“หืม…”
เหล่าขุนนางที่ชมอยู่ทั้งหลายต่างแสดงออกว่าอึ้งทึ่งไปหมดแล้ว พวกเขาต่างหลงคิดว่าชั่วชีวิตจะไม่ได้เห็นองค์ชายสี่คุกเข่าเสียอีก
คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะยอมคุกเข่าลงเพื่อแต่งงานกับเยี่ยเม่ย
เสน่ห์ของแม่นางเยี่ยเม่ยมากเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!
ในขณะนี้เองน้ำเสียงน่าฟังของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนค่อยๆ กล่าวว่า “เสด็จพ่อ หากทรงอนุญาต ภายหน้าลูกรับปากว่าจะตั้งใจทำงานเพื่อพระองค์ แต่หากไม่รับปากล่ะก็…”
ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ แววตาของเขาทอประกายมารสีแดง ทำเอาคนทั้งหมดเห็นอายสังหารลอยไปทั่ว น้ำเสียงน่าฟังคมกริบขึ้นไม่น้อย “เช่นนั้นวันนี้ คนในท้องพระโรงจะมีชีวิตรอดออกไปมากน้อยเท่าไร ลูกก็ไม่กล้ารับประกันแล้ว!”
เขาเอ่ยเช่นนี้นับว่าใช้ผลประโยชน์ข่มขู่ชัดเจน
เมื่อมีผู้ช่วยอย่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สำหรับฮ่องเต้แล้วนับว่าเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งยวด แต่หากไม่ตกลง ดีไม่ดีวันนี้อาจต้องมีคนตาย
เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างแสดงออกว่าหวาดกลัวมาก
ไม่สนใจอย่างอื่นอีก คนที่ขวัญอ่อนจำนวนไม่น้อยล้วนเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อองค์ชายสี่มีความจริงใจ เช่นนั้นก็เห็นแก่ความจริงใจ ฝ่าบาททรงพิจารณาเลือกองค์ชายสี่เถอะพ่ะย่ะค่ะ!”
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว หัวใจกลับเย็นวาบ
หากฮ่องเต้ตกลงแล้ว นางก็ต้องแต่งให้เขาจริงๆ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะต้องทำตามที่เอ่ยในวันนี้ ภายหน้าเชื่อฟังคำสั่งของฮ่องเต้ นั่นไม่ได้หมายความต่อไปพวกนางจะต้องเป็นศัตรูกันอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วหรือ
คิดถึงตรงนี้ นางรีบเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีคนในดวงใจแล้ว!”
ยามนางเอ่ยออกมา ทั่วทั้งท้องพระโรงสงบเงียบลง
อ่านนิยาย
มือที่อยู่ในแขนเสื้อของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกำแน่น ในที่สุดนางก็ยอมปริปาก เดิมทีเขาคิดว่านางจะไม่พูดแล้ว อาจหมายความว่านางไม่ได้ชอบกูเยว่อู๋เหินขนาดนั้น จากนั้น…
เป่ยเฉินอี้หัวใจกระตุกเช่นกัน
หลายวันนี้ เยี่ยเม่ยมักไปไหนมาไหนกับกูเยว่อู๋เหินเสมอ ต่อให้หลังจากจิ่วหุนกลับจากเมืองหลวงแล้ว ก็ไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับเยี่ยเม่ยเช่นนี้มาก่อน ไม่ใช่เขาไม่เคยคิดว่าเยี่ยเม่ยชอบกูเยว่อู๋เหินแล้วใช่ไหม
ยามนี้ดูรูปการณ์แล้ว…
คราวนี้เซี่ยโหวเฉินที่ยืนชมละครฉากสนุกอยู่ด้านข้าง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปแข็งค้าง
มีคนในใจแล้ว?
