ฮ่องเต้ “…”

 

 

พระองค์รู้สึกว่าวันนี้ช่างโชคร้ายนัก !

 

 

เสินเซ่อเทียนมอบของหมั้นหมายให้เยี่ยเม่ย ไฉนพระองค์ถึงไม่รู้เรื่องเลย ทำไมถึงไม่มีใครบอกพระองค์ ยามนี้พระองค์คิดเอามีดแทงเยี่ยเม่ยสักทีหนึ่งด้วยซ้ำแล้ว

 

 

ตอนนี้พระองค์เริ่มเข้าใจวังหลังของตนขึ้นมาบ้างแล้ว เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานลงมือฆ่าคนได้โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ ที่แท้ก็เพราะมีบางครั้งที่ทำให้คนเกิดความรู้สึกอยากสังหารใครขึ้นมาจริงๆ

 

 

เหล่าขุนนางที่ชมดูอยู่ ได้แต่อ้าปากตาค้าง

 

 

นี่มันละครฉากไหนกันแน่

 

 

บุรุษรูปงามโดดเด่นทั้งสี่คนแย่งกันแต่งกับเยี่ยเม่ยในเวลาพร้อมๆ กัน ต่อให้นางทรงเสน่ห์มาก แต่พวกเขาทำถึงขั้นนี้ ไม่ใช่เกินไปหน่อยหรือ

 

 

หรือว่าพวกเขาไม่ได้ฟังข่าวลือที่เกี่ยวกับเยี่ยเม่ยในช่วงนี้กัน เป็นต้นว่า…ใครได้ครอบครองเยี่ยเม่ยเท่ากับครอบครองใต้หล้าอะไรพวกนี้

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้เหล่าขุนนางก็ได้แต่ร้องระงมอยู่ในใจ

 

 

หรือว่าการรับข่าวสารของพวกเขาไม่ทั่วถึงแล้ว

 

 

แต่ว่า…

 

 

ในเวลานี้มีใครพอจะชี้แนะเขาหน่อยได้หรือไม่ว่า ไฉนแม่นางผู้หนึ่งอย่างเยี่ยเม่ย อยู่ดีๆ ถึงได้รับของหมั้นหมายจากบุรุษสองคนได้เล่า

 

 

ในเวลานี้เอง สายตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเหลียวมองเยี่ยเม่ย

 

 

เขารู้เพียงแค่ว่าเสินเซ่อเทียนคิดแย่งสตรีกับเขา ทว่าเขาไม่รู้ว่าเยี่ยเม่ยรับป้ายประจำตัวของอีกฝ่ายไปตั้งแต่ตอนไหน

 

 

ครั้นเห็นสายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ในใจเยี่ยเม่ยก็จนคำพูด

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่นะ!

 

 

เป่ยเฉินอี้เองก็ทนไม่ไหวมองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง เขาก็ไม่เข้าใจว่าเยี่ยเม่ยรับของหมั้นมาหลายชิ้นเพื่ออะไร

 

 

เยี่ยเม่ยในฐานะเจ้าเรื่อง ในใจนอกจากความอึ้งแล้ว ก็อยากสบถว่ามารดามันเถอะ!

 

 

หลังจากฮ่องเต้กระตุกมุมปากไป ก็ตรัสว่า “ในเมื่อคุณชายกูเยว่มาแล้ว ไม่สู้เหอซั่วเจ้าลองบอกมาว่า คนที่อยู่ในดวงใจเจ้าที่แท้แล้วคือใครกันแน่ ข้ารู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นอี้อ๋อง องค์ชายสี่ หรือว่าประมุขกูเยว่ล้วนเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย!”

 

 

ฮ่องเต้กลับเอ่ยถึงคนทั้งสามออกมาหมด แต่ไม่ตรัสถึงเสินเซ่อเทียนเด็ดขาด

 

 

เหล่าขุนนางในท้องพระโรงที่พอรู้ความก็เข้าใจว่าเรื่องอะไร แต่พวกที่ไม่ระแคะระคาย ยามนี้ก็เริ่มสงสัยว่า ฝ่าบาททรงมีอคติกับจวินซ่างหรือไม่ ดูสิ…

 

 

