก สีหน้าขององค์ชายอานจึงเกร็งตึงขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอมีลมหายใจเข้า เขาก็โล่งใจ

เป็นอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา ช่างทรมานเหลือเกิน