บทที่ 276 หวังเจี๋ยแข็งแกร่งมากจริงๆ

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

ใครก็คิดไม่ถึงว่า เมื่อเผชิญหน้ากับการร่วมมือกันโจมตีของยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างจางอู่เฉวียนและเติ้งซวง เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่ไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย แต่ยังสามารถเอาชนะจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงได้อีกด้วย โดยเฉพาะเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมา และยังมีการแสดงออกที่สุขุมเยือกเย็นตั้งแต่ต้นอีกด้วย ทำให้ยอดฝีมือคนที่เหลือต่างสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก หลังจากที่เย่เทียนเฉินตะโกนขึ้นมาคำหนึ่งก็ยืดตัวขึ้นตรงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ราวกับเผชิญหน้ากับการสั่งสอนของครูฝึกอย่างไรอย่างนั้น

“คำพูดของฉัน พวกแกไม่ได้ยินหรือไง?” เย่เทียนเฉินหันมาจ้องไปยังจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงที่ล้มอยู่กับพื้นแล้วตะโกนขึ้น

จางอู่เฉวียนและเติ้งซวงชะงักไปครู่หนึ่ง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินที่อายุน้อยขนาดนี้จะถึงกับมีความสามารถที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อถึงเวลาที่จริงจังขึ้นมา ก็มีบรรยากาศราวกับเทพแห่งความตาย ไม่ว่าใครก็ไม่อาจหยาบคายด้วยได้ มิเช่นนั้นคงทำได้เพียงกินหมัดของเขาเท่านั้น

อู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวน และเปาเทียนหลง ทั้งสี่ยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเป็นกลุ่มแรก จากนั้นยอดฝีมือหลายคนที่ไม่ได้ลงมือก่อเรื่องก็ก้าวเข้ามา เหลือเพียงจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงเท่านั้น ถึงแม้ในใจของพวกเขาจะไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ พวกเขาพ่ายแพ้แล้ว เป็นลูกผู้ชายต้องรู้จักแพ้ให้เป็น ในเมื่อแพ้แล้วก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของเย่เทียนเฉิน

ความสามารถในการต่อสู้อันแข็งแกร่งที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมาทำให้ยอดฝีมือเหล่านี้ต่างประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบจริงๆ ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งจะอายุยี่สิบปีจะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ ถึงแม้ว่าในใจจะไม่พอใจ ไม่อยากถูกชายหนุ่มเช่นนี้ออกคำสั่ง แต่หลายคนก็ไม่กล้าลงมืออีก พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งกว่าจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตาม ในใจหลายของใครหลายคนก็คิดถึงเรื่องเดียวกันขึ้นมา นั่นก็คือหวังเจี๋ยที่ปลีกตัวออกไปฉี่ยังไม่กลับมา คนคนนี้รับมือไม่ง่ายเลย บางทีหวังเจี๋ยอาจจะสามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ หรือบางทีอาจจะทำไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ แต่กลับเฝ้ารอเป็นอย่างมาก

“ไม่ต้องไป ก็แค่ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง อาศัยที่ตัวเองมีความสามารถนิดหน่อยก็กล้ามาสั่งนู่นสั่งนี่กับพวกเราแล้ว ไม่ดูซะบ้างว่าตัวเองเป็นยังไง!”

ในตอนนี้เอง ขณะที่จางอู่เฉวียนและเติ้งซวงเตรียมจะลุกขึ้นเดินไปร่วมในกองกำลัง น้ำเสียงไม่พอใจเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ชายอายุไม่เกินสามสิบปีคนหนึ่ง สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซ็นติเมตร สวมเสื้อลายพรางเช่นเดียวกับจางอู่เฉวียนและเติ้งซวง เดินมาทางเย่เทียนเฉินอย่างสบายอารมณ์ ดวงตาทั้งสองมองไปยังเย่เทียนเฉิน ในนั้นเจือไปด้วยความไม่พอใจและความท้าทาย

เย่เทียนเฉินเองก็หันไปมองชายคนนี้เช่นกัน สัญชาตญาณของเขาบอกกับตนว่า ชายคนนี้แข็งแกร่งมาก ความสามารถเหนือกว่าจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงอย่างแน่นอน กล่าวตามจริง เกี่ยวกับยอดฝีมือที่อู๋เสวี่ยหามาได้ในครั้งนี้ เย่เทียนเฉินรู้สึกเหนือคาดจริงๆ และดีใจเป็นอย่างมากด้วย เขาจะต้องสยบคนกลุ่มนี้ให้ได้ พวกเขาจะกลายเป็นลูกน้องที่มีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของตน

ในเมื่อตัดสินใจที่จะสร้างกลุ่มอำนาจของตัวเองขึ้นมาแล้ว ในเมื่อตัดสินใจที่จะแข็งแกร่งให้ตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ทั้งหลายที่ยโสโอหังจนไม่เห็นหัวใครเหล่านี้ได้เห็นแล้ว ในเมื่อตัดสินใจที่จะฟื้นฟูตระกูลเย่แล้ว เช่นนั้นเย่เทียนเฉินก็ไม่สามารถขี้ขลาดตาขาวได้ เขาเป็นคนที่หากต้องการก็จะทำให้ได้ การถอยไม่ใช่นิสัยของเขาโดยเด็ดขาด

“พี่ใหญ่ คนคนนี้ก็คือหวังเจี๋ย!” อู๋เสวี่ยเดินมาข้างกายของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นเสียงเบา

ตอนนี้เองหวังเจี๋ยเดินมาอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากเย่เทียนเฉินประมาณสองเมตรแล้วหยุดลง จางอู่เฉวียนแล้วเติ้งซวงเดินตามหลังของเขามา หวังเจี๋ยมองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง จากนั้นจึงจงใจมองไปยังอู๋เสวี่ยแล้วพูดว่า “อู๋เสวี่ย พี่ใหญ่ตดหมาอะไรของพวกแกนั่นยังไม่มาอีกเหรอ? บิดาฉี่เสร็จแล้ว จะไปแล้ว ไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับพวกแกหรอก!”

“หวังเจี๋ย ไอ้หนูอย่างแกจะทำเกินไปแล้ว คนผู้นี้ก็คือเย่เทียนเฉินพี่ใหญ่ของพวกเรา!” อู๋เสวี่ยพูดขึ้นแล้วมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความเคารพ

หวังเจี๋ยมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์ หัวเราะเสียงเย็นออกมา จากนั้นจึงพูดขึ้น “งั้นเหรอ? ลาก่อน!”

ความจริงทุกคนต่างก็มองออก ไม่ใช่ว่าหวังเจี๋ยไม่รู้ว่าวัยรุ่นที่ยืนอยู่หน้าตนก็คือเย่เทียนเฉิน แต่จงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เมื่อพูดออกมาก็เป็นการดูถูกเหยียดหยาม ต่อให้เย่เทียนเฉินจะเอาชนะจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงได้ หวังเจี๋ยก็ยังไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตา ตัวเขาเองเป็นคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งและหยิ่งยโสเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าเย่เทียนเฉินที่ดูหนุ่มแน่นขนาดนี้ ก็คงเป็นแค่ทายาทตระกูลใหญ่ที่ต้องการเล่นสนุกก็เท่านั้น ไม่คู่ควรที่จะมาออกคำสั่งกับเขาหวังเจี๋ย ครั้งนี้ถูกอู๋เสวี่ยหลอกมาแล้ว ช่างซวยจริงๆ ในใจก็เกิดประกายแห่งความโกรธขึ้นมา

“แก…” อู๋เสวี่ยกำลังคิดจะลงมือสั่งสอนหวังเจี๋ย แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินขวางเอาไว้

ทุกคนต่างแสดงท่าทางราวกับรอดูละครออกมาอีกครั้ง เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินเอาชนะจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงไปได้ ทำให้พวกเขารู้สึกสั่นสะท้านมากจริงๆ แต่อย่างไรก็ทำให้คนจำนวนมากคาดเดาได้ถึงความสามารถของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเอาชนะจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงได้ คงจะลงมือเต็มที่แล้ว ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งขนาดนั้นออกมา จะต้องลงมือเต็มกำลังแน่นอน เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากกว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ใช่คู่มือของหวังเจี๋ย หากจะลงมือกับหวังเจี๋ยเย่เทียนเฉินจะต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

คนกลุ่มนี้ที่ถูกอู๋เสวี่ยเรียกตัวมาย่อมไม่อยากให้เย่เทียนเฉินเอาชนะหวังเจี๋ยได้ ในหมู่พวกเขา ความสามารถของหวังเจี๋ยแข็งแกร่งที่สุด ถ้าหากหวังเจี๋ยแพ้ เช่นนั้นพวกเขาก็จะต้องฟังคำสั่งของชายหนุ่มอายุยี่สิบปีคนนี้อีก จะอย่างไรในใจก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง พวกตนก็ปั่นป่วนแผ่นดินไปทั่ว จะมากจะน้อยก็มีชื่อเสียงอยู่บ้าง หากต้องมาทำเรื่องต่างๆ ให้กับทายาทตระกูลใหญ่ที่เอาแต่เล่นสนุกคนหนึ่ง ไม่ถูกคนอื่นหัวเราะใส่ก็แปลกแล้ว