คนทั้งสี่ต่างก็ชอบเยี่ยเม่ย ฝ่าบาททรงสนับสนุนทุกคน เว้นเสียแต่จวินซ่าง นี่ยังไม่เรียกว่ามีอคติอีกหรือ

 

 

เสินเซ่อเทียนฟังคำของฮ่องเต้ก็ไม่เอ่ยอันใด

 

 

แววตาเจือรอยยิ้มกวาดมองเยี่ยเม่ย ความจริงเขารู้อยู่ในใจ การขอแต่งงานในวันนี้จะเป็นการผลักไสให้เยี่ยเม่ยไปอยู่ในตำแหน่งที่อันตราย ฮ่องเต้จะมีอคติกับนางเพราะเรื่องนี้ อาจถึงขั้นเกิดความคิดสังหารนางด้วย

 

 

แต่ว่าเมื่อเอ่ยมาถึงเรื่องแต่งงานแล้ว เขาไม่อาจเงียบต่อไป

 

 

นับตั้งแต่แรกเสนอให้แต่งตั้งเยี่ยเม่ยเป็นอ๋อง ก็เพื่อมอบฐานะเช่นนี้ให้กับนาง เช่นนั้นเขาเอ่ยปากขอแต่งงานได้ เพียงคิดไม่ถึงว่า คนพวกนี้ต่างก็ร่วมสนุกด้วย

 

 

เยี่ยเม่ยเงียบไปชั่วครู่

 

 

ในที่สุดก็ถอนหายใจ ค้อมเอวลงตอบว่า “ฝ่าบาท ขอให้หม่อมฉันใคร่ครวญสักสองสามวันก่อน เรื่องนี้กะทันหันเกินไปแล้ว ส่วนทุกท่าน…ต่างก็เป็นบุรุษโดดเด่น ข้ายากจะเลือกได้ในทันที ขอให้ฝ่าบาททรงอภัยด้วย!”

 

 

เมื่อนางเสนอ ขุนนางทั้งหลายพากันพยักหน้า

 

 

จริงด้วย

 

 

เปลี่ยนเป็นใครมายืนจุดเดียวกับเยี่ยเม่ย ในเวลาชั่วครู่นี้ก็ยากจะเลือกคนคนหนึ่งออกมาได้กระมัง อย่างไรเสียแต่ละคนล้วนโดดเด่นทั้งสิ้น อีกทั้งหากเลือกผิดแล้ว ยังไม่รู้ว่าเยี่ยเม่ยจะต้องเผชิญกับชีวิตเช่นไร ดังนั้นเวลานี้ทุกคนต่างก็เข้าใจความรู้สึกของนาง

 

 

ฮ่องเต้ทรงเงียบไปเล็กน้อย มองชายงามแต่ละคน ก็ตรัสถาม “พวกเจ้าเห็นว่าอย่างไร”

 

 

คนทั้งหลายตอบ “ยินดีรอเหอซั่วใคร่ครวญ!”

 

 

ในเรื่องนี้ ทุกคนต่างมีความเห็นตรงกัน

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้ดีว่า คนที่เยี่ยเม่ยอยากเลือกมากที่สุดสมควรเป็นกูเยว่อู๋เหิน ดังนั้นทันทีที่นางลังเล กลับหมายความว่าเขายังมีโอกาส

 

 

เป่ยเฉินอี้เข้าใจว่าหากบีบให้เยี่ยเม่ยเลือกออกมาในยามนี้ นางแค้นเขา ย่อมไม่เลือกเขา ดังนั้นหลังจากออกจากท้องพระโรง เขาต้องลอบคุยกับเยี่ยเม่ยเป็นการส่วนตัวเสียก่อน

 

 

กูเยว่อู๋เหินรู้ชัดว่า เยี่ยเม่ยชอบเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ดังนั้นนางจำเป็นต้องใช้เวลาใคร่ครวญถึงปล่อยวางได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาย่อมไม่ควรบีบคั้นเกินเหตุ

 

 

ฝ่ายเสินเซ่อเทียน…

 

 

หากตอนนี้เขายืนยันจะบีบคั้นงานแต่งขึ้นมา บางทีฝ่าบาทอาจพิโรธจนถึงขั้นสั่งประหารเยี่ยเม่ย

 

 

อย่างไรเสียเขาก็เข้าใจนายเหนือหัวของตนดี

 

 

ครั้นเอ่ยถึงเวลานี้ สายพระเนตรก็ขรึมลง ตรัสว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้เจ้ากลับไปคิดสักหน่อย อีกสามวันต้องให้คำตอบข้า!”

