คนทั้งหมดล้วนจากไป
เหลือเพียงแค่เสินเซ่อเทียนคนเดียวที่ยังอยู่ในท้องพระโรง สำหรับเสินเซ่อเทียน เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในการคาดเดาของเขา
ฮ่องเต้ทรงตวัดพระเนตรมองขันทีข้างกาย
ขันทีรีบจัดการนำบ่าวไพร่ทั้งหมดออกไป หลังจากออกไปแล้วก็ปิดประตูให้ด้วยความรอบคอบ
เสินเซ่อเทียนยืนอยู่หน้าพระพักตร์ด้วยท่าทางพินอบพิเทา เขาค้อมเอวเล็กน้อย ลมพัดปอยผมกลุ่มหนึ่งของเขายิ่งขับเน้นความสูงส่งดุจดังเทวา
ฮ่องเต้ทรงจับตามองเขา เพลิงโทสะโหมลุกขึ้นเป็นระลอกๆ ไม่อาจสะกดไว้ได้
พระองค์ตรัสถามด้วยเสียงเย็นชา “เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“ฝ่าบาททรงหมายถึง?” เสินเซ่อเทียนจงใจถามทั้งที่รู้
พระสุรเสียงยิ่งดุร้ายลงไปอีก “เจ้ารู้ว่าข้ากำลังถามถึงเรื่องอะไร! เสินเซ่อเทียน เจ้ากับเยี่ยเม่ยสรุปแล้วมีความสัมพันธ์อันใดกันหรือไม่ มิน่าเจ้าถึงปกป้องนางต่อหน้าข้า บอกว่านางไม่มีใจคิดคด พอตอนนี้คิดดูแล้ว เจ้าคิดอะไรกับนาง ดังนั้นจึงเกิดความลำเอียง!”
“ฝ่าบาททรงคิดมากไปแล้ว!” เสินเซ่อเทียนก้มหน้าลง เอ่ยด้วยความนอบน้อม “การตัดสินเรื่องของเยี่ยเม่ยกับความรู้สึกดีๆ ที่มีให้นางเป็นคนละเรื่องกัน”
ครั้นเสินเซ่อเทียนตอบ สีพระพักตร์ก็ค่อยๆ สงบลง
พระองค์ทรงใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็ค่อยเข้าใจว่า เสินเซ่อเทียนภักดีต่อพระองค์อย่างแน่นอน ย่อมไม่ทำการตัดสินใจที่มีผลร้ายต่อราชสำนักเป่ยเฉินเพียงเพราะเรื่องส่วนตัว เมื่อคิดได้เช่นนี้ สีพระพักตร์ก็ดีขึ้นไม่น้อย
แต่ว่า…
จุดที่พระองค์โมโหจริงๆ มิใช่เรื่องนี้
ฮ่องเต้ตรัส “เจ้าจริงใจกับนางอย่างนั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ! หวังว่าพระองค์จะเห็นแก่ความจงรักภักดีของข้า ช่วยส่งเสริมความในใจของกระหม่อมด้วย!” เสินเซ่อเทียนเอ่ยพลางก้มหน้าลง
ยามนี้พระพักตร์ฮ่องเต้กลับเย็นชา
หรืออาจบอกได้ว่าสีพระพักตร์เหม็นบูดราวกับได้กลิ่นอาจมสุนัขในตอนแรก เวลานี้ยิ่งทวีความเหม็นเน่าราวกับผสมอาจมของทั้งแมวและสุนัขรวมกัน ไม่น่าชมจนถึงขั้นชวนให้คนสะท้านใจ
สุรเสียงเย็นชาดังขึ้นมาอีกครั้ง “เสินเซ่อเทียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร เจ้าจงใจยั่วโทสะข้าอย่างนั้นหรือ”
“ฝ่าบาท เสินเซ่อเทียนอายุยี่สิบเก้าปีแล้ว หลายปีก่อนตระกูลของข้าถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น คิดว่าฝ่าบาทก็ทรงแจ่มแจ้ง ต่อให้คิดถึงเพียงเรื่องหาผู้สืบทอดวงศ์ตระกูล เสินเซ่อเทียนก็สมควรแต่งงาน!” เสินเซ่อเทียนตอบกลับ เขายังคงก้มหน้าลงด้วยความเคารพ
ฮ่องเต้ทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
สุดท้ายก็ถอนพระทัยออกมา ตรัส “คำพูดของเจ้ามีเหตุผล แต่…เจ้าบอกว่าเจ้าจริงจังกับเยี่ยเม่ย ข้า…”