อีกอย่างสตรีนางหนึ่งเอ่ยออกมากลางท้องพระโรงอย่างไม่ปิดบัง…นี่เป็นเรื่องที่เซี่ยโหวเฉินไม่คาดคิดมาก่อน ก็ถูก เขาจะใช้มุมมองของสตรีทั่วไปมาประเมินเยี่ยเม่ยได้อย่างไร
เยี่ยเม่ยย่อมไม่ใช่คนประเภทขัดเขินไม่กล้าเอ่ยปาก หรือว่าไม่กล้าเอ่ยปาก ปล่อยให้พวกเขาประทานสมรสให้
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
หากคนในใจของเยี่ยเม่ยเป็นหนึ่งในเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือเป่ยเฉินอี้ พระองค์ก็ประทานสมรสได้ราบรื่นแล้ว ทั้งยังเรียกว่าพอฝืนบรรลุเป้าหมายไปได้ หลังจากนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเป่ยเฉินอี้ต้องต่อสู้กันไม่หยุดอย่างแน่นอน แต่หากคนผู้นี้…
ไม่ใช่หนึ่งในบรรดาพวกเขา หรือว่าเป็นเสินเซ่อเทียน พระองค์สมควรจัดการเช่นไร
คงไม่อาจตามใจเยี่ยเม่ย
เมื่อดำริดังนี้ สีพระพักตร์ก็แข็งขืนไปเล็กน้อย กลับทอดพระเนตรเยี่ยเม่ย ตรัสว่า “เหอซั่วอ๋องมีคนในใจแล้ว เพียงแต่คนผู้นี้คู่ควรเจ้าหรือไม่ ข้าคิดว่าอี้อ๋องหรือ องค์ชายสี่น่าจะเหมาะกับเจ้ามากกว่า!”
เมื่อเอ่ยออกมา
ขันทีผู้หนึ่งพลันเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท ประมุขแห่งหมู่ตึกกูเยว่ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
คนทั้งหลายพากันตะลึงงัน
ทุกคนย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงของหมู่ตึกกูเยว่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังขจรขจายในยุทธภพ กูเยว่อู๋เหินเรียกได้ว่าเป็นผู้นำ แต่ว่าในราชสำนักกับยุทธภาพไม่เกี่ยวข้องกัน ในเวลานี้ เขากลับมาขอเข้าเฝ้า…
จงซานได้ยินดังนี้ กลับรู้สึกว่ากูเยว่อู๋เหินนับเป็นตัวเลือกที่มาคลี่คลายสถานการณ์ได้ดีที่สุด
ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบเอ่ยกับฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท กูเยว่อู๋เหินเป็นเป็นผู้นำยุทธภพ ถึงตัวเขาจะไม่ยอมรับ แต่ว่าชาวยุทธฝ่ายธรรมะต่างเชื่อฟังเขา ในเมื่อเขาขอเข้าเฝ้า กระหม่อมคิดว่าก็ควรไว้หน้าเขาบ้าง อย่างไรเสียหากราชสำนักกับยุทธภพแตกหักกัน ก็ไม่ใช่เรื่องน่าชมเท่าไรนักพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อเขาเสนอเหตุผล ฮ่องเต้ก็ทรงรับคำ “ขุนนางรักกล่าวมีเหตุผล ให้เขาเข้ามาเถอะ!”