 

 

ฮ่องเต้ตรัสต่อว่า “เยี่ยเม่ย เชื่อว่าเจ้าน่าจะเข้าใจความหมายของข้า ข้าคิดว่าองค์ชายสี่ อี้อ๋อง รวมถึงประมุขกูเยว่ล้วนเหมาะสมกับเจ้ามาก”

 

 

เมื่อประโยคนี้เอ่ยซ้ำขึ้นมาอีก คนทั้งหลายต่างฟังออกถึงแววตักเตือน

 

 

เยี่ยเม่ยหัวใจสั่นไหว เงยหน้ามองสีหน้าอึมครึมของฮ่องเต้ นางไม่เข้าใจความหมายเขาได้ในทันที นี่หมายความว่าอย่างไรกัน

 

 

กำลังจะบอกว่า ห้ามไม่ให้นางสนใจเสินเซ่อเทียนอย่างนั้นหรือ

 

 

เพราะอะไร

 

 

เพราะว่าเสินเซ่อเทียนเป็นเสมือนเกราะกำบังราชสำนัก ฮ่องเต้ฝากภาระหนักอึ้งไว้กับเขา ทั้งเชื่อเขามาก จึงไม่อยากให้นางพาเขาเสียคนหรือ

 

 

คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง…

 

 

สีหน้าของฝ่าบาทมิใช่กังวลใจ แต่เป็นดำคล้ำ ไม่น่าดูชมมากนัก ไม่ใช่กังวลว่าคนที่พระองค์ไว้วางใจจะถูกนางพาให้เสียคน แต่เหมือนสายตาของศัตรูหัวใจ…

 

 

เยี่ยเม่ยใจเต้นโครมครามอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หรือว่านางต้องกลับไปอ่านนิยายวายสักหน่อยถึงมั่นใจในความคิดของฮ่องเต้ได้ ใช่ความรู้สึกแปลกพิกลแบบที่นางคิดใช่หรือเปล่า

 

 

สายตาเยี่ยเม่ยลุ่มลึกลง เสินเซ่อเทียนย่อมมองออก

 

 

ไม่อาจไม่บอกว่า ในเวลานี้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นอย่างยิ่ง ถึงฮ่องเต้จะตกหลุมรักอยู่ฝ่ายเดียว แต่เมื่อถูกเยี่ยเม่ยจับได้ ในฐานะบุรุษหากบอกว่าไม่อึดอัดเลยก็เป็นไปไม่ได้

 

 

เขาเอ่ยปากว่า “ในเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยอยากใคร่ครวญ ก็ให้นางไปคิดดูเถอะ ฝ่าบาทอย่าได้กังวลพระทัยเลย”

 

 

คราวนี้ จงซานมองเสินเซ่อเทียนทีหนึ่ง

 

 

ความหมายของเสินเซ่อเทียนคือ คิดจะขัดพระทัยฝ่าบาทแล้วหรือ ดังนั้นเขาจริงจังกับเยี่ยเม่ยแล้ว? หากเป็นเช่นนี้จริงก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่

 

 

เมื่อเสินเซ่อเทียนเอ่ยจบ สีพระพักตร์ก็ยิ่งถมึงทึงลงไปอีก แทบเรียกได้ว่าเหมือนดมกลิ่นอาจม

 

 

เยี่ยเม่ยมองพระพักตร์ฮ่องเต้ ถึงนางเกลียดแค้นคนผู้นี้มาก แต่ก็จนใจไม่รู้ควรจัดการอย่างไร

 

 

นางเพียงเอ่ยว่า “หม่อมฉันเข้าใจแล้ว หลังจากนี้สามวันจะมาให้คำตอบกับฝ่าบาทในท้องพระโรง!”

 

 

“อืม” ฮ่องเต้ทรงรับคำหนึ่ง คล้ายกับอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก

 

 

หลังจากนั้น ฮ่องเต้ก็เริ่มตกรางวัลให้แม่ทัพคนอื่นๆ ก่อนจะบอกว่าให้เลิกประชุมได้ แล้วเสริมอีกประโยคว่า “เสินเซ่อเทียนอยู่ก่อน!”