จุดนี้ต่างหากที่พระองค์ไม่อาจทนได้
อันที่จริงเรื่องที่เสินเซ่อเทียนต้องแต่งงาน พระองค์เตรียมใจเอาไว้นานแล้ว ไม่ว่าจะเร็วขึ้นวันหนึ่งหรือช้าไปอีกวันหนึ่งก็ช่างเถิด อย่างไรก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง หากไม่มีโรคด้านนั้น ก็ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่แต่งภรรยาไปตลอดชีวิต
เพียงแต่หลายปีที่ผ่านมา เสินเซ่อเทียนไม่เคยเอ่ยถึง ฮ่องเต้ก็ตั้งใจละเลยไป ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่มีใครหยิบยกขึ้นมา
ในยามนี้…
เรื่องราวเกิดอย่างกะทันหัน ไม่ใช่ทำเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูลเท่านั้น ยังมีความจริงใจแฝงอยู่ด้วย ฮ่องเต้มิอาจรับได้
เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว เพียงตอบด้วยความเคารพว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมแค่เอ่ยไปตามสัตย์ ไม่อาจหลอกลวงพระองค์!”
ครั้นฮ่องเต้สดับประโยคนี้ โทสะพลันพุ่งพล่าน
สีพระพักตร์เขียวคล้ำถลึงพระเนตรใส่คนตรงหน้า ขบฟันแน่นตรัสว่า “เสินเซ่อเทียน เจ้าไม่กลัวข้าสังหารเยี่ยเม่ยอย่างนั้นหรือ”
“หากฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ มิสู้สังหารกระหม่อมเลยเสียดีกว่า!” เสินเซ่อเทียนยืดตัวตรง แสดงท่าทางยอมตายเพื่อเยี่ยเม่ย
จากนั้น เขายังกล่าวต่ออย่างไม่กลัวตายว่า “ฝ่าบาท พระองค์สมควรทราบอยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็ว วันนี้ต้องมาถึง ฝ่าบาททรงอย่าลืมว่าสิ่งที่เสินเซ่อเทียนมอบให้ท่านได้มีเพียงความภักดีเท่านั้น!”
ฮ่องเต้สีพระพักตร์เขียวคล้ำจับจ้องเสินเซ่อเทียน ไม่ตรัสประโยคที่สองอยู่นาน ในเวลานี้พระองค์กลับเกิดความอยากสังหารคนแล้ว
ฝ่ายเสินเซ่อเทียนกลับยังเสริมต่อว่า “ยังมีอีกจุดหนึ่ง กระหม่อมไม่รู้ว่าเซี่ยโหวเฉินแนะนำอะไรให้ฝ่าบาท แต่ความจริงแล้วการที่พระองค์อนุญาตให้เยี่ยเม่ยกลับไป ให้นางเลือกสามีด้วยตัวเอง เรื่องนี้เป็นการกระทำที่ไม่สมควร!”
เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ ฮ่องเต้กลับมีสีพระพักตร์กลับสู่ความจริงจัง รอฟังประโยคถัดไปของเสินเซ่อเทียน
เสินเซ่อเทียนเอ่ยว่า “ด้วยความสามารถรวมถึงฐานะของเยี่ยเม่ย กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทสมควรให้ความสำคัญกับนาง ดังนั้นในเวลานี้ ไม่ว่านางจะแต่งให้กับเป่ยเฉินอี้หรือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สำหรับฝ่าบาทแล้วเขาทั้งสองล้วนไม่อาจควบคุมได้ง่าย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นความคุกคามใหญ่หลวงยิ่งนัก!”
เมื่อเสินเซ่อเทียนวิเคราะห์ออกมา สีพระพักตร์ฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไปในทันที
ก็ถูก!