เย่เทียนเฉินเดินขึ้นมาเบื้องหน้าก้าวหนึ่ง มองไปยังหวังเจี๋ยแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันจะใช้มือขวาข้างเดียว ภายในสิบกระบวนท่าหากอกเอาชนะฉันได้ จะไปหรือจะอยู่ก็ตามใจ!”

หวังเจี๋ยขมวดคิ้วอย่างโหดเหี้ยม คนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่ต่างก็ตกตะลึง เพราะเขารู้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ยอมปล่อยให้หวังเจี๋ยจากไปง่ายๆ แน่นอน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะโอหังถึงขนาดนี้ ใช้มือขวาข้างเดียว และยังความมั่นใจว่าภายในสิบกระบวนท่าหวังเจี๋ยจะเอาชนะเขาไม่ได้อีกหรือ? นี่ทำให้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ความสามารถของหวังเจี๋ยอาจจะสูสีกับอู๋เสวี่ย กระทั่งหากจะเทียบให้ละเอียดอาจจะเหนือกว่าอู๋เสวี่ยเล็กน้อยด้วยซ้ำ เย่เทียนเฉินใช้มือขวาข้างเดียวเท่ากับเป็นการดูหมิ่นหวังเจี๋ย ไม่เห็นหวังเจี๋ยอยู่ในสายตา นี่เป็นการดูหมิ่นที่ร้ายกาจยิ่งกว่าการดูหมิ่นทางวาจานับร้อยเท่า

“หึ บิดาไม่เอากับแกด้วยหรอก คิดจะให้ฉันหวังเจี๋ยเข้าร่วมกับเด็กน้อยอย่างแก ขายหน้าจริงๆ!” หวังเจี๋ยแค่นเสียงเย็น มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน พูดจบก็หมุนตัวจะเดินจากไป

“ต่อให้แกหวังเจี๋ยมีความสามารถอยู่บ้าง ในสายตาของฉันก็ไม่พอให้มองหรอก ยิ่งไปกว่านั้นลูกน้องที่ไม่มีระเบียบวินัยอย่างแกฉันก็ไม่ต้องการ!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย

ชั่วขณะนั้นเอง หวังเจี๋ยก็หยุดฝีเท้าลงแล้วหันมามองเย่เทียนเฉิน ภายในดวงตาทั้งสองมีไฟแห่งความโกรธที่ไม่อาจสงบลงได้ เขาหวังเจี๋ยแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยถูกคนดูถูกเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะเย่เทียนเฉินที่เป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบปีคนหนึ่งเท่านั้น ถึงกับบอกว่าจะใช้มือขวาข้างเดียว และภายในสิบกระบวนท่าตนก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้อย่างนั้นหรือ? ต้องทราบว่าเขาหวังเจี๋ยอยู่ในยุทธภพมาหลายปี และมีชื่อเสียงมาก กล่าวตามจริงแล้ว ในตอนที่เขาปั่นป่วนยุทธภพ เย่เทียนเฉินก็เป็นเพียงแค่เด็กอายุสิบขวบคนหนึ่งเท่านั้น

“ตอนนี้ฉันอยากจะฉีกแขนขวาของแกจริงๆ!” หวังเจี๋ยมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา

“น่าเสียดายที่แกไม่มีความสามารถจะทำแบบนี้!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

บรรยากาศพลันเปลี่ยนไปเป็นหนักแน่นขึ้นมา หวังเจี๋ยและเย่เทียนเฉินยืนเผชิญหน้ากัน มองไปยังอีกฝ่าย ในเวลาเพียงชั่วพริบตาหวังเจี๋ยก็หายไปจากที่เดิม พุ่งเข้าไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความเร็วดุจสายฟ้า ส่วนเย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองก้าว เอามือซ้ายไพ่ไปด้านหลัง ส่วนมือขวาก็กำแน่น ในเวลาเพียงชั่วพริบตาพลังพิเศษขั้นสูงสุดของขอบเขตจอมราชันก็อาบไปทั่วร่าง เขาไม่กล้าลำพองใจ หวังเจี๋ยเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ความสามารถเหนือกว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ ตนเองใช้แค่มือขวาต่อสู้กับเขา และยังรับประกันไปว่าจะไม่พ่ายแพ้ภายในสิบกระบวนท่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