สิ้นพระสุรเสียง ขันทีน้อยก็รีบออกไปถ่ายทอดรับสั่ง
เวลานี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหันมองเยี่ยเม่ย ดวงตาคู่ร้ายของเขาคล้ายต้องการมองผ่านใบหน้านางทะลุลงไปถึงความคิดในหัวใจ ทั้งอยากมองออกว่า…นางต้องการแต่งกับกูเยว่อู๋เหินจริงหรือไม่
ฮ่องเต้พระทัยระส่ำราวกลองระรัว
แต่ก่อนหน้านี้พระองค์ได้รับข่าวว่ากูเยว่อู๋เหินกับเยี่ยเม่ยมีความสันพันธ์สนิทสนมกันเป็นพิเศษ หรือว่ากูเยว่อู๋เหินก็มาเพราะงานแต่งงานของเยี่ยเม่ยเช่นกัน
หากเป็นเช่นนั้นจริง…
ฮ่องเต้ทรงแอบคิดว่า หากคนที่เยี่ยเม่ยชอบคือกูเยว่อู๋เหินก็ช่างเถิด ต่อให้หลุมพรางที่วางไว้ให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเป่ยเฉินอี้ไม่สำเร็จ ก็อยู่ที่ฟ้าลิขิตแล้ว พระองค์รีบประทานสมรส ไม่ให้เรื่องตกไปอยู่ที่เสินเซ่อเทียนก็พอ
ไฉนจงซานจะมองความคิดของฮ่องเต้ไม่ออก เขาอยู่ในราชสำนักมาสี่ปี จะคาดเดาความในใจของฮ่องเต้ไม่ได้ได้อย่างไร
ดังนั้นเขารู้ว่า ขอเพียงเขาทูล ฮ่องเต้ต้องเรียกตัวกูเยว่อู๋เหินเข้าพบแน่ ฮ่องเต้หาได้ผิดกับการคาดเดาของเขาเลย
ในเวลานี้กูเยว่อู๋เหินเข้ามาแล้ว
หลังจากเข้ามาถึง เขากวาดตามองสถานการณ์ในที่นี้ จากนั้นเอ่ยว่า “ได้ยินว่าตอนนี้กำลังหารือถึงงานแต่งงานของเหอซั่วอ๋อง ถึงแม้ข้าจะเป็นเพียงสามัญชน แต่ก็ยังจำเป็นต้องขอเข้าเฝ้าแล้ว”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบมาก แต่ความหมายของคำพูดนี้กลับทำให้คนทั้งหลายตกใจ
จริงด้วย กูเยว่อู๋เหินก็เป็นแค่คนธรรดา จู่ๆ ในท้องพระโรงถกเรื่องงานแต่งาน อี้อ๋องรู้ได้อย่างว่องไวก็รีบมาทันทีนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด อย่างไรเขาก็เป็นท่านอ๋อง มีหูตาอยู่ในวังบ้างก็ปกติ
แต่กูเยว่อู๋เหินก็แค่สามัญชน เขารู้เรื่องที่ในวังกำลังถกเรื่องงานแต่งได้อย่างไร
นี่มิได้หมายความว่ากูเยว่อู๋เหินเองก็มีหูตาอยู่ในวังอย่างนั้นหรือ
คิดได้เช่นนี้ ฮ่องเต้ก็ระวังขึ้นมา สายตาที่มองกูเยว่อู๋เหินก็ไม่เป็นมิตร แต่กูเยว่อู๋เหินเอ่ยด้วยเสียงเรียบว่า “สามัญชนอย่างข้าน้อยไม่สนใจเรื่องการเมือง เรื่องในยุทธภพยังคร้านจะใส่ใจ เพียงแต่เรื่องของคู่หมั้น ไม่อาจไม่ใส่ใจ ขอฝ่าบาททรงประทานอภัยด้วย”
คำพูดนี้ก็บอกอย่างชัดเจนแล้ว ถึงในวังมีคนของเขาอยู่ แต่หาได้คิดสนใจต่อบัลลังก์อำนาจ
เมื่อลองคิดก็ไม่ผิดเลย คนในยุทธจักรของเขาเข้าเป็นจ้าวยุทธภพ เขายังคร้านจะเป็น โอกาสที่สนใจบัลลังก์ก็มีน้อยเต็มที
ฮ่องเต้ตรัสถามว่า “ไม่ทราบว่าคู่หมั้นที่เจ้าหมายถึงคือ…”
กูเยว่อู๋เหินมองขลุ่ยหยกโลหิตที่เอวเยี่ยเม่ย อธิบายว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยรับขลุ่ยหยกโลหิตไปแล้ว นั่นคือของที่เป็นเหมือนสัญญาใจ หากฝ่าบาทคิดจะประทานสมรส ก็ไม่ควรแยกคู่รักออกจากกัน”
คนทั้งหมดตระหนักได้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง!
ส่วนในเวลานี้ เสินเซ่อเทียนก็เอ่ยขึ้นบ้างว่า “ทำไม แต่นางก็รับป้ายประจำตัวของข้าไปแล้ว นั่นก็คือของขวัญขอแต่งงานเช่นกัน”