ยามพระองค์หารือกับเซี่ยโหวเฉินเพียงคิดว่าจะใช้เยี่ยเม่ยทำให้เป่ยเฉินอี้ต่อสู้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต่อสู้กัน แต่ไม่ได้คิดมาถึงขั้นนี้
“ด้วยเหตุนี้หากเยี่ยเม่ยเลือกกระหม่อมหรือว่ากูเยว่อู๋เหิน ถึงจะปลอดภัยกับฝ่าบาท!” เสินเซ่อเทียนเอ่ยแล้วก็เสริมต่อว่า “หากว่านางเลือกกระหม่อม อย่างนั้นฝ่าบาทก็ไม่ต้องกังวลเรื่องจุดยืนหลังแต่งงานของนาง หากเลือกกูเยว่อู๋เหินที่เป็นคนในยุทธภพ สำหรับราชสำนักก็เป็นคนนอก ไม่มีอำนาจคุกคามใดๆ ต่อพระองค์ แต่ว่ายามนี้…”
เรื่องราวเปลี่ยนไปเช่นนี้ ก็นับว่าตึงมือ
หากเยี่ยเม่ยเลือกเป่ยเฉินอี้ ฮ่องเต้ไม่ใช้งานนางก็เท่ากับเสียผู้มีความสามารถไป หากใช้งานเยี่ยเม่ย จะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อนางได้รับอำนาจทางทหารแล้ว จะไม่ช่วยสามีของตนเอง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าจู่ๆ เขาจะก่อเรื่องอันใดขึ้นมา ส่วนเยี่ยเม่ยจะอยู่ช่วยเขาทำเรื่องคลุ้มๆ คลั่งๆ หรือไม่ก็บอกได้ยากแล้ว
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ค่อยๆ เคร่งขรึมลง ทอดพระเนตรมองเสินเซ่อเทียน ตรัสด้วยความไม่พอใจ “หากเจ้าไม่สอดปาก บอกว่าเจ้ามอบป้ายประจำตัวให้นาง ข้าก็ประทานสมรสให้นางกับกูเยว่อู๋เหินไปแล้ว เวลานี้ก็ไม่จำเป็นต้องปวดหัวอีก!”
เสินเซ่อเทียนได้ฟัง กลับค้อมเอวลง “ฝ่าบาท กระหม่อมจำเป็นต้องเอ่ย!”
“เจ้า!” ฮ่องเต้พลันเกิดโทสะขึ้นอีกครั้ง ทรงชี้เสินเซ่อเทียน “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าสังหารเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“ในเมื่อกษัตริย์ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางไม่อาจไม่ตาย”
เสินเซ่อเทียนตอบกลับไปอย่างไม่เจ็บไม่คันประโยคหนึ่ง
ฮ่องเต้เห็นท่าทีของเขา ก็โมโหถึงขีดสุด แต่ไม่อาจทำอะไรได้
……
เยี่ยเม่ยและคนทั้งหมดออกจากวังพร้อมกัน
ขุนนางจำนวนไม่น้อยล้วนมาแสดงความยินดีกับนาง ทางหนึ่งได้เลื่อนขั้น อีกทางก็มีบุรุษรูปงามมากมายให้เลือก
ที่เรียกว่าผู้ชนะที่แท้จริง สมควรเป็นอย่างเยี่ยเม่ยนี่กระมัง
เยี่ยเม่ยกลับสู่ความเย็นชาเหมือนยามปกติ สนทนากับขุนนางทั้งหลายตามมารยาท พูดคุยกับขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อย จงซานลอบสังเกตอยู่ด้านข้างก็พยักหน้าติดๆ กัน ดีมาก อย่างน้อยเยี่ยเม่ยก็รู้ว่าหากคิดจะเข้าสู่ราชสำนักจริงๆ ต้องรู้จักจัดการความสัมพันธ์ให้ดี
รอจนคนทั้งหลายจากไปจนหมดสิ้น
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินผ่านเยี่ยเม่ย น้ำเสียงน่าฟังของเขาดังอยู่ที่หูนาง “คืนนี้ข้าจะไปหาเจ้า”
เยี่ยเม่ยตะลึงงัน
สามเดือนแล้ว เขาไม่เคยเป็นฝ่ายมาหานางก่อนเลย วันนี้…