กล่าวตามจริง จะสามารถป้องกันการโจมตีของหวังเจี๋ยโดยที่ใช้แค่มือขวาและไม่พ่ายแพ้ภายในสิบกระบวนท่าได้หรือไม่นั้น เย่เทียนเฉินก็ไม่มีความมั่นใจเลย เขากำลังเดิมพัน จะใช้วิธีการแบบนี้ทำให้หวังเจี๋ยยอมสยบทั้งกายใจ นี่เรียกได้ว่าเป็นขุนพลที่หาได้ยากยิ่งของเขา ต่อให้ยโสโอหังเกินไปก็ตาม ถ้าไม่สยบความยโสโอหังของเขา เขาก็จะไม่ติดตามคุณไปทำเรื่องต่างๆ อย่างสุดใจ

ฉัวะ!

หวังเจี๋ยปล่อยมันออกไป ส่วนเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้หลบแต่กลับใช้มือขวาแผลเป็นฝ่ามือแล้วตบเข้าไป ปะทะไปบนหมัดของหวังเจี๋ยโดยตรง

ตู้ม!

เสียงหนึ่งดังขึ้น เย่เทียนเฉินและหวังเจี๋ยถอยออกไปสองก้าว แล้วพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าใครก็ไม่เก็บงำความสามารถ พอลงมือก็ใช้พลังเต็มที่

หวังเจี๋ยคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะใช้แค่มือขวาจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำการปะทะกับตนตรงๆ อีกด้วย ทั้งยังไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย ความจริงเมื่อครู่ตอนนี้ที่เย่เทียนเฉินสู้กับจางอู่เฉวียนและเติ้งซวง หวังเจี๋ยก็ยืนมองอยู่ไม่ไกลแล้ว ในใจก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มอายุยี่สิบปีคนนี้ ที่เป็นได้ค่าแจกันประดับเท่านั้น จะมีฝีมือแข็งแกร่งห้าวหาญเป็นอย่างมาก สามารถเอาชนะจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงได้ในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้เขาคิดไม่ถึงจริงๆ อย่างไรก็ตามจากการประเมินของเขา คิดว่าเย่เทียนเฉินคงจะลงมือเต็มที่แล้ว หากคำนวณเช่นนี้ตนเองคงจะเอาชนะเย่เทียนเฉินได้

แน่นอนว่าหวังเจี๋ยไม่ได้ดูถูกเลยแม้แต่ครึ่งส่วน อย่างน้อยในตอนที่ลงมือก็ไม่ได้ยั้งมือ คนที่มีความสามารถมาถึงระดับเขาแล้วย่อมเข้าใจในเหตุผลอย่างหนึ่ง นั่นก็คือไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างไรก็ไม่สามารถลำพองใจและดูหมิ่นศัตรูได้ เพราะนั่นไม่ใช่ทัศนคติที่ยอดฝีมือคนหนึ่งควรจะมี มียอดฝีมือมากมายที่แพ้เพราะดูถูกศัตรูเกินไป คิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งขนาดนั้น แต่เมื่อลงมือไปแล้วก็ไม่อาจเสียใจภายหลังได้

หลังจากประมือกันครั้งหนึ่ง บรรยากาศของหวังเจี๋ยก็เปลี่ยนไป ดวงตาทั้งสองคมกริบอย่างหาใดเปรียบ คล้ายกับจะแทงทะลุไปยังเย่เทียนเฉิน เขายื่นนิ้วชี้ของมือทั้งสองออกมา บนนิ้วมือแต่ละนิ้วมีลมปราณรูปร่างคล้ายกระบี่พุงออกมา ดูแล้วทำให้ผู้คนต้องตกใจมาก และเหล่ายอดฝีมือกลุ่มนี้ที่ล้อมอยู่รอบๆ ก็ประหลาดใจจนตัวแข็งค้าง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าหวังเจี๋ยจะแข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้ สามารถรวบรวมพลังภายในไปที่นิ้วมือ ได้ พลังภายในที่แข็งแกร่งยังไม่ปรากฏออกมาก็ทำให้ต้นหญ้าบนพื้นดินสั่นไหวแล้ว เห็นได้ว่ามีอำนาจมากเพียงใด คนธรรมดาย่อมป้องกันไม่ได้แน่นอน